ท่านป้าหลิวที่อยู่เรือนถัดไปด้านหลังอดรนทนไม่ไหว คืนนั้นจึงหอบอาภรณ์ที่เร่งทำจนเสร็จมาที่สกุลลู่
อาจเพราะเห็นว่าใบหน้าของเสี่ยวหมี่ไม่มีร่องรอยคราบน้ำตาแต่อย่างใด จึงกลับไปอย่างสบายใจ
เสี่ยวหมี่นำอาภรณ์ไปยังเรือนพักฝั่งตะวันออก เฝิงเจี่ยนลองอาภรณ์ชุดใหม่ ครั้นมองแม่นางน้อยที่วิ่งวุ่นอยู่รอบตัวเขา ก็อดพูดออกมาประโยคหนึ่งไม่ได้ว่า “หากมีเื่ให้ช่วยเหลือ ก็บอกมาได้ไม่ต้องเกรงใจ”
ลู่เสี่ยวหมี่เงยหน้าอย่างตกตะลึง เมื่อสบเข้ากับดวงตาดำสนิทคู่นั้น นางก็ยิ้มออกมา
“พี่ใหญ่เฝิงวางใจ ข้ารู้ดีว่าควรทำอย่างไร”
เฝิงเจี่ยนไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ เขาก็รู้สึกคันคอ จนต้องกระแอมออกมาสองสามครั้ง
กลับเป็เกาเหรินที่อยู่ด้านข้างกระทืบเท้าแล้วะโขึ้นมาว่า “วันพรุ่งข้าจะเข้าเมืองด้วย ข้าจะตีเ้าพวกโง่ที่มาแย่งการค้าของเ้าให้ตายให้หมด”
ลู่เสี่ยวหมี่เคาะหน้าผากเขา เสร็จแล้วจึงลากเขามาลองอาภรณ์ “เ้าเด็กคนนี้ อย่าเอาแต่จะพูดเื่ฆ่าแกงคน อีกอย่าง ทุกคนต่างยากลำบาก ย่อมต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชีวิตรอด การที่ต้องฝืนสู้ลมหนาวและหิมะมาทำการค้าเช่นนั้นก็ไม่ใช่เื่ง่าย ถังหูลู่นั่นก็ไม่ใช่ของวิเศษอะไร ใครเป็ผู้กำหนดว่าข้าขายได้แล้วผู้อื่นจะขายไม่ได้เล่า”
“หึ เจตนาดีกลายเป็เครื่องในลา [1]”
เกาเหรินโกรธจนกลอกตามองบน แต่มือกลับไม่ได้ยกขึ้นมาผลักลู่เสี่ยวหมี่ที่ติดกระดุมให้เขาออก
เนื่องจากการค้าถูกคน่ชิงไป บรรดาพรานหนุ่มจึงแทบนอนไม่หลับ เมื่อตื่นเช้ามาถึงสกุลลู่แต่ละคนจึงมีขอบตาดำคล้ำ
แต่เมื่อเห็นสิ่งที่ลู่เสี่ยวหมี่ยกออกมา ทุกคนต่างพากันตื่นเต้น
“หา น้องเสี่ยวหมี่ นี่ก็คือถังหูลู่เช่นกันหรือ? เหตุใดถึงไม่ใช่ซันจาแล้ว?”
ลู่เสี่ยวหมี่ยิ้มอย่างได้ใจ นางจับผมเปียของตนเองหมุนควงเบาๆ อย่างอารมณ์ดี ตอบรับว่า “ใครกำหนดว่าถังหูลู่ต้องทำมาจากซันจาเท่านั้นเล่า”
พูดจบนางก็ชี้ไปที่ถังหูลู่หลากหลายสีสัน กำชับแต่ละคนว่า
“ลูกพลับสีดำราคาไม้ละสองอีแปะ ซันจาที่นึ่งจนสุกและโรยงานี้ยังคงขายไม้ละสามอีแปะเช่นเดิม ส่วนองุ่นูเานี้หายากยิ่งนัก ที่บ้านมีอยู่แค่ตะกร้าเดียวเท่านั้น ดังนั้นขายห้าอีแปะ กลีบส้มและผิงกั่ว [2] หั่นเป็ชิ้นๆ นี่ ขายแปดอีแปะ...”
ทุกคนตั้งใจฟังและพากันพยักหน้า พวกเขาเตรียมตัวเตรียมใจเข้าสู่ ‘า’ อีกครั้ง ให้พวกคนที่แย่งชิงการค้าของพวกเขาดูเสียให้เต็มตาว่า ต่อให้พวกเขาจะลอกเลียนแบบอย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ทัน
เป็ไปตามคาด ยามนี้บนถนนเต็มไปด้วยคนยืนขายถังหูลู่ เมื่อเห็น ‘ทหารสกุลลู่’ ขนของแปลกใหม่มาขาย ต่างพากันหงุดหงิดไม่น้อย บางคนที่หน้าบางและฉลาดสักหน่อยก็เลือกหอบเอาถังหูลู่ของตนเองข้ามไปขายที่ถนนอีกสายหนึ่งแทน ต่อให้ถังหูลู่ของเขาจะไม่แปลกใหม่อะไรแต่เพราะราคาแค่สองอีแปะ พ่อแม่หลายคนจึงตัดรำคาญซื้อให้ลูกๆ ของตัวเองแทนที่จะฟังพวกเขาร้องไห้งอแง การค้าของพวกเขาจึงไม่เลว
เป็อีกครั้งที่ถังหูลู่ของสกุลลู่ยึดลูกค้าแทบทั้งหมดกลับมาเป็ของตนเอง ผลซันจาค่อนข้างเปรี้ยว ถึงแม้จะเคลือบน้ำตาลแล้ว แต่นอกจากพวกเด็กๆ ที่กัดไปพลางขมวดคิ้วแน่นไปพลางเพราะรสชาติเปรี้ยวแต่ก็ยังกินไม่หยุด พวกผู้ใหญ่กลับลองเพียงแค่ครั้งเดียวแล้วก็ไม่กินอีก
แต่พวกเขายังมีถังหูลู่ลูกพลับดำ องุ่น ส้มและผิงกั่ว ที่เดิมก็มีรสชาติหอมหวานพอเคลือบน้ำตาลบางๆ เพิ่มเข้าไป ก็เป็ที่ถูกอกถูกใจทั้งผู้ใหญ่และเด็ก
บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ที่ออกมาเดินเลือกซื้อของ หรือแม้กระทั่งลูกค้าบนโรงน้ำชาต่างพากันเข้ามารุมล้อมหยิบเงินออกมาซื้อถังหูลู่ชนิดใหม่นี้
เป็อีกครั้งที่บรรดานายพรานหนุ่มน้อยทั้งหลายขายถังหูลู่จนหมดเกลี้ยง เมื่อกลับมาถึง ทั้งหมู่บ้านเขาหมีก็ครื้นเครงยิ่งนัก
ถึงแม้จะไม่ใช่การค้าของบ้านตนเอง แต่เื่ที่ลู่เสี่ยวหมี่พยายามลำบากคิดทำการค้าเพื่อหาเงินมาจัดงานครบรอบร้อยวันให้มารดานั้น ก็เป็เื่ที่ลือกันไปทั่วทั้งหมู่บ้าน
แม่นางน้อยที่ทั้งกตัญญูและรู้ความเช่นนี้ ใครจะใจดำแช่งชักให้นางค้าขายล่มจมได้
แต่สถานการณ์เช่นนี้ก็ดำเนินต่อไปได้แค่สองวันเท่านั้น เหตุผลไม่ใช่อื่นใด แต่เป็บรรดาผู้ลอกเลียนแบบเ่าั้เดินตามรอยเท้าสกุลลู่มาอย่างรวดเร็ว ยามนี้พวกเขาเองก็เริ่มขายถังหูลู่จากผลไม้หลากหลายชนิดแล้วเช่นกัน
เสี่ยวหมี่ตัดสินใจหยุดขาย นางเลี้ยงรับรองพวกนายพรานด้วยอาหารมื้อใหญ่ในวันนั้น ถือเป็สิ้นสุดการค้าในรอบนี้ของนาง
พรานหนุ่มแต่ละคนได้เงินกันไปคนละกว่าร้อยอีแปะ ทั้งยังได้กินของดีอยู่หลายมื้อ จึงไม่รู้สึกไม่พอใจอะไร เพียงแต่รู้สึกเสียดายแทนเสี่ยวหมี่ หากไม่มีคนลอกเลียนแบบ การค้านี้จะต้องนำกำไรมาให้นางมากมายแน่นอน
ถึงแม้เสี่ยวหมี่จะคาดการณ์ไว้ก่อนแล้ว แต่จะมากน้อยก็ยังรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นเงินเต็มกล่อง นางก็พอจะกลับมารู้สึกเบิกบานได้บ้าง
คนเราสำคัญอยู่ที่รู้จักพอ แค่อดนอนไม่กี่คืนก็ได้เงินมากขนาดนี้แล้ว อย่าละโมบไปมากกว่านี้เลย
ซันจาและองุ่นพวกนั้นเก็บมาจากบนเขาตอนฤดูใบไม้ร่วง ส่วนลูกพลับดำ ผิงกั่ว ส้ม น้ำตาล น้ำผึ้งทั้งหมดนี้ซื้อมาในราคาพันกว่าอีแปะ เงินค่าจ้างที่จ่ายให้นายพรานหนุ่มพวกนั้นหนึ่งพันสองร้อยอีแปะ นอกจากนั้นยังมีค่าใช้จ่ายจิปาถะอีกสองสามร้อยอีแปะ
การทดลองทำการค้าในครั้งแรกนี้ นางหาเงินได้ทั้งหมดหนึ่งหมื่นแปดพันอีแปะ หากไปแลกเงินในเมืองหนึ่งตำลึงเงินเท่ากับเหรียญทองแดงเก้าร้อยอีแปะ หรือก็คือประมาณยี่สิบตำลึงเงิน
ยี่สิบตำลึง!
ลู่เสี่ยวหมี่อดกอดกล่องเงินยิ้มกว้างไม่ได้
“ข้ารวยแล้ว รวยแล้ว มือซ้ายถือไก่ มือขวาถือเป็ด ข้ารวยแล้ว รวยแล้ว วันนี้ซื้อเสื้อผ้า พรุ่งนี้ซื้อดอกไม้”
เงินยี่สิบตำลึงสำหรับคนรวยแล้วบางทีอาจจะพอแค่ค่าอาหารหนึ่งมื้อหรือพอซื้อชาชั้นดีหนึ่งกา แต่กับลู่เสี่ยวหมี่แล้วนี่คือความหวัง
ใช่ ความหวัง
ความหวังของนางที่จะอาศัยความสามารถและสติปัญญาของตนเอง นำพาคนในบ้านให้มีชีวิตสุขสบายร่ำรวย ไม่ต้องพะวงเื่ของกินของใช้
บิดาลู่ยืนท้าลมหนาวแอบมองอยู่ เห็นร่างของบุตรสาวประเดี๋ยวก็กลิ้งตัวไปมา ประเดี๋ยวลุกขึ้นะโโลดเต้น ดูร่าเริงอย่างหาได้ยาก สายตาของเขาจึงมีแววยินดีเพิ่มขึ้นสองส่วน จากนั้นก็กลับไปเศร้าสร้อยและซับซ้อนยากจะอธิบาย
ลมเหนือพัดเปิดให้เสื้อของเขาเลิกขึ้นอย่างซุกซน เกล็ดหิมะหล่นเข้าไปในเสื้อ เหมือนเป็การไล่ให้บัณฑิตชราที่ดื้อรั้นผู้นี้รีบเดินกลับเข้าเรือนไปโดยเร็ว
เกาเหรินที่อยู่บนหลังคาทางหนึ่งกัดกินถังหูลู่ในมือ ทางหนึ่งเบะปาก “การมีครอบครัวนี่น่ารำคาญยิ่งนัก ไม่สู้อยู่ตัวคนเดียวแบบข้า กินอิ่มนอนหลับไม่มีอะไรให้ต้องกังวล”
น่าเสียดาย เขาเพิ่งพูดจบ ก็ได้ยินเสียงผู้เฒ่าหยางะโมาว่า “เกาเหริน รีบกลับมาตักน้ำ คุณชายจะชำระกาย”
เกาเหรินกัดฟัน พึมพำอย่างไม่พอใจเบาๆ แต่สุดท้ายก็พลิกกายลงมาจากหลังคา
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เพียงพริบตา ลู่เสี่ยวหมี่ก็เข้ามาอยู่ในร่างนี้ได้เกือบครบสามเดือนแล้ว มารดาไป๋ซื่อเองก็จากไปได้เก้าสิบกว่าวันแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันครบรอบร้อยวัน
งานครบรอบในครั้งนี้จัดอย่างใหญ่โตตามที่บิดาลู่้า
เนื่องจากลู่เสี่ยวหมี่ได้ ‘สินา’ มาไม่น้อย นางจึงใจกว้าง ตั้งใจจะจัดงานร้อยวันของไป๋ซื่ออย่างยิ่งใหญ่ ถือเสียว่าเป็การชดเชยที่นางมาสิงร่างบุตรสาวคนอื่นอยู่
ชุดไว้ทุกข์ของทั้งสี่คนถูกเก็บไว้ในลัง สกุลลู่ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน ครอบครัวฝั่งไป๋ซื่อยิ่งไม่มีข่าวคราวอะไร เมื่อลองคำนวณดูแล้ว ของที่ต้องเตรียมในวันครบรอบก็มี ของไหว้ อาหารเลี้ยงแขก และกระดาษสำหรับเผาสีต่างๆ
พี่รองลู่และพี่สามลู่นำรูปแบบกระดาษที่น้องสาวของตนวาดเสร็จแล้วไปหาช่างที่มีฝีมือในการทำกระดาษพับที่นอกเมือง เงินที่เดิมเตรียมไว้สองตำลึงสุดท้ายกลับไม่ต้องเสียสักแดงเดียว
เพราะช่างฝีมือคนนั้นรู้สึกประหลาดใจกับแบบที่ได้รับ จึงเก็บค่าบริการเป็แบบกระดาษที่ลู่เสี่ยวหมี่วาดแทน พี่สามลู่รู้สึกเหมือนจะถูกเอาเปรียบจึงลังเล ส่วนพี่รองลู่รับคำทันที
ลู่เสี่ยวหมี่เมื่อได้ทราบเื่ก็โบกมือไม่สนใจ ต่อให้นางจะอยากหาเงินแค่ไหนก็ไม่คิดจะหากินกับกระดาษพวกนี้หรอก นางหันไปสนใจอย่างอื่น แล้วเริ่มเขียนรายการออกมา จากนั้นก็ไปขอให้ท่านลุงท่านอาบ้านข้างๆ เข้าเมืองไปช่วยซื้อมาให้
สำหรับผู้าุโที่สุดในหมู่บ้านอย่างนายท่านผู้เฒ่าเฝิง นางส่งของว่างสองกล่อง สุราสองไหไปให้ เพื่อเชิญให้ท่านมาร่วมงานครบรอบร้อยวันที่บ้านของนางด้วย
ส่วนบรรดาสตรีทั้งหลายในหมู่บ้าน ก่อนหน้านี้ที่มาช่วยกันเย็บตัดอาภรณ์ก็ให้สัญญาไว้แล้วว่าจะมาช่วยงานด้วยเช่นกัน
ตราบใดที่มีเงิน จิตใจก็ไม่ว้าวุ่น
เมื่อกระจายงานออกไปให้ทุกคนช่วยเหลือ การจัดเตรียมงานก็ง่ายกว่าที่จินตนาการไว้มาก
ในเรือนพักฝั่งตะวันออก เฝิงเจี่ยนนายบ่าวทั้งสามคนเปลี่ยนเครื่องนอนชุดใหม่
ถึงแม้สีของผ้าจะดูจืดชืดเรียบง่ายไปบ้างแต่กลับยิ่งขับให้แลดูสะอาดสะอ้าน ผ้าห่มผืนใหม่นี้ถูกเย็บขึ้นมาอย่างชาญฉลาด นอกจากตัวผ้านวมหนา ยังมีการเย็บปลอกคลุมผ้านวมสี่เหลี่ยมที่สามารถถอดออกมาซักได้สะดวก
ผ้าห่มของเฝิงเจี่ยนถูกเย็บออกมาอย่างงดงามเป็ตัวอักษรหุย [3] คล้ายสี่เหลี่ยมสองขนาดซ้อนกัน วงในเล็ก วงนอกใหญ่ วงนอกเย็บคลุมด้วยผ้าฝ้ายสีขาวงาช้าง ตรงกลางเย็บคลุมด้วยผ้ายกสีน้ำเงินสด ตรงกลางปักลายนกอินทรีด้วยไหมสีน้ำตาลทอง
ผ้าห่มผืนนี้เป็ฝีมือสะใภ้ใหญ่ของป้าหลิวกุ้ยจือเอ๋อร์ นางมีฝีมือดีอย่างหาตัวจับยาก อินทรีสยายปีกราวกับมีชีวิตก็ไม่ปาน ดวงตาทั้งคู่คมกริบน่าเกรงขาม
ผ้าห่มของผู้เฒ่าหยางหนากว่าคนอื่นสามส่วน ปลอกหมอนและที่นอนเย็บขึ้นจากผ้าฝ้ายสีงาช้าง ปักลายซิ่วแชกงถือผลท้อ ผลท้อสีชมพู ซิ่วแชกงยิ้มแย้ม แลดูสดใสยิ่งนัก
ส่วนผ้าห่มของเกาเหรินปักลายซุนหงอคงขี่เมฆ เ้าลิงทะเล้นตัวนี้กลับถูกเกาเหรินรังเกียจ เขาเอาแต่ร้องโวยวายให้ลู่เสี่ยวหมี่เปลี่ยนอันใหม่ให้เขา
ลู่เสี่ยวหมี่จึงรีบเล่าเื่ความสามารถดุจเทพเซียนของซุนหงอคงให้เกาเหรินฟัง ฟังจบเขาก็ชอบเ้าลิงที่ ‘ป่วนตำหนัก์’ นี่ทันที เขางอแงอยากให้ลู่เสี่ยวหมี่เล่าตำนานซุนหงอคงให้ฟังอีก ถึงขนาดที่ลู่เสี่ยวหมี่ใช้เขาให้ไปช่วยจุดไฟเขาก็ยังไม่ต่อต้านแม้แต่น้อย
เพียงไม่นานวันครบรอบร้อยวันก็มาถึง ลู่อู่นำพรานหนุ่มคนอื่นๆ เข็นเลื่อนออกไปสามคันเพื่อไปรับกระดาษเงินกระดาษทองที่สั่งไว้
ไม่อาจไม่พูดได้ว่า ช่างฝีมือในยุคนี้ช่างมีความสามารถ
ลู่เสี่ยวหมี่เพียงแค่อาศัยสิ่งที่เคยเห็นครูพักลักจำมาจากในชาติก่อน ประกอบกับจินตนาการอีกเพียงเล็กน้อย วาดแบบร่างง่ายๆ ออกมา ผลที่ออกมากลับเกินความคาดหมายเป็อย่างยิ่ง
ช่างฝีมือสามารถเนรมิตเรือนสามชั้นขนาดใหญ่เท่าโต๊ะออกมาได้ สีสันชัดเจนถูกต้อง กำแพงสีแดงกระเบื้องสีเทา ดูสะอาดสะอ้านใหญ่โตกว่าบ้านสกุลลู่จริงๆ เสียอีก ศาลาแปดเหลี่ยมถูกทำขึ้นมาอย่างละเอียดลออ ถึงขนาดว่าสามารถอ่านตัวอักษรชื่อศาลาบนแผ่นป้ายได้เลยทีเดียว
คนรับใช้กระดาษชายแปดคนหญิงแปดคน ม้าสีแดงสองตัวลากรถม้า มีเครื่องประดับอีกหลากหลายแบบ อาภรณ์ครบสี่ฤดู กล่องเก็บสมบัติที่มีสมบัติล้นออกมา
เดิมทีสตรีในหมู่บ้านคิดจะมาช่วยจัดเครื่องเซ่นไหว้ หั่นผัก ทำความสะอาด แต่เมื่อเห็นกระดาษเตรียมเผาที่ขนมาเต็มเลื่อนก็อดเข้ามามุงดูอย่างสนอกสนใจไม่ได้
คนที่อายุมากหน่อยถึงกับเอ่ยปากชมอย่างอิจฉาว่า “มารดาของเสี่ยวหมี่ช่างโชคดีจริงๆ ก่อนหน้านี้เสี่ยวหมี่ยังเด็กไม่รู้ความ ข้ายังเคยตำหนินางมาก่อน ตอนนี้ดูสิ เสี่ยวหมี่ช่างรู้ความ เป็บุตรสาวกตัญญูจริงๆ”
“นั่นน่ะสิ เมื่อก่อนตอนที่มารดานางยังอยู่ แม่นางน้อยยังคงมีความเอาแต่ใจอยู่บ้าง ตอนนี้รู้ความ รู้จักจัดการดูแลบ้านได้อย่างเรียบร้อย”
“อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง เอาแค่เื่หาเงินละก็มีฝีมือนักเชียว ลูกชายไม่ได้เื่ของข้าคนนั้นไปช่วยขายถังหูลู่ไม่กี่วัน เงินค่าจ้างที่ได้กลับมาพอจะตัดชุดใหม่ให้ตัวเองได้แล้วด้วยซ้ำ น่าเสียดายไม่เจอลูกสาวบ้านไหนที่เหมาะสม ไม่เช่นนั้นปีหน้าคงแต่งงานได้แล้ว”
บรรดาสตรีรวมตัวกัน เื่ที่หยิบยกขึ้นมาสนทนาก็ไม่พ้นเื่สามีและลูกชาย
ยิ่งเมื่อพูดถึงเื่งานมงคลของลูกๆ ก็ยิ่งอารมณ์ดีเป็พิเศษ
เชิงอรรถ
[1] เจตนาดีกลายเป็เครื่องในลา(好心当做驴肝肺)แปลว่า มีเจตนาดีแต่ไม่มีใครเข้าใจ ทั้งยังถูกเข้าใจผิด
[2] ผิงกั่ว(苹果)หมายถึงแอปเปิ้ล
[3] หุย(回)แปลว่ากลับ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้