การตอบสนองแรกของฮูหยินจูคือหัวเราะเยาะเฉิงชิงที่ไม่รู้จักประมาณตน ขนาดสี่ตำรายังไม่ได้ศึกษาก็ไม่นับว่าเป็บัณฑิตแล้ว ยังจะกล้าไปเทียบกับเฉิงกุยที่อายุสิบห้าก็สอบเป็บัณฑิตซิ่วไฉอีก!
แต่มาคิดดูอีกที ต่างก็ล้วนเป็ลูกหลานตระกูลเฉิงด้วยกันทั้งนั้น หรือว่าสติปัญญาของเฉิงชิงจะแตกต่างกับเฉิงกุยมากขนาดนั้นจริงๆ?
เฉิงชิงได้รับอนุญาตจากผู้นำตระกูลให้อาศัยอยู่ในหนานอี๋ได้ ก็เป็ธรรมดาที่อยากจะใช้ทรัพยากรทางด้านการศึกษาของตระกูล
ตระกูลเฉิงก่อตั้งมาหลายปีแล้ว โรงศึกษาประจำตระกูลเฉิงมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งเมืองเซวียนตู คนในเมืองล้วนแล้วแต่อยากจะส่งบุตรหลานในครอบครัวมาขอร่ำเรียนถึงเมืองหนานอี๋ ศิษย์ต่างสกุลที่มาขอศึกษาชั่วคราวมีจำนวนมาก เมื่อหลายปีก่อน นายท่านหกเฉิงซึ่งเป็ขุนนางในเมืองหลวง ออกคำสั่งให้ขยายโรงศึกษาประจำตระกูลเฉิงเป็ ‘สถานศึกษาหนานอี๋’ ผู้ที่ไม่ใช่บุตรหลานตระกูลเฉิงก็สามารถเข้ามาศึกษาในสถานศึกษาได้ เพียงแต่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนจำนวนมาก
บุตรหลานตระกูลเฉิงสามารถเข้าเรียนได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องผ่านการสอบเข้าเรียนรอบเดียวไม่ต่างกับศิษย์คนอื่นๆ
ฮูหยินผู้เฒ่าจูไม่ได้ใจดีขนาดบอกเื่เหล่านี้แก่เฉิงชิง พอกล่าวถ้อยคำเรื่อยเปื่อยสองประโยคก็เอ่ยว่าตนเองเหนื่อยแล้ว สั่งให้เชิญแขกกลับไป
พวกเฉิงชิงแม่ลูกล้วนไม่มีใครอาลัยอาวรณ์บ้านเดิมจึงรีบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ฮูหยินผู้เฒ่าจูไม่มีอารมณ์จะนอนกลางวันแล้ว จึงหยิบกรรไกรเงินแต่งดอกไม้ขนาดเล็กเล่มหนึ่ง พลางพูดคุยกับแม่นมโจวที่อยู่ข้างกาย
“เ้าว่าเ้าเด็กเฉิงชิงนั่นเป็ยังไง ดูเหมือนจะมีอนาคตไกลหรือไม่ ฟังดูแล้วเขาคงคิดอยากจะเป็บัณฑิตรับราชการ อายุก็สิบสามปีแล้วยังไม่ได้เรียนสี่ตำราห้าคัมภีร์อีก หรือว่าจะหลอกข้ากัน?”
แม่นมโจวไหนเลยจะกล้าให้คำแนะนำแก่ฮูหยินผู้เฒ่าจู
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้ถามเพื่อขอคำตัดสินใจจากบ่าวรับใช้อยู่แล้ว นางเพียงแค่พูดเองเออเอง เวลานี้แค่เออออไปตามคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าก็เป็ใช้ได้แล้ว
“บ่าวมองไม่ออกเลยเ้าค่ะ บ่าวทราบแค่เพียงว่านายน้อยเฉิงกุยย่อมต้องมีอนาคตที่รุ่งโรจน์แน่นอน เหล่านายน้อยในเมืองต่างก็ยกนายน้อยเฉิงกุยเป็แบบอย่าง พวกเราบ้านรองย่อมต้องเจริญรุ่งเรืองขึ้นแน่นอนเ้าค่ะ”
คำพูดนี้กระทบไปถึงส่วนลึกของจิตใจฮูหยินผู้เฒ่าจู
เ้าลูกเลี้ยงที่น่ารังเกียจนั่นตายไปแล้ว บุตรชายของนางเป็ผู้ว่าการเขตพิเศษอยู่ต่างถิ่น หลานชายอายุสิบห้าปีก็สอบผ่านเป็บัณฑิตซิ่วไฉ นับวันนางยิ่งสบายใจขึ้นเรื่อยๆ
พอถูกคนรับใช้ข้างกายเยินยอ มุมปากของฮูหยินผู้เฒ่าจูก็ยกขึ้น เมื่อคิดมาถึงลูกเลี้ยงที่น่ารังเกียจนั่น รอยยิ้มก็ยิ่งแข็งเกร็ง บีบกรรไกรอันน้อยในมือแน่น
“กุยเอ๋อร์นั้นดีจริง แต่ก็ไม่ถึงกับยอดเยี่ยม ในตระกูลของเรา โดดเด่นที่สุดยังคงเป็ลูกหลานบ้านหก เฉิงชิงคนนี้ก็ไม่อาจประมาทได้ ปีนั้นความสามารถด้านการเล่าเรียนของเฉิงจือหย่วนดีมาก หากไม่ใช่ว่าตัวเขาเองทิ้งการสอบจิ้นซื่อ[1]ไป ยามนี้…”
ใช่แล้ว สมัยที่เฉิงจือหย่วนยังหนุ่ม ชื่อเสียงและความโด่งดังล้วนเป็ที่โจษจันไปทั่ว อายุเพียงสิบเก้าปีก็สอบผ่านระดับมณฑล เป็ลูกหลานที่ตระกูลเฉิงแห่งหนานอี๋ฝากความหวังไว้
ยามนั้น แค่เขาอดทนอีกเพียงไม่กี่ปีก็จะสามารถสอบผ่านได้เป็จิ้นซื่อดำรงตำแหน่งขุนนาง ทั้งยังมีความช่วยเหลือจากคนในตระกูลอีก เส้นทางขุนนางย่อมราบรื่นแน่นอน
น่าเสียดาย
แม่นมโจวค้อมตัวลง “ฮูหยินผู้เฒ่าเ้าคะ บ่าวเข้าใจความหมายของท่านแล้วเ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าออกแรงกับกรรไกรเงินอันน้อยในมือเบาๆ ตัดดอกตูมในกระถางออก
“ในกระถางมีดอกไม้บานแค่สองดอกก็พอแล้ว มีดอกตูมมากไปรังแต่จะแย่งสารอาหารเติบโต สุดท้ายดอกไม้ทั้งกระถางก็จะบานได้ไม่ดี”
แม่นมโจวรับคำเสียงเบา
ดอกตูมทุกดอกล้วนอยากจะบานด้วยกันทั้งนั้น แต่สารอาหารในดินมีเพียงเท่านี้ ยามนี้ย่อมต้องให้มนุษย์เป็คนเลือก หากคนสวน้าจะเพาะเลี้ยงให้เป็สินค้ามีชื่อ ย่อมต้องทำใจเหี้ยมเล็มทิ้ง!
ยามไปจากบ้านรองซึ่งเป็บ้านเดิม นางหลิ่วที่คิดจะเอ่ยคำบางคำแต่ก็ยั้งไว้ รอจนเมื่อกลับถึงตรอกหยางหลิ่วที่อาศัยอยู่พลันทนไม่ไหว
“ลูกข้า เ้าอยากจะร่วมเข้าสอบรับราชการหรือ?”
เสียงของนางหลิ่วสั่นเครือ ความคิดนี้ของเฉิงชิงจะบ้าบอเกินไปแล้ว!
หลอกลวงคนในตระกูลก็แล้วไปเถอะ ในอนาคตถึงความจะแตก นางยังสามารถรับคำตำนิติเตียนได้ทั้งหมด เพราะบุตรไม่อาจคัดค้านการตัดสินใจของบิดามารดา เฉิงชิงจะกลายเป็ผู้บริสุทธิ์
ทว่าการที่เฉิงชิง้าร่วมเข้าสอบรับราชการถือเป็การหลอกลวงเบื้องสูง
ราชสำนักไม่สนใจไมตรี ไม่รับฟังความยากลำบาก ราชสำนักสนใจเพียงกฎหมาย หากเื่ราวทั้งหมดถูกเปิดเผย เฉิงชิงมีเพียงโทษตายสถานเดียว!
นางหลิ่วไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของเฉิงชิง หากเทียบกับความผิดโทษฐานหลอกลวงเบื้องสูงแล้ว ชื่อเสียงก็กลายเป็เพียงเื่เล็กน้อยไปเลย
บุตรสาวคนโตรู้สึกว่าความคิดของน้องเล็กเปี่ยมไปด้วยปณิธาน ยังคงช่วยพูดให้เฉิงชิงว่า
“ท่านแม่เ้าคะ การที่น้องชายหมายมั่นจะสอบเข้ารับราชการถือเป็เื่ดี ทำไมท่านถึงไม่เห็นด้วยเล่า? อาชีพใดก็ไม่สูงส่งเท่าบัณฑิต ปีนั้นหากท่านพ่อยืนหยัดจนถึงที่สุดก็คงไม่พลาดโอกาสเป็ขุนนางใหญ่ เมื่อเริ่มต้นรับราชการเป็อาลักษณ์ขั้นเก้าด้วยจวี่เหริน[2] ต่อมาก็ได้เลื่อนขั้นเป็ปลัดอำเภอขั้นแปด ก่อนจะเสียชีวิตก็เพิ่งได้เป็นายอำเภอขั้นเจ็ด! ในขณะที่คนอื่นรับราชการเหมือนกัน ท่านอาสองเพราะสอบได้เป็บัณฑิตจิ้นซื่อ ก็เลยเริ่มจากตำแหน่งนายอำเภอขั้นเจ็ด ทั้งๆ ที่อายุน้อยกว่าท่านพ่อตั้งหลายปี บัดนี้เป็ผู้ว่าการเขตพิเศษขั้นห้าครึ่งขั้น”
บุตรสาวคนโตกระวนกระวายใจ
ถึงแม้นางจะไม่ใช่บุตรที่แท้จริงของนางหลิ่ว แต่ก็ถูกนางหลิ่วเลี้ยงดูมาั้แ่เล็ก นางหลิ่วดูแลนางอย่างเอาใจใส่ยิ่งกว่าบุตรที่ให้กำเนิดเสียอีก นางมองนางหลิ่วประหนึ่งมารดาที่ให้กำเนิดเช่นเดียวกัน
มารดาผู้นี้เป็คนงดงามและจิตใจดี เพียงแต่ชาติตระกูลต่ำต้อย ถ้าหากมีผู้าุโมาดูแลนางแทนท่านพ่อ ก็คงจะไม่ถึงขั้นหมั้นหมายนางหลิ่วเพื่อแต่งเป็ภรรยาคนที่สอง บุตรสาวคนโตแม้จะเคารพนางหลิ่ว แต่ก็เกรงว่าวิสัยทัศน์อันคับแคบของนางหลิ่วจะทำลายโอกาสในหน้าที่การงานของเฉิงชิงผู้เป็น้องชาย
บุตรสาวคนโตไหนเลยจะรู้ว่านางหลิ่วมีอุปนิสัยไม่แข็งแกร่งพอ ภายในใจยังเก็บความลับเื่เพศของเฉิงชิงไว้ด้วย นี่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับวิสัยทัศน์คับแคบ แต่เป็ความกังวลใจของมารดาที่มีต่อบุตรต่างหาก!
เฉิงชิงรู้สึกว่านางจำเป็ต้องคุยกับนางหลิ่วให้ชัดเจนสักครั้ง
“ท่านแม่ ข้าอยากจะคุยกับท่าน แค่เราสองคนเท่านั้น”
บุตรสาวคนโตรีบลากน้องสาวทั้งสองคนออกจากห้อง ให้พื้นที่แก่เฉิงชิงและนางหลิ่วในการพูดคุย
นางหลิ่วกดเสียงต่ำ “เ้าจะไปสอบเข้ารับราชการได้อย่างไร ย่อมต้องมีโทษหนักตกใส่หัวเป็แน่ ไม่ได้ ข้าไม่อนุญาตให้เ้าไป!”
เฉิงชิงพยุงแขนนางหลิ่วให้นางนั่งลงแล้วจึงมองนางอย่างจริงจัง
“ท่านแม่ ตอนนี้ไม่มีพี่สาวทั้งสามอยู่แล้ว พวกเรามาพูดคุยกันอย่างเปิดอกเถอะ นอกจากสอบเข้ารับราชการแล้ว ข้ายังมีหนทางอื่นอีกหรือ? บ้านเราตกต่ำลง ไม่มีท่านพ่อคอยคุ้มครอง คนในบ้านได้แต่นั่งกินนอนกินไปวันๆ พวกเราไม่อาจพึ่งพาความสงสารของตระกูลในการอยู่รอดไปได้ตลอด ท่านย่าเลี้ยงกล่าวประโยคหนึ่งได้ถูกต้อง ตระกูลเฉิงแห่งหนานอี๋เป็ตระกูลบัณฑิตที่สืบต่อกันมา จะต้องมีเหตุการณ์อย่างวันนี้ที่ทั้งหมดล้วนพึ่งพาความพยายามศึกษาเล่าเรียนของลูกหลานตระกูลเฉิง”
เฉิงชิงรู้สึกว่าเส้นทางการพัฒนาที่ตระกูลเฉิงแห่งหนานอี๋ยึดถือมากว่าร้อยปีนั้นถูกต้อง ราชวงศ์เว่ยก่อตั้งมาหนึ่งร้อยห้าสิบกว่าปี ขุนนางผู้มีอิทธิพลบรรดาศักดิ์ชั้นกง[3] และโหว[4] เมื่อครั้งสถาปนาเริ่มตกต่ำลง อิทธิพลของกลุ่มขุนนางบุ๋นนับวันยิ่งขยายใหญ่ขึ้น หาก้าจะลืมตาอ้าปาก การใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางการขีดเขียนถ้อยคำเหมาะสมกับเฉิงชิงมากกว่าการใช้ชีวิตท่ามกลางคมหอกคมดาบ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเฉิงชิงกล่าวต่อไปอีกว่า หากไม่สามารถเข้าร่วมการสอบเข้ารับราชการ นางก็จะไปเข้าร่วมกองทัพแทน ทั้งยังยกเื่ราวแม่ทัพหญิงมีชื่อจำนวนหนึ่งในประวัติศาสตร์มาเล่าให้นางหลิ่วฟัง นางหลิ่วยิ่งร้อนใจจนเกือบจะเป็ลม
“เ้าลูกชาย เหตุใดเ้าต้องไปเสี่ยงอันตรายด้วย ไม่ว่าจะทางบุ๋นหรือทางบู๊ก็ล้วนไม่เหมาะกับเ้า รอฝังบิดาเ้าเรียบร้อยแล้ว พวกเราจะไปจากอำเภอหนานอี๋ เปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนาม ไปยังสถานที่ที่ไม่มีคนตระกูลเฉิงอยู่ เ้ายังต้องพักรักษาตัว… แม่ไม่ได้้าให้เ้าไปแสวงหาลาภยศ เพียงหวังให้เ้ามีชีวิตอย่างสงบสุข!”
นี่คือความคาดหวังของนางหลิ่ว
หากเปลี่ยนเป็ ‘เฉิงชิง’ คนเดิม ย่อมต้องสามารถเติมเต็มความคาดหวังของนางหลิ่วได้แน่
แต่นางไม่ใช่เ้าของร่างคนเดิม
นางสามารถดูแลนางหลิ่วแทนเ้าของร่างเดิม จนถึงขั้นยินยอมที่จะช่วยพลิกคดีแทนเฉิงจือหย่วน ทั้งยังสะสางเื่ราวหลังจากที่เฉิงจือหย่วนจากไปและเื่ตระกูลเฉิงแห่งหนานอี๋ แต่นางไม่ยินยอมที่จะใช้ชีวิตอย่างธรรมดาและจืดชืดตามที่นางหลิ่วได้จัดเตรียมไว้
ก่อนจะทะลุมิติมา ชีวิตของเฉิงชิงก็ประดุจดังดาวล้อมเดือน นางใช้ชีวิตอย่างไม่เกรงใจสิ่งใดและเปี่ยมไปด้วยความสุข จึงเป็เื่ไม่น่าแปลกใจที่เมื่อทะลุมิติมายังราชวงศ์เว่ยแล้ว นางจึงตัดสินใจไม่อนุญาตให้ตนเองใช้ชีวิตอย่างไร้ค่า กลายเป็เด็กน้อยที่น่าสงสารที่ใครก็ล้วนย่ำยีได้
ดังนั้นถึงแม้ดวงตาของนางหลิ่วจะเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา ก็ยังไม่อาจทำให้เฉิงชิงหวั่นไหวได้
“ท่านแม่ การสอบรับราชการเป็การตัดสินใจของข้าเอง ข้าจะไม่เปลี่ยนการตัดสินใจนี้เป็การชั่วคราว ยามนี้ดูเหมือนความคิดนี้เป็ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับบ้านเรา!”
[1] จิ้นซื่อ คือคุณวุฒิของผู้ที่สอบผ่านระดับราชสำนัก ซึ่งเป็การสอบระดับสูงสุดของการสอบเข้ารับราชการ ผู้ที่ได้วุฒินี้มักจะได้รับการแต่งตั้งเป็ขุนนางระดับสูงในราชสำนัก
[2] จวี่เหริน คือคุณวุฒิของผู้ที่สอบผ่านระดับมณฑลในการสอบเข้ารับราชการ
[3] บรรดาศักดิ์ชั้นกง คือบรรดาศักดิ์ที่มักจะพระราชทานให้เชื้อพระวงศ์และข้าราชการชั้นสูง เป็บรรดาศักดิ์ชั้นสูงสุดที่ขุนนางจะสามารถได้รับพระราชทานได้ สามารถสืบทอดผ่านลูกหลานได้
[4] บรรดาศักดิ์ชั้นโหว คือบรรดาศักดิ์ชั้นรองจากกง มักจะพระราชทานให้กับผู้ที่มีความดีความชอบ สามารถสืบทอดผ่านลูกหลานได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้