สำหรับทุกอย่างนี้เจียงไป๋ไม่รู้เลย และก็ไม่อาจจะรู้ได้ เวลานี้เขากับฉวีเจี๋ยกำลังเดินตามหวางเป้าขึ้นไปยังอาคารสูงที่อยู่ตรงกลาง หลังจากที่ขึ้นลิฟต์ไปได้สักพัก ก็มาถึงชั้นบนสุดของอาคารที่สูงจนสามารถมองลงมาเห็นพื้นผิวของแม่น้ำได้
พอเดินเข้าประตูมาสาวสวยในชุดกี่เพ้าสิบกว่าคนที่ยืนเรียงกัน ก็ทยอยทำความเคารพ และคอยนำทางอยู่ด้านหน้า
สักพักประตูห้องก็เปิดออก ห้องนี้กว้างใหญ่ประมาณสี่ถึงห้าร้อยตารางเมตร ในห้องแกะสลักรูปัและหงส์อย่างหรูหราสวยงาม โดยเฉพาะด้านหลังของที่นั่งหลัก ฉากกันลมเก้าันั้นคือการแกะสลักหยกเขียวขนาดใหญ่ที่ห่อหุ้มด้วยทองคำอันหรูหราหายากชิ้นหนึ่ง บนพื้นปูด้วยพรมพร้อมกับวางเครื่องเรือนไม้แดง ของทุกอย่างราคาไม่ธรรมดา
เจียงไป๋ที่่นี้ความรู้พอกพูนขึ้นมากเมื่อเห็นภาพวาดสองสามภาพแขวนอยู่บนผนังที่ไกลออกไป ภาพวาดทุกภาพล้วนเป็ของจริง ราคาหลักแสน โดยเฉพาะภาพวาดที่ศิลปินประจำชาติคุณไป๋ฉือวาดเองด้วยแล้ว ยิ่งถือเป็ของมีค่าหาได้ยาก
ของตกแต่งบนโต๊ะที่อยู่ไกลออกไป หากลองสุ่มหยิบออกมาสักชิ้นต่างก็เป็ของโบราณทั้งสิ้น เครื่องลายคราม เครื่องเคลือบสี และของน่าใต่างๆ ที่มีอายุหลายร้อยปี
มิน่าล่ะหอเจียงหนานแห่งนี้จึงทำให้ผู้คนวิ่งกรูราวกับฝูงเป็ด แค่นั่งอยู่ตรงนี้ก็เป็การแสดงออกถึงฐานะอย่างหนึ่งแล้ว
บนโซฟาที่อยู่ตรงมุมซ้ายของห้องโถงอันหรูหราโอ่อ่าแห่งนี้ ตอนนี้มีคนนั่งอยู่สองสามคน
ผู้าุโที่สวมชุดเสื้อคอจีนสีดำ หนวดและผมขาวโพลนนั่งตัวตรงอยู่ตรงกลาง และจิบชาที่ร้อนระอุถ้วยหนึ่ง เขากำลังพูดคุยอย่างสนุกสนานกับชายวัยกลางคนที่สวมชุดสูทและดูสะดุดตาเป็อย่างมาก
อีกด้านหนึ่งจางฉางเกิงก็อยู่ด้วย เขาเพียงแค่นั่งตัวตรงอยู่แบบนั้น และไม่ได้พูดอะไรเลย ท่าทางระมัดระวังตัวอย่างเห็นได้ชัด และไม่ได้มีท่าทางของผู้กล้าที่ราวกับจะเรียกลมเรียกฝนได้เลยแม้แต่น้อย
เมื่อเปิดประตูใหญ่ออก คนที่นั่งอยู่ตรงนั้นสองสามคนทยอยกันลุกขึ้น มีเพียงแค่ชายวัยกลางคนที่ลุกขึ้นอย่างช้าๆ และได้รับการประคองจากสาวสวยที่ยืนอยู่ด้านหลังสองคน และนี่ก็ทำให้เจียงไป๋ตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด เ้าพ่อจ้าวที่เดิมทีเล่าลือกันว่าเรียกลมเรียกฝนได้นั้นแตกต่างจากที่เขาคิด ดูแล้วร่างกายของเขากำลังแย่มาก
“ผมจะแนะนำให้รู้จัก ท่านนี้คือ … ”
ตอนที่พวกเจียงไป๋เดินเข้าไป ทางด้านจ้าวอู๋จี๋ก็เดินมาแล้ว คนสองกลุ่มเพิ่งจะเข้าใกล้กัน หวางเป้าก็รีบปริปากพูดทันที และเตรียมแนะนำอย่างยิ้มแย้ม
“ฉันชื่อจ้าวอู๋จี๋ สวัสดี”
น้ำเสียงที่มีแรงดึงดูดดังออกมาจากปากของจ้าวอู๋จี๋ที่ร่างกายอ่อนแอแต่ก็ยังดูสง่า เขาไม่ได้วางตัวสูงส่งแม้แต่น้อย แค่คำพูดสั้นๆ เพียงประโยคเดียว ก็ทำให้รู้สึกดีหลายเท่า และไม่ได้ห่างเหินจนเกินไป
“เจียงไป๋”
เจียงไป๋ยื่นมือออกไปจับทักทายอย่างยิ้มแย้ม มือของอีกฝ่ายละเอียดนุ่มนวลราวกับไร้กระดูก ไม่เหมือนกับมือของผู้ชาย แต่เหมือนกับมือของพวกลูกคุณหนู
“ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว ท่านนี้คือฉ่ายเชิ่งโฝ อาจารย์ฉ่าย ผมคิดว่าคุณก็น่าจะรู้จักอาจารย์ของฉวีเจี๋ย หนึ่งในปรมาจารย์วูซูจีนที่ทั้งหัวเซี่ยของพวกเรามีเพียงแค่สามคน”
จ้าวอู๋จี๋หัวเราะเสียงดังพลางพูดและพยักหน้า ก่อนจะยื่นมือออกไปและบิดตัวหลีกทางให้เห็นผู้าุโที่อยู่ข้างๆ พลางพูด
แค่ประโยคเดียวก็ทำให้เจียงไป๋ตาลุกวาว
ปรมาจารย์ใหญ่!
ปรมาจารย์วูซูจีนที่แท้จริง!
นั่นมันะเินิวเคลียร์ในร่างคนตัวจริงเลย!
วงการวูซูจีนสูงสุดที่รู้ในตอนนี้ แข็งแกร่งกว่าของปลอมที่อาศัยการ์ดเทพาอย่างเขาคนนี้ไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร
“เลื่อมใสอาจารย์มานานแล้ว วันนี้ได้พบถือว่าเป็เกียรติของผม” เจียงไป๋รีบทำความเคารพทันที
“เหอะๆ คุณเจียงก็พูดเกินไป ผมก็แค่พื้นฐานน้อยนิดไม่มีอะไรน่าภูมิใจหรอก คุณเจียงเองอายุยังน้อย แต่ฝีมือช่างน่าใมาก จุ๊ๆ การต่อสู้ในครั้งก่อนผมก็ได้ยินมาแล้ว ความสามารถของคุณเจียงทำให้ผมเลื่อมใส คุณเจียงไปถึงขั้นนั้นแล้ว?”
ฉ่ายเชิ่งโฝโบกมือพูดอย่างยิ้มแย้ม และพูดถึงความสามารถของเจียงไป๋ เมื่อพูดถึงตอนท้ายก็มีอาการจริงจังและเฝ้ารอด้วยสายตาที่เร่าร้อนเป็ที่สุด
จริงๆ แล้วการที่เขาตกลงมาในวันนี้ อย่างแรกก็เพราะเห็นแก่หน้าจ้าวอู๋จี๋ อย่างที่สองก็เพราะเขา้าจะรู้อะไรบางอย่างจากเจียงไป๋
นี่ก็ทำให้เจียงไป๋ลำบากแล้ว
ถึงเขาจะเป็ปรมาจารย์วูซูคนหนึ่งแต่ก็ไม่อ่อนแอ สำหรับหนึ่งในสามปรมาจารย์วูซูจีนอย่างฉ่ายเชิ่งโฝ เขาก็ไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย
โชคดีที่เจียงไป๋ไม่ใช่ว่าไม่ได้เตรียมตัวมา ก่อนหน้านี้รู้ว่าต้องพบกับฉ่ายเชิ่งโฝและจ้าวอู๋จี๋ เขาก็ได้ทำการบ้านมาบ้างแล้ว ซึ่งนี่ก็ทำให้เขาเข้าใจคำพูดของฉ่ายเชิ่งโฝ แต่ก็ไม่ได้เผยพิรุธอะไรออกมา
เขาเข้าใจสิ่งที่ฉ่ายเชิ่งโฝพูด ก็คือระดับขั้นในตำนานที่เหนือกว่าปรมาจารย์ใหญ่ แต่นั่นคืออะไรเจียงไป๋ยังไม่เข้าใจ เขาจึงพูดอย่างยิ้มแย้มและคลุมเครือไปว่า “ก็แค่โชคดีเอาชนะได้เท่านั้น ผมได้ยินฉวีเจี๋ยบอกว่า ท่านอาจารย์ไม่ลงจากเขามาสิบปีแล้ว หากยินยอมลองละวางการบำเพ็ญ แล้วออกมาเดินเล่นในฐานะคนธรรมดาดูบ้าง โดยเฉพาะทางเหนือ”
เจียงไป๋พูดราวกับมีเป้าหมาย
ทางด้านฉ่ายเชิ่งโฝราวกับรู้ตัวอย่างฉับพลัน
ทั้งสองคนสบตากัน ฉ่ายเชิ่งโฝมีอาการใทันที และเหมือนจะคิดอะไรออกแล้ว พลางทำท่าคารวะเจียงไป๋ “สิบปีมานี้ผมไม่เคยออกมา หลายปีก่อนโชคดีบรรลุถึงขั้นฮั้วจิ้นจึงได้เข้าสู่ขั้นปรมาจารย์ใหญ่ แต่กลับพึงพอใจจนมีความเกียจคร้านอยู่บ้างแล้ว เวลานี้ได้ยินคำพูดของคุณแล้วก็คิดออกอย่างฉับพลัน ผมจะปล่อยวางบำเพ็ญแล้วออกไปท่องทางเหนือในฐานะคนธรรมดาดูบ้าง หากได้ผลพวงกลับมา ผมก็คงจะซาบซึ้งมาก”
จริงๆ แล้วท่านผู้าุโจะรู้ได้อย่างไรว่าเจียงไป๋ถูกบีบให้ต้องจำใจพูด เพื่อแก้ไขสถานการณ์เบื้องหน้าไปก่อนเท่านั้น
สำหรับท่านผู้าุโฉ่ายเชิ่งโฝหากออกไปเดินเล่นแล้วจะได้ผลพวงหรือไม่นั้น ก็มีเพียงแค่์เท่านั้นที่จะรู้ แต่การที่เขาพูดอย่างนี้กลับทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่าเขายิ่งลึกซึ้งจนคาดเดาไม่ได้
หวางเป้าที่อยู่ข้างๆ ก็ตาเป็ประกาย อดไม่ได้ที่จะรู้สึกใฝ่หาบ้าง
“ท่านอาจารย์ล้อเล่นแล้ว ขอบคุณอะไรกัน ผมก็แค่ผู้น้อยเท่านั้น ไม่กล้าน้อมรับหรอกครับ”
ท่าทางของเจียงไป๋อ่อนน้อมมาก ทำให้คนที่อยู่โดยรอบยิ่งรู้สึกดีต่อเขา
แข็งแกร่งแต่ไม่อวดดี คนหนุ่มอย่างนี้หลายปีมานี้พบเห็นได้น้อยมากจริงๆ มิน่าล่ะอายุยังน้อยอยู่แท้ๆ แต่กลับมีความสามารถอย่างนี้แล้ว
“ทำไมถึงน้อมรับไม่ได้ล่ะ? การเรียนรู้ไม่แบ่งแยกอายุ ผู้ที่สำเร็จก่อนก็คืออาจารย์ คุณคือผู้น้อยเสียที่ไหนกัน จริงๆ แล้วก็คือผู้าุโ คนแก่อย่างผมวันนี้ก็ขอพูดอย่างหน้าไม่อายว่า ต่อไปคุณกับผมเราจะเรียกขานกันเป็สหายดีไหม? ผมกับอู๋จี๋ก็เป็สหายต่างวัยกัน คุณกับผมก็ลองมาเป็เพื่อนรุ่นเดียวกันได้”
พอโบกมือ ฉ่ายเชิ่งโฝก็พูดอย่างจริงจัง
คำพูดนี้ทำให้คนข้างๆ ตะลึงงันไปตามๆ กัน และไม่รู้จะพูดอะไรอยู่นาน
ท่านผู้าุโก็แปดสิบแล้ว เจียงไป๋เพิ่งจะอายุเท่าไร?
เป็เพื่อนรุ่นเดียวกันหรือ?
จะเป็กันอย่างไร?
นอกจากเ้าพ่อจ้าวแล้ว ในที่นี้มีใครบ้างที่ไม่ถือว่าเป็คนรุ่นหลังสำหรับเขา?
พูดเช่นนี้ ก็เป็การยกลำดับาุโของเจียงไป๋ให้เหนือกว่าพวกเขา จึงทำให้พวกเขารู้สึกแปลกๆ
“อาจารย์! จะได้อย่างไร … ผม … ”
เจียงไป๋ยังไม่ทันได้พูดทักท้วง ฉวีเจี๋ยที่อยู่ข้างๆ ก็ร้อนตัวแล้ว น้ำเสียงของเขาสูงขึ้นเป็แปดเท่า
เขาก็ค่อนข้างเข้าใจผู้าุโ นิสัยของผู้าุโนั้นแปลกประหลาดและมีการบิดเบือนมาก บางครั้งก็ยังคงคร่ำครึอยู่บ้าง และเคารพครูบาอาจารย์ยอมรับในคำสอนมาก พอตัดสินใจเื่ไหนไปแล้วก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้
หากให้ท่านยกเจียงไป๋เป็เพื่อนรุ่นเดียวกันจริงๆ ต่อไปเขาจะทำอย่างไร?
อยู่ๆ ก็มีท่านอาเพิ่มมาอีกคน?
เื่อย่างนี้จะให้ฉวีเจี๋ยรับได้อย่างไร?
“อะไรของเ้า? เ้านี่มันศิษย์ไม่รักดี! ที่นี่เ้ามีสิทธิ์พูดหรือ? รีบคุกเข่าคำนับท่านอาเจียงของเ้าซะ ต่อไปได้ติดตามท่านอาก็ถือว่าเป็บุญของเ้าแล้ว!”
ฉวีเจี๋ยยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมา ก็ถูกฉ่ายเชิ่งโฝเขม่นใส่ และไม่ทันไรก็กำหนดฐานะของเจียงไป๋ให้เสียแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้