“โอ้?” โม่ซีเห็นดวงตาของนางมีประกายความโกรธเกรี้ยวพลุ่งพล่านออกมา จึงเริ่มสนใจมากขึ้น เอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “สิ่งที่เ้าพูดเมื่อครู่เป็แค่การหลอกลวงข้าอย่างนั้นหรือ?”
อะไร?
เมื่อเห็นว่านางดูสับสน โม่ซีจึงคว้าเอวของนางไว้แล้วกล่าวว่า "ปากไม่ตรงกับใจ พูดจาขัดแย้งกัน เมื่อครู่บอกหายดีแล้วจะร่วมหลับนอนกัน ตอนนี้กลับร้องโหวกเหวกโวยวายว่าอย่าแตะต้องตัวเ้า หากกูดึงดันจะแตะต้องตัวเ้าล่ะ เ้าจะทำอะไรกูได้?”
ทันใดนั้น ผ้าก็ฉีกขาดเป็ชิ้นๆ
ก่อนที่เสียงกรีดร้องจะหลุดออกมา โม่ซีก็โน้มตัวไปปิดริมฝีปากของนางอย่างแ่เบา ด้วยสายตายั่วเย้า ลูบเอวนางเบาๆ ปลายนิ้วเคลื่อนไปมาที่เอวของนางราวกับกำลังหยอกล้อ ยิ่งเป็การเยาะเย้ยความไร้พลังของนาง
ความอบอุ่นจากปลายนิ้วทะลุผ่านชั้นเสื้อบาง ราวกับััเนื้อหยกเปลือยเปล่า โม่ซีคล้ายเกาคล้ายไม่เกา ทำให้นางรู้สึกชาวาบที่เอว ทั้งตื่นตระหนกและรู้สึกละอาย ทว่าเนื่องจากฤทธิ์ของผงหม่าเฟ่ยจึงไม่สามารถหนีไปไหนได้และทำให้นางแทบคลั่งไคล้
“ท่าน...ท่านกำลังกำลังเอาเปรียบผู้อื่นในยามยาก!” ฉีซีกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว
โม่ซีได้ยินสิ่งนี้จึงเอ่ยถามว่า "แล้วอย่างไรล่ะ ในสายตาของเ้า กูเป็สุภาพบุรุษอย่างนั้นหรือ?"
เพียงประโยคเดียวทำให้ฉีซีถึงกับพูดไม่ออก ใช่แล้ว! นางคิดว่าบุรุษตรงหน้าที่กำลังคุกคามนาง เป็คนมักมากไร้ยางอาย!
ดวงตาของนางราวกับมีพายุลูกใหญ่ก่อตัวขึ้น ปั่นป่วนจนแทบจะคลั่ง ทว่าโม่ซีกลับแค่นเสียงเบา กล่าวว่า "นอนเถอะ"
หลังจากพูดจบ เขาก็พลิกตัวนอนหงายและหลับตาลง
ฉีซีตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง ไม่สามารถโต้ตอบได้ อีกทั้งยังกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจ จึงจ้องเขาโดยไม่กล้าขยับตัว
ทว่าทันทีที่บอกว่าจะนอน เขาก็ผล็อยหลับไป เสียงลมหายใจยาวสม่ำเสมอของเขาเริ่มดังขึ้น
หลับไปแล้วจริงหรือ?
เช่นนั้นนางควรทำอย่างไร? หนีน่ะสิ!
ฉีซีพยายามปีนลงจากเตียง ทว่าฤทธิ์ของผงหม่าเฟ่ยทำให้ขาทั้งสองของนางอ่อนล้าจนไม่สามารถยืนได้ นางจึงต้องนั่งพิงเสาเตียงรอให้ยาหมดฤทธิ์
……
ฉีซีลืมตาขึ้น รีบลุกขึ้นทันที ทว่ากลับล้มตัวลงบนเตียงนุ่มอีกครั้ง
เกิดอะไรขึ้น? นางพยายามหลบหนี ทว่ากลับถูกซีอ๋องจับได้และมัดไว้จนขยับเขยื้อนไม่ได้อย่างนั้นหรือ?
นางกวาดสายตาไปรอบตัวด้วยความหวาดกลัว จากนั้นจึงตระหนักว่าเป็เรือนผมยาวของตนเองและผ้าห่มขาดที่พันอยู่รอบตัวนาง ไม่ใช่ซีอ๋องที่มัดนางไว้
ทว่าในตำหนักกลับมีเพียงความเงียบงัน ไม่รู้ว่าซีอ๋องที่อยู่ข้างกายจากไปั้แ่เมื่อใด นางอดจะตำหนิตัวเองที่โง่เขลาไม่ได้
เมื่อคืนนอนไม่หลับเกือบทั้งคืนเพราะวางแผนจะหลบหนี ทว่าก็กลัวว่าซีอ๋องจะตื่นขึ้นมาทำอะไรเกินเลย จึงทำได้เพียงซุกตัวอยู่ในมุมหนึ่งอย่างสั่นเทา คิดจะรอจนกว่าค่ำคืนเงียบสงัดไร้ผู้คนก่อนแล้วจึงแอบหนีไป ทว่ากลับเผลอหลับไปเสียนี่ ช่างโง่เขลาเสียจริง!
ฉีซีก่นด่าตัวเองอย่างรุนแรง มองเพดานด้วยความท้อแท้
แสงส่องลอดจากเพดานโค้งประดับลวดลายลงบนพื้น สร้างเงาบนหน้านาฬิกาแดดที่นางสั่งให้คนมาวาดไว้ บ่งบอกว่าตอนนี้เป็ยามอู่1สี่เค่อ2
นางหลับไปนานถึงเพียงนั้นเลยหรือ?
การนอนหลับอย่างเต็มอิ่มเป็ครั้งแรกในรอบสามเดือนได้ชะล้างความเหนื่อยล้าให้จางหายไป ทว่าเหลือบรรยากาศเกียจคร้านทิ้งไว้ ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะหลับตาลงและอยากหลับไปอีกครั้ง
ในเวลานี้มีเสียงแ่เบาดังมาจากด้านนอกตำหนัก “แม่นางตื่นแล้วหรือ?”
นางไม่อยากขานกลับ ทว่าได้ยินเสียงฝีเท้ามากมายใกล้เข้ามา ผู้คนที่อยู่นอกตำหนักต่างะโเป็ทอด "คารวะซีอ๋อง"
เขากลับมาแล้วหรือ!?
ฉีซีตื่นใจนลุกขึ้นจากเตียง พยายามคลายสิ่งที่มัดตัวไว้ ทว่ายิ่งคลายก็ยิ่งรัดแน่นขึ้น เมื่อคืนนางนอนอย่างไร? เหตุใดจึงมัดตัวเองไว้เช่นนี้?
เมื่อโม่ซีก้าวเข้าไปในตำหนัก ก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นฉีซีนั่งอยู่บนเตียงโดยมีเรือนผมยุ่งเหยิงมัดตัวเองไว้
การประชุมในราชสำนักเมื่อเช้านี้ล่าช้าเล็กน้อย ทว่านางยังคงนอนหลับและยังไม่ได้อาบน้ำจนกระทั่งตอนนี้ ทั้งยังทำให้ตัวเองมีสภาพราวกับิญญา โม่ซีประหลาดใจและอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มออกมาเมื่อเห็นฉีซีพยายามแก้ปมบนร่างกายอย่างร้อนใจ
เมื่อคืนนางนอนหลับไม่สนิท พลิกตัวไปมาและละเมอ รบกวนเขาจนนอนไม่หลับไปด้วย เขาจึงกอดนางไว้ในอ้อมแขนโดยรวบทั้งแขนและขาไว้ ทั้งสองจึงสามารถนอนหลับได้
เขาตื่นขึ้นมาตอนเช้า ลงจากเตียงและเรียกข้ารับใช้มาเตรียมตัว เสียงของเขาไม่ดังมากพอที่จะปลุกนาง ทว่าไม่คิดว่านางจะนอนถึง่สายและห่อตัวเองเป็ขนมจ้างในเวลาไม่ถึงสองชั่วยาม
เขาเดินเข้าไปใกล้นางและหยุดอยู่หน้าเตียง ฉีซียังคงยุ่งอยู่กับการแก้ปม เมื่อเห็นรองเท้าบูทหนังสีชาของเขา จึงเงยหน้าขึ้นมองเขา
โม่ซีก้มมองนาง ริมฝีปากกล่าวประโยคที่เ็า "สร้างรังไหมอยู่หรือ?"
ทันใดนั้นฉีซีก็เงยหน้าขึ้น ถลึงตาจ้องเขา ภายในใจคิดว่าคนผู้นี้หน้าตาดูดี ทว่าคำพูดของเขาช่างน่ารำคาญเสียจริง!
เขาสวมชุดราชสำนักสีครามที่รีดอย่างประณีต สวมกวานประจำตำแหน่งฉินอ๋องสีทองผูกด้วยสร้อยสีอำพัน ดูสะอาดสะอ้านเรียบร้อย เมื่อเทียบกับนางซึ่งอยู่ในสภาพยุ่งเหยิงก็ทำให้หยวนฉีดูตกต่ำลง ทว่าสิ่งที่เขาพูดไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง ถ้าเขาไม่ฉีกผ้าห่ม นางคงไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
ขณะที่นางกำลังจะอ้าปากแก้ต่าง เขาก็อุ้มนางพาดบนบ่า จากนั้นวางนางลงบนโต๊ะเครื่องแป้ง เอ่ยว่า "อย่าขยับ"
ทันทีที่เขากล่าวจบ ปลายนิ้วเรียวก็เริ่มลูบไล้ร่างกายของนาง
เมื่อฉีซีเห็นนิ้วของเขาค่อยๆ ขยับเข้าใกล้หน้าอกจึงรีบคว้ามือเขาไว้ ทว่าบังเอิญดันไปแตะหน้าอกนุ่มเข้าพอดี
โม่ซีใเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองนาง นางก็ตกตะลึงเช่นกัน ใบหน้าแดงก่ำขึ้นในทันที รีบปัดนิ้วของเขาออก
สายตาของโม่ซีซับซ้อน เอื้อมมือไปทางนางอีกครั้ง คว้าปมที่พันกับผมของนางมา ตั้งใจจะแก้ออกให้
ฉีซีจึงตระหนักได้ว่าเขาไม่ได้มีเจตนารังแก จึงลดสายตาลงแล้วกล่าวว่า "ข้าทำเองได้"
"ผู้ที่สามารถทำเงื่อนกระตุกเป็เงื่อนตายได้พูดเช่นนี้จะเชื่อได้จริงหรือ? ให้ข้าทำเถอะ"
แม้ว่าเสียงของเขาจะเรียบเฉย ทว่าฉีซีกลับจิตใจหวั่นไหว
เมื่อวางท่าก็ดูเป็ท่านอ๋องที่เ็าและมีวาจาโอหัง เมื่อเขาไม่วางท่าก็ราวกับนายน้อยที่สง่างาม อ่อนโยน และหล่อเหลาจนทำให้คนตะลึง
เมื่อวานตอนตามเขากลับจวน เขาก็พันผ้าพันแผลให้นางอย่างอ่อนโยน ทว่ากลับบีบบังคับให้ยอมรับตัวตนของนาง ซึ่งดูขัดแย้งและเข้าใจยาก
นางเป็ใครแล้วสำคัญตรงไหน?
หากสำคัญ เหตุใดเขาจึงยอมยื่นมือมาเข้ามาช่วยนางล่ะ?
ฉีซีที่นั่งอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งมีความสูงเท่ากับโม่ซี มองเขาและไม่เข้าใจว่าภายในใจเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
หากมีข้อสงสัยในตัวตนของนาง เหตุใดจึงพานางกลับจวนและให้นอนร่วมเตียงเคียงหมอนกับเขาล่ะ?
วางแผนอะไรอยู่? อยากได้ตัวนางอย่างนั้นหรือ?
แล้วเหตุใดเมื่อคืนถึงนอนทันทีที่บอกว่าจะนอนล่ะ เหตุใดต้องปล่อยให้นางกังวลเื่นี้ทั้งคืนด้วย?
ต่อให้นางรู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทว่าในสายตาของผู้อื่น พวกเขากลับมีความสัมพันธ์ไม่ชัดเจนกันแล้ว
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ฉีซีก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิด ทว่าตอนนี้นางติดอยู่ในจวนซีอ๋องจึงไม่สามารถทำอะไรบุ่มบ่ามได้ นางจะไม่ยอมรับตนว่าเป็องค์หญิงหลิวเฟิงอย่างเด็ดขาด
ทว่าเขาไม่พูดอะไรสักคำ ลดศีรษะลงและเริ่มแก้ปมแรก
ฉีซีมองแพขนตายาวและโค้งงอที่บดบังดวงตาของเขาไว้ ทำให้ยากต่อการมองเห็นสีหน้าของเขา
บนร่างกายของนางมีปมผ้าและปมผมทั้งเล็กและใหญ่อยู่หลายสิบปม การจะคลายปมเหล่านี้ต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมาก นิ้วเรียวยาวของเขาซึ่งเต็มไปด้วยรอยแผลเป็จากการจับดาบค่อยๆ บรรจงแกะปมผ้าและปมผมออกทีละปมอย่างละเอียดอ่อน เมื่อเจอปมผมที่แก้ไม่ออก ก็ไม่ได้ดึงมันออกอย่างรุนแรงและค่อยๆ ยื่นมือขึ้นไปดึงปิ่นปักผมทองที่ปักอยู่บนศีรษะของเขาออก จับเส้นผมดำสนิท มุ่งมั่นแก้ปมที่พันกันอยู่อย่างตั้งใจ
มวยผมของเขาจึงหลุดออกมา ปอยผมดำสนิทร่วงหล่นลงมา ปลิวไสวอยู่ที่ใบหูและหน้าผากของเขาเพิ่มความเกียจคร้าน คิ้วเรียวบางลางเลือนไปเหมือนถูกกวาดด้วยพู่กัน ใบหน้าคมชัดดั่งสลักด้วยมีด แสดงถึงความเด็ดเดี่ยวและแข็งแกร่ง
----------------------------------------------------------
[1] ยามอู่ ่เวลา 11.00 – 12.59 น.
[2] เค่อ ประมาณ 15 นาที
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้