มู่จื่อหลิงไม่แปลกใจกับท่าทางตกอกใของเล่อเทียน เพราะตอนที่นางรู้ว่าเป็กู่ควบคุมใจก็ไม่ได้ใน้อยไปกว่าเล่อเทียนในตอนนี้สักเท่าใด
“คุณชายเล่อเคยได้ยินกู่พันธุ์นี้มาก่อนหรือไม่?” มู่จื่อหลิงถามอย่างสงสัย
ยามนี้นางเพียงอยากรู้ว่ากู่พันธุ์นี้มาจากที่ใด ฮองเฮาหาสิ่งนี้เจอได้อย่างไร แม้เล่อเทียนจะดูไม่ออกว่าเป็กู่ควบคุมใจ แต่ก็คงเคยได้ยินมาบ้างกระมัง
หากภายหน้าฮองเฮาใช้อำนาจในทางมิชอบในวังหลวง ใช้กู่ที่มากมายกว่านี้มาทำร้ายผู้คน เช่นนั้นวังหลวงจะต้องไม่สงบสุขแน่
แม้ในวังหลวงจะไม่สงบอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับนางแม้แต่ครึ่งอีแปะ แม้ครั้งนี้แผนของฮองเฮาจะะเืมาถึงนางไม่สำเร็จ วันหน้าต้องมีความคิดที่บิดเบี้ยวกว่านี้เป็แน่ นางมิอาจยืนอยู่อย่างโง่งม รอถูกกลั่นแกล้ง
แม้นางจะเป็คนตัวเล็กๆ ทั้งยังมีลำพังเพียงตนเอง จะให้คำมั่นสัญญาบรรเทาหายนะของอาณาประชาราษฎร์ โค่นล้มฮองเฮาก็คงเป็ไปไม่ได้
แต่ให้นางวางเล่ห์กลเล็กๆ น้อยๆ อยู่เื้ัทำให้ฮองเฮาเสียเปรียบ นางสามารถทำได้ การกระทำเล็กๆ น้อยๆ ประเภทนี้นางถนัดที่สุด และยินดีที่สุดเช่นกัน
“หวางเฟยล้อเล่นแล้ว ข้าน้อยความรู้ตื้นเขิน จะรู้จักสัตว์ชนิดนี้ได้อย่างไร วันนี้เป็ครั้งแรกที่ได้ยิน ทว่าความรู้ของหวางเฟยในวันนี้ทำให้ข้าน้อยได้อะไรไปไม่น้อย เปิดหูเปิดตายิ่งนัก” เล่อเทียนแย้มยิ้มถ่อมตัว
เขาเลื่อมใสหวางเฟยผู้นี้จริงๆ ความลับในตัวนางขุดค้นเท่าใดก็ไม่หมดเสียที รอเขาเสร็จเื่ราวใน่นี้ จะต้องมาขอคำชี้แนะทางวิชาแพทย์กับหวางเฟยเป็แน่
มู่จื่อหลิงได้ยินวาจานี้ก็ผิดหวังเล็กน้อย แม้แต่เล่อเทียนก็ไม่เคยได้ยินกู่ควบคุมใจ แล้วนางยังจะสามารถไปถามใครได้อีก ผู้ที่นางรู้จักในที่แห่งนี้ ที่สามารถพูดคุยด้วยได้ ใช้แค่สิบนิ้วก็นับหมดแล้ว
“คุณชายเล่อชมผิดแล้ว เปิ่นหวางเฟยเพียงแต่เคยได้ยินอาจารย์กล่าวถึงกู่ชนิดนี้โดยบังเอิญ จึงรู้อย่างตื้นเขินเบาบางเท่านั้น อย่างอื่นนั้นเปิ่นหวางเฟยก็ไม่รู้เช่นกัน” มู่จื่อหลิงพูดอย่างถ่อมตัว
ที่นางพูดนั้นจริงครึ่งไม่จริงครึ่ง อีกอย่างนางร้ายกาจก็เท่ากับระบบซิงเฉินร้ายกาจ แต่นางก็ไม่สามารถพูดความจริงได้นี่นา ได้แต่ยกอาจารย์ที่ไม่มีอยู่จริงคนนั้นออกมาอย่างหมดทางเลือก
“เหอๆ อาจารย์ของหวางเฟยความสามารถน่าอัศจรรย์นัก ทำเอาข้าน้อยอิจฉาเสียแล้ว” เล่อเทียนหัวเราะเออออไปด้วย
ไม่รู้ว่าเชื่อคำพูดของมู่จื่อหลิงจริงๆ หรือไม่
อยากอิจฉา เ้าก็อิจฉาไม่ได้หรอก!
“นั่นสินะ เปิ่นหวางเฟยก็เคารพนับถืออาจารย์นัก” มู่จื่อหลิงแสร้งกล่าวโอ้อวด
นางเคารพนับถือเหล่าคณาจารย์สถาบันการแพทย์นั่วหยา เคารพนับถือเทคโนโลยี เคารพนับถือระบบซิงเฉิน
“แต่ร่างกายหวางเฟยไม่เป็อันใดจริงๆ หรือ?” เล่อเทียนถามอีกครั้ง หมดสติไปถึงสามวันอย่างไร้ที่มาที่ไป เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก
“ไม่มีอันใด เปิ่นหวางเฟยเองก็เป็หมอ ผิดปกติจะดูไม่ออกเชียวหรือ” มู่จื่อหลิงกล่าวกลั้วหัวเราะ
“ไม่เป็อันใดก็ดี” เล่อเทียนพยักหน้าอย่างเข้าใจ
เขากังวลอย่างไร้เหตุผลแล้ว กังวลต่อไปเขาก็มองไม่ออก ความรู้การแพทย์ของหวางเฟยสูงส่งกว่าเขานัก นางพูดว่าปกติ เช่นนั้นก็คงปกติกระมัง
เดิมทีเล่อเทียนคิดจะสนทนากับมู่จื่อหลิงให้มาก เพียงแต่เขาเหลือบไปเห็นหลงเซี่ยวอวี่อีกด้านหนึ่งที่เหมือนจะไม่อยากฟังพวกเขาพูดคุยไร้สาระ หลงเซี่ยวอวี่ในยามนี้คล้ายว่าจะสิ้นสุดความอดทนแล้ว เขาจึงได้แต่ฝืนใจเปลี่ยนบทสนทนา
“หวางเฟยจะนำเื่นี้ไปบอกท่านอ๋องหรือไม่ อย่างไรซะคนในวังก็มิใช่ว่าจะรับมือได้ง่ายเพียงนั้น” เล่อเทียนกล่าวโดยมีจุดประสงค์แฝงไว้
เขาใคร่อยากจะรู้ว่าท่าทีของหวางเฟยผู้นี้ต่อท่านอ๋อง อย่างไรหวางเฟยเพียงลำพังก็สู้พวกฮองเฮาไม่ได้
คาดว่าฉีอ๋องเองก็เข้าใจจุดนี้เช่นกัน เพียงแต่ฉีอ๋องจะใส่ใจหวางเฟย เข้าไปปกป้องนางหรือไม่นั้น มีเพียงแค่ตัวท่านอ๋องเองที่รู้แล้ว
มีความช่วยเหลือจากฉีอ๋อง จะเื่อันใดก็มิใช่ปัญหา
เขาเฝ้ารอคอยนักว่าฉีหวางเฟยจะตอบเช่นใด ทว่าคำตอบถัดไปของมู่จื่อหลิงก็ทำให้เขาไร้วาจาจะตอบกลับ แล้วยังหากลิ่นเหม็นมาให้ตนเองในวันข้างหน้า
มู่จื่อหลิงได้ยินคำพูดนี้ของเล่อเทียนก็ประหลาดใจ
เล่อเทียนกล่าวคำพูดนี้ เท่ากับเขารู้ว่ารังนกมาจากในวัง นางก็นึกแล้วว่าเล่อเทียนจะว่างจนเบื่อหน่ายแล้วไปดูรังนกนั่นอย่างไร้ที่มาที่ไปได้อย่างไร แต่ว่าใครเป็คนบอกเขา?
ตอนนั้นหลงเซี่ยวอวี่รู้ว่านางนำถ้วยนั้นกลับมาจากวัง แล้วยังช่วยถือลงมาจากรถม้าให้นางด้วยตนเอง จะเป็หลงเซี่ยวอวี่ที่บอกหรือไม่?
ยามนั้นหลงเซี่ยวอวี่เพียงถือมาให้นาง ไม่ถามสิ่งใดก็ไปเสียแล้ว ยามนี้ตัวคนไปอยู่ที่ไหนก็มิอาจล่วงรู้ได้
ยิ่งไปกว่านั้นเล่อเทียนถามเช่นนี้ก็หมายความว่าหลงเซี่ยวอวี่ไม่รู้เื่นี้
เล่อเทียนเพิ่งพูดไปว่า เขามาแลกเปลี่ยนวิชาแพทย์กับนางด้วยตนเอง ไม่มีทางที่หลงเซี่ยวอวี่จะพูด
หรือจะเป็เสี่ยวหาน? ตอนนั้นนางก็พูดกับเสี่ยวหานว่ารังนกนี่นำมาจากในวัง แต่ว่าเสี่ยวหานไร้เดียงสาเพียงนั้น จะคิดได้ว่าฮองเฮาใช้รังนกทำร้ายนาง แล้วให้เล่อเทียนตรวจสอบชามรังนกเปล่าๆ ได้อย่างไร
ทว่านี่ก็เป็ไปไม่ได้ นั่นก็เป็ไปไม่ได้ ตกลงผิดปกติตรงไหนกันแน่
“นี่เป็เื่ของเปิ่นหวางเฟย เหตุใดต้องบอกท่านอ๋อง?” มู่จื่อหลิงถามอย่างไม่เข้าใจ
เล่อเทียนถามแบบนี้ คิดจะให้นางไปขอร้องให้หลงเซี่ยวอวี่ปกป้องนาง? จะเป็ไปได้อย่างไร เล่อเทียนคาดตำแหน่งนางในใจหลงเซี่ยวอวี่สูงไป หรือว่าคาดระดับความไม่สนใจของหลงเซี่ยวอวี่ต่อสตรีต่ำเกินไปกัน
ถึงแม้ในวังมีหลายครั้งที่หลงเซี่ยวอวี่กู้หน้าแทนนาง นางจึงพลอยเห็นเขาเป็ที่พึ่งไปด้วย แต่ก็ไม่สามารถยืนยันอะไรได้
นางนั้นเป็คนที่ไทเฮาพระราชทานให้หลงเซี่ยวอวี่ หลงเซี่ยวอวี่มิได้ต่อต้านนาง ยามปกติมิได้ทำให้นางลำบากใจ นางก็รู้สึกซาบซึ้งแล้ว จะยังกล้าได้คืบเอาศอกได้อย่างไร
ทันทีที่คำพูดของมู่จื่อหลิงหลุดออกมา เล่อเทียนพลันรู้สึกว่ารอบกายเย็นลง แผ่นหลังหนาวะเื เหตุใดจู่ๆ ก็เย็นลง
เหมือนว่าจะมาจากบนตั่งนุ่ม เล่อเทียนรับรู้ถึงความผิดปกติ ยามนี้จึงมิกล้ามองสีหน้าของฉีอ๋องแล้ว
“หวางเฟยเป็ฉีหวางเฟย มีปัญหาย่อมบอกกับท่านอ๋องได้” เล่อเทียนคิดจะช่วยชีวิตอย่างไร้เดียงสา
ไม่รู้เลยแม้แต่นิด เขายิ่งเช็ดก็ยิ่งดำเสียแล้ว
“คุณชายเล่อ ท่านเข้าใจผิดแล้ว ท่านอ๋องก็คือท่านอ๋อง ข้าก็คือข้า แต่เดิมข้ากับท่านอ๋องก็มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกันอยู่แล้ว ข้าบอกแล้วอย่างไร ให้ท่านอ๋องมาปกป้องข้าหรือ?” มู่จื่อหลิงไม่ใจเย็นแล้ว แม้แต่สรรพนามก็เปลี่ยนแล้ว
เหตุใดเล่อเทียนจึงอยากให้นางมีส่วนเกี่ยวข้องกับหลงเซี่ยวอวี่มาโดยตลอด?
หลงเซี่ยวอวี่เป็คนเช่นใด คาดว่าเล่อเทียนต้องรู้ดีกว่านางกระมัง นางในตอนนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าของหลงเซี่ยวอวี่เป็เพียงเครื่องมือของไทเฮาที่ใช้เพื่อตัดปีกของเขาเท่านั้น หลงเซี่ยวอวี่ไม่เคยใส่ใจเื่นางด้วยซ้ำ แล้วเขาจะเอาอะไรมาปกป้องตนกัน
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ยามนี้นางขีดเส้นความสัมพันธ์ของนางและหลงเซี่ยวอวี่ตามเหตุและผลที่ควรเป็ ในใจก็รู้สึกเ็ป แต่ว่านางกับหลงเซี่ยวอวี่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดต่อกัน แล้วจะขีดเส้นได้อย่างไร นางกำลังเสียใจอะไรอยู่?
เล่อเทียนได้ยินมู่จื่อหลิงพูดเช่นนี้ก็ใจนไม่ส่งเสียงหายใจแรง นี่เป็ครั้งแรกที่เขาเกลียดปากหาเื่ของตนเอง ทำไมต้องยุ่งวุ่นวายธุระกงการผู้อื่น ไปถามเื่ของสามีภรรยา ออกไปเลยก็ดีอยู่แล้ว
เขาพลันเศร้าใจนัก ทวนกระแสแม่น้ำแล้ว คนเขาแทบอยากจะผูกสัมพันธ์อะไรสักอย่างกับฉีอ๋องทั้งนั้น ฉีหวางเฟยผู้นี้ดีนัก ยิ่งผูกก็ยิ่งไกล แทบอยากจะหลีกหนีไปไกลๆ
เขาไม่กล้าพูดเพิ่มขึ้นอีกสักประโยค เดิมตำหนักอวี่หานก็เย็นอยู่แล้ว บัดนี้เขาใกล้จะแข็งตายอยู่รอมร่อ
แม้เขาจะมองไม่ออก แต่เขาก็พอรับรู้ได้เลือนรางว่าฉีอ๋องต้องใส่ใจเป็แน่ ยามนี้ได้ยินฉีหวางเฟยพูดว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขา เขาจึงขุ่นเคือง
ต้องเป็เช่นนี้แน่ๆ
เขากล้ารับรองว่าถ้าเขาพูดเพิ่มอีกประโยค ฉีหวางเฟยก็มีอีกสิบเหตุผลมาขีดเส้นความสัมพันธ์นางกับฉีอ๋อง แล้วหากยังฟังต่อ หลังจากนั้นเขาก็รอประสบหายนะได้เลย
“เหอๆ ข้าน้อยอาจจะเข้าใจผิดไป หวางเฟยพักผ่อนเถิด ข้าน้อยควรกลับได้แล้ว”เล่อเทียนพูดพลางยิ้มเจื่อนๆ
ยามนี้วาจามิอาจพูดให้มากแล้ว ยิ่งพูดยิ่งผิด มีเพียงเื่เดียวคือหนีไป
อย่างไรเสียเป้าหมายเขาก็บรรลุแล้วครึ่งหนึ่ง รู้ว่าฉีอ๋องใส่ใจฉีหวางเฟย แม้จะเสี่ยงอันตรายเล็กน้อย แต่นับว่าคุ้มค่าแล้ว หลงเซี่ยวอวี่มิได้ไร้ความรู้สึกกับอิสตรี
“เช่นนั้นไม่ส่งแล้วกัน คุณชายเล่อเดินดีๆ” มู่จื่อหลิงรู้สึกว่ายิ่งมองเล่อเทียนในวันนี้ก็ยิ่งประหลาดใจ
เล่อเทียนไม่เพียงสวมใส่เสื้อผ้าอันน่าอนาถ ถามไปถามมาอยู่ดีๆ ก็ไปเสียแล้ว แล้วเหตุใดรอยยิ้มของเขาจึงน่าเกลียดกว่าร้องไห้เสียเล่า
เล่อเทียนผงกศีรษะ สุดท้ายเหลือบมองมู่จื่อหลิงอย่างเห็นใจ ฉีหวางเฟยท่านขอพรให้ตนเองเยอะๆ เถิด
เขาไม่กล้ามองหลงเซี่ยวอวี่อีก เขาไม่กล้าแม้แต่จะพูดเพิ่มอีกสักประโยค วิ่งหายไปอย่างรวดเร็ว
เล่อเทียนไม่รู้เลยว่าเป็เพราะวันนี้เขาใช้กลอุบายกับฉีหวางเฟย แล้วเขายังปากมากเพิ่มอีกประโยค ทำให้ต่อไปเมื่อเขาพบฉีหวางเฟยจะถูกจัดการจนน่าสังเวชเพียงใด
มู่จื่อหลิงเห็นสายตาท้ายสุดที่เล่อเทียนมองนางนั้นแปลกอยู่น้อยๆ แต่ว่าบัดนี้หนังตาทั้งสองของนางตีกันจนจะตายไปข้างแล้ว เหนื่อยจนเกือบสิ้นชีวิต นางจึงมิได้ไปสนใจมากนัก
มู่จื่อหลิงตะแคงตัวลง ลากผ้าห่มขึ้นมา นอนลงไปอย่างสบายใจ
มู่จื่อหลิงเพิ่งปิดเปลือกตาลง ด้านหลังก็มีเสียงฝีเท้าลอยมา มู่จื่อหลิงคิดว่าเป็เสี่ยวหานนำอาหารเข้ามาจึงไม่ได้สนใจมากนัก ไม่ได้ลุกขึ้นไปมอง
“เสี่ยวหาน เ้าวางอาหารไว้บนโต๊ะก่อน ข้านอนเสียหน่อยค่อยกิน” มู่จื่อหลิงพูดสะลึมสะลือ
แต่ว่านางไม่ได้ยินเสียงเสี่ยวหานตอบรับแม้แต่น้อย เสียงฝีเท้าก็มิได้หยุดลงเช่นกัน ตรงกันข้ามกลับยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“ข้าเหนื่อยมากจริงๆ เ้าออกไปก่อน” มู่จื่อหลิงคิดว่าเสี่ยวหานจะเข้ามาเรียกนาง จึงพูดอย่างหมดความอดทน
ทว่านางพูดจบ เสี่ยวหานก็ยังไม่ได้ส่งเสียง บัดนี้มู่จื่อหลิงรู้สึกไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว เสียงของเสี่ยวหานเวลาเดินก็มิใช่เช่นนี้นี่นา
เสียงฝีเท้านี้เบามากจนเหมือน
มู่จื่อหลิงเบิกตาขึ้นในทันใด พลิกกายไปอย่างรวดเร็ว
มู่จื่อหลิงขยี้ดวงตา มารดาเถอะ! นางมองเห็นอะไร
หลงเซี่ยวอวี่ก้มลงมามองนาง กลิ่นหอมของเหมยที่สดชื่นบนกายเขาแผ่ปกคลุมนางไว้
“หลง...ท่านอ๋อง ท่าน...ท่านมาได้อย่างไร” มู่จื่อหลิงพลันสติแจ่มใสขึ้นมา ใช้หลังมือทั้งสองข้างดันตัวเองขึ้นมา ถามอย่างตระหนกใ
นางก็ประหลาดใจเช่นกันเหตุใดแวบแรกที่ตนเองเห็นหลงเซี่ยวอวี่ต้องหวาดกลัวเพียงนี้ หลงเซี่ยวอวี่เข้ามามีอะไรน่าแปลกใจ แม้ที่นี่จะเป็ที่ที่นางนอน แต่ก็ยังเป็อาณาเขตของหลงเซี่ยวอวี่ เขาอยากมาก็มา
ไม่แน่ว่าเขาอาจจะแค่ผ่านมา จึงเข้ามาดูนางด้วยความสงสัย เดี๋ยวก็ไป มู่จื่อหลิงคิดอย่างไร้เดียงสา
ทว่าใบหน้าของหลงเซี่ยวอวี่ก็ยังคงหล่อเหลาไม่มีที่เปรียบ แต่ใบหน้าของเขาในยามนี้เหตุใดจึงเย็นเยียบยิ่งกว่าเมื่อก่อน เพียงมองก็เย็นเยียบยิ่งกว่าเตียงหยกเหมันต์เสียอีก แช่แข็งผู้อื่นจนหมดหนทางจะหายใจ
นี่คือสัญญาณว่าเขามีโทสะหรือ? ใครยั่วโมโหเขา? ยามนี้เขามาระบายโทสะกับตนเอง? เป็ไปไม่ได้กระมัง?
“ทำไม เปิ่นหวางมามิได้หรือ?” หลงเซี่ยวอวี่เอ่ยเสียงเบา น้ำเสียงทุ้มต่ำมากล้นด้วยเสน่ห์เย้ายวน กลับเรียบนิ่งไร้อารมณ์
หลงเซี่ยวอวี่ยิ่งสงบเยือกเย็นผิดปกติเช่นนี้ ใจมู่จื่อหลิงก็ยิ่งตระหนก ทั้งๆ ที่ไม่ใช่นางที่ยั่วโทสะ ก็ยังจะให้นางมารองรับ
เ้าคนสมควรตายผู้ใดที่มายั่วโมโหท่านอ๋องเ็าผู้นี้เข้า ตอนนี้เป็นางที่ต้องมาเช็ดก้นให้เสียแล้ว
“มาได้ๆ ที่นี่เป็ตำหนักของท่านอ๋อง เหตุใดจะมามิได้” มู่จื่อหลิงใกล้จะร้องไห้แล้ว
พบเจอใครก็ไปยั่วโทสะคนผู้นั้น อยากจะนอนดีๆ ก็นอนมิได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้