เมื่อได้ฟังคำแนะนำอันจริงจังจากย่าหลี่แล้ว หลินฟู่อินพลันรู้สึกซาบซึ้ง จึงพยักหน้ารับคำ
จากนั้นนางจึงนำเงินค่าอาหารออกมา แล้วบอกย่าหลี่ว่านางจะไปจ้างหลิวซื่อให้นำเกวียนลาเข้าเมืองไปซื้อวัตถุดิบอาหาร ผิวส้มป่น และพวกเครื่องปรุง เช่น โป๊ยกั้ก
เสร็จแล้วนางจึงไปร้านยาของหมอหลี่ และซื้อสมุนไพรที่ต้องใช้บ่อยๆ มาหลายจิน
ที่ซื้อมานี้ก็รวมกันเฉ่าด้วย เพราะที่บ้านมีอยู่ไม่มาก และกันเฉ่ายังเป็ที่รู้จักกันในอีกชื่อคือ “กั๋วเหล่า” ซึ่งมันมีประโยชน์มาก
ทั้งมันยังใช้รักษาได้หลายโรค
แต่หลักๆ แล้วคือหลินฟู่อินมาเพื่อซื้อวัตถุดิบสำหรับทำอาหารจานไข่ แต่เพราะกลัวว่าจะมีคนมาขุดคุ้ยเื่ของที่นางซื้อ นางจึงตัดสินใจซื้ออย่างอื่นเพิ่มไปด้วย รวมไปถึงแป้งดิบ
ลุงหลิวซื่อเป็คุณลุงอารมณ์ดี เมื่อเขาเห็นเด็กสาววัยสิบปีต้นๆ เช่นหลินฟู่อินกำลังแบกของจนหลังแอ่น ก็รีบเข้ามาช่วยนางยกของทันที
เมื่อยกขึ้นมาแล้ว เขาก็ส่งเสียง “ฮึบ” แล้วจึงหันมาบอกหลินฟู่อิน “หนูฟู่อิน หนักขนาดนี้ นี่ซื้อมาเยอะมากเลยนะนี่…”
ในน้ำเสียงแฝงความเห็นใจ เพราะเมื่อวันก่อนลูกชายคนโตของเขาก็ไปช่วยตามหาหลินสามเพื่อเงินห้าอีแปะเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้ข่าวคราวอะไรกลับมา ทว่าจริงๆ แล้วมีข่าวลือหนึ่งที่แพร่กระจายไปในกลุ่มชาวบ้านอย่างลับๆ ว่าหลินสามอาจจะตายและกลายเป็อาหารสัตว์ป่าไปแล้ว
แต่การที่หลินฟู่อินยังไม่ยอมแพ้ในการตามหาพ่อก็นับว่าน่าชื่นชม เหล่าชาวบ้านที่มีจิตใจดีจึงพยายามช่วยนางเต็มที่ แต่เมื่อข้อมูลไม่พอเช่นนี้ ก็ไม่อาจทำอะไรได้มากนัก
ดังนั้นแล้ว ทุกคนจึงสงสารนาง
หลินฟู่อินเองก็เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ “เพราะเรายังหาตัวพ่อข้าไม่พบ ข้าจึงต้องมาเอง เพราะชีวิตมันยังต้องเดินต่อ และแม้ข้าจะมีย่าหลี่อยู่ด้วย แต่นางก็อายุมากแล้ว”
ลุงหลิวซื่อกล่าว “เ้าต้องลำบากมากจริงๆ”
เขาเป็คนขับเกวียนลามาตลอด และเขายังหวาดกลัวหลินฟู่อินด้วย โดยเฉพาะในวันแรกๆ ที่เขาได้ยินเื่ของนาง แต่มาจนถึงตอนนี้เขาก็เข้าใจแล้ว
มีแต่เื่โกหกทั้งนั้น ตัวหายนะที่ไหนจะตามหาพ่อจนถึงป่านนี้กัน? แถมหมู่บ้านก็สงบสุขมานานกว่าสิบปีแล้วไม่ใช่หรือ? ตอนนี้เขาจึงไม่ระแวงนางเหมือนชาวบ้านคนอื่นๆ แล้ว
และเพราะหลินฟู่อินนั้นรักษาอาการป่วยของชาวบ้านไม่หยุดมาตลอดใน่หลังมานี้ ทั้งยังได้ผลดี ชื่อเสียในฐานะตัวหายนะของนางในหมู่บ้านหูลู่ และหมู่บ้านใกล้เคียงจึงถูกพูดถึงน้อยลงเรื่อยๆ
“ฟู่อิน คราวหน้าถ้าจะมาซื้อของหนักๆ เช่นนี้อีก ก็เรียกลุงหลิวซื่อผู้นี้ได้เลย ข้าจะช่วยเ้ายกของก่อนแล้วค่อยออกไปรอลูกค้านอกเมือง”
เมื่อได้รับความเมตตาจากลุงหลิวเช่นนี้แล้ว แน่นอนว่าหลินฟู่อินไม่ปฏิเสธ และยังรู้สึกซาบซึ้งมาก ในตอนที่กลับถึงหมู่บ้าน นางเห็นว่าในถุงเหลือเงินแค่ไม่กี่เหรียญ นางจึงหยิบออกมาให้เขาสองเหรียญ
ปกติแล้วการไปกลับหนึ่งครั้งจะใช้เงินหนึ่งเหรียญทองแดง เมื่อลุงหลิวเห็นว่านางให้เขามาสองเหรียญ เขาจึงรับไว้พร้อมรอยยิ้ม แล้วชมนางในใจว่าช่างเป็คนที่รู้งานจริงๆ
หลินฟู่อินกลับถึงบ้าน ก็นับไข่ส่วนหนึ่งแยกไว้เพื่อทานหลายสิบฟอง แล้วจึงนับไข่สดมาอีกร้อยห้าสิบฟอง นำมาล้าง ใส่เกลือลงไปสองจิน ตักขี้เถ้าไม้ออกมาจากเตายี่สิบจิน จากนั้นก็ใช้ไม้ไผ่สานเพื่อกรองเถ้าเ่าั้ กรองจนได้เถ้าไม้ละเอียดราวสิบหกจิน
จากนั้นใส่เกลือลงไป แล้วผสมให้เข้ากัน
เมื่อเตรียมการเสร็จแล้ว จึงนำผิวส้มป่นและโป๊ยกั้ก รวมไปถึงเครื่องเทศอื่นๆออกมา เสริมสมุนไพรจีน เช่น กันเฉ่าและไป๋จื่อ [1] ลงในหม้อ ใส่น้ำ แล้วคนให้เข้ากันอีกครั้ง
เมื่อคนจนได้ที่ ไม่จางและไม่ข้นจนเกินไป นางจึงเริ่มห่อไข่
แต่เพราะนางเพิ่งเคยทำเป็ครั้งแรก และนางอยากทำออกมาให้ดีที่สุด จึงทำได้ค่อนข้างช้า สุดท้ายแล้วย่าหลี่ที่กำลังยุ่งอยู่จึงมาจัดการให้นางแทน
เมื่อเห็นไข่ที่ถูกห่ออย่างสวยงามจากฝีมือย่าหลี่แล้ว หลินฟู่อินจึงคิด ‘ชาติก่อนเราค่อนข้างจะทำได้หลายอย่างก็จริง แถมลำบากหลายเื่ แต่คงต้องยอมรับว่ามันจริงอย่างที่ว่า ไม่ว่าจะเป็เื่อะไรก็จะมีผู้เชี่ยวชาญอยู่ทุกเื่’
หลินฟู่อินทำงานไม่ค่อยเรียบร้อย ถ้าคิดอยากจะรวยก็ต้องหาคนที่เชื่อถือได้มาช่วยเสียแล้ว
ย่าหลี่ฟังที่หลินฟู่อินสั่ง แล้วจึงเอาไข่ที่ห่อเสร็จเหล่านี้ไปโยนลงในหม้อที่ใส่น้ำใบใหญ่ ก่อนจะห่อด้วยผ้าที่ไม่ได้ใช้แล้ว
“ต้องทิ้งไว้นานเท่าไรหรือ?” ย่าหลี่ล้างมือ แล้วเข้าบ้านไปพร้อมกับหลินฟู่อิน
หลินฟู่อินคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ตอนนี้เป็หน้าร้อน สักสิบเจ็ดหรือสิบแปดวันก็คงได้แล้ว แต่ถ้าเป็หน้าหนาวก็ต้องหนึ่งเดือน”
จริงๆ แล้ว เพราะนี่เป็ครั้งแรกที่นางลองทำเื่นี้นางจึงอาศัยการเดาวันเอา
ย่าหลี่ฟังแล้วก็พยักหน้า “ไม่นานเท่าไร”
“นี่ ฟู่อินอยู่หรือไม่?”
ทันทีที่ย่าหลี่และหลินฟู่อินได้ยินเสียงนี้ ทั้งสองก็ขมวดคิ้วทันที
ย่าหลี่กล่าวอย่างไม่พอใจ “นังนั่นมาทำอะไรที่นี่อีกกัน?”
หลินฟู่อินไม่เคยเห็นย่าหลี่ด่าคนอย่างไม่ไว้หน้าเช่นนี้มาก่อน แต่พอเห็นว่านางพูดได้ตลกดี จึงหัวเราะออกมา
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ออกไปดูเดี๋ยวก็รู้เอง”
ย่าหลี่ไปเปิดประตู
“ทำไมเปิดประตูช้านักฮะ?” ทันทีที่ประตูเปิด จ้าวซื่อก็ผลักย่าหลี่ให้พ้นทางอย่างไร้มารยาททันที จนย่าหลี่นิ่วหน้า และเมื่อเห็นผู้ชายตัวขนาดไม่สูงไม่เล็กอยู่ข้างหลังนางแล้ว ย่าหลี่จึงเมินนางไป
เมื่อเห็นว่าผู้ชายคนนี้ถือตะกร้าไม้ไผ่อยู่ นางก็ขมวดคิ้ว
“ฟู่อิน ได้ยินว่าหลังๆ กลายเป็หมออย่างปาฏิหาริย์ไปแล้วนี่ ข้าเห็นคนป่วยมาบ้านเ้าตั้งเยอะ คงทำเงินได้ไม่น้อยเลยล่ะสิ?” จ้าวซื่อมาถึงก็พล่ามน้ำลายหกตามใจชอบทันที
หลินฟู่อินนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ในห้องโถง อันเป็ที่ของเ้าบ้าน และเมินนาง
จ้าวซื่อหรี่ตามองฟู่อิน แล้วจึงหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง “แหม ท่านหมอปาฏิหาริย์นี่ช่างงดงามจริงๆ”
ในที่สุดหลินฟู่อินก็เห็นชายในชุดดำ ตัวไม่เล็กไม่ใหญ่ที่ยืนถือตะกร้าไม้ไผ่อยู่
คนๆ นี้คือ…
คนที่จะได้รับสืบทอดบ้านของจ้าวซื่อ หลินซานหลาง
เขาเป็ลูกชายคนเล็กของจ้าวซื่อ ชื่อว่าหลินติ้ง
หลินติ้งอายุมากกว่านางหนึ่งปี เพราะอย่างนั้นปีนี้จึงอายุสิบสี่
ปกติแล้วเด็กผู้ชายวัยขนาดนี้ในหมู่บ้าน ต่างก็ช่วยงานที่บ้านในยามว่าง ไม่ว่าตามปกติแล้วจะไปโรงเรียนหรือไม่ก็ตาม
ถ้าไม่ไปเรียน ก็จะเป็แรงงานชาย
แต่หลินติ้งผู้นี้กลับเกียจคร้านอย่างน่าประหลาด ไม่ใช่แค่ไม่ชอบไปโรงเรียน แต่ยังไม่ชอบทำงานด้วย
ทันทีที่งานจบก็จะไปนอนกองบนกองฟางเสมอ
แต่จ้าวซื่อไม่สนใจ
ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร จ้าวซื่อก็เอาแต่บอกว่า “สักวันลูกชายของข้าจะสืบทอดบ้านสาม แล้วได้ทั้งบ้านหลังโต และทรัพย์สมบัติเ่าั้มาไว้ในมือแน่” เป็คนที่จมอยู่แต่ในความสุขจริงๆ จนป่านนี้แล้วยังไม่รู้จักเรียนรู้อะไรอีกหรือ?
-----------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ไป๋จื่อ หมายถึง โกฐสอ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้