อาเฝิงรีบกล่าวตาม “ใช่ ที่ดินอะไรพวกข้าล้วนไม่้า พวกข้ามีสองแขนสองมือนี้อยู่แล้ว ขอแค่ทำงาน พวกข้าย่อมไม่อดตายแน่!”
หลินฟู่อินพอใจมากที่ได้เห็นทั้งสองคนกล้าแสดงความเห็นมากขนาดนี้
โลกใบนี้มีคนประเภทที่พร้อมจะกลับมาแว้งกัดผู้ที่เคยช่วยเหลือตนไว้ในภายหลังอยู่ แต่สองพี่น้องนี้คงมิใช่คนเช่นนั้นแน่
“เฮอะ เ้าพวกปรสิตดูดเงินล้างผลาญ” อู๋ซื่อแค่นเสียงแล้วจึงมองสองพี่น้องอย่างดูแคลน “แล้วคิดว่าข้าวที่พวกเ้าทานมาทุกมื้อตลอดหลายปีมันมาจากที่ใดกัน? ก็เงินทั้งนั้นไม่ใช่รึ? คิดว่าทั้งหมดนั่นเป็เงินเท่าได?”
ดูสิดู นี่คือคุณย่าของบ้าน แล้วดูคำที่พ่นออกมาแต่ละคำ ทำเอานางอยากลงไปกราบขอขมาเลยเชียว
นางยกมุมปากแล้วมองน้องอาเฝิง “สรุปง่ายๆ จากที่ท่านย่าว่ามา ถ้าอยากแบ่งบ้านก็เอาเงินมา แต่จะยอมรับเงื่อนไขนี้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพวกเ้าแล้ว”
หลินฟู่อินบอกอธิบายให้สองพี่น้องฟัง ทั้งนี้เพราะนางได้เห็นเฝิงซื่อแพ้ไปครั้งหนึ่งแล้ว และยังไม่อยู่ในสภาพที่จะลุกขึ้นมาสู้ใหม่ได้ไหว อีกทั้งยังโดนทุบหัวแตกกลับมาอีก
หลินต้าเหอเองก็เอาแต่เชื่อฟังจ้าวซื่อมาตลอดจึงไม่กล้าหือกับนาง แล้วยิ่งมีท่านย่ามาอีก ตอนนี้เขาจึงไม่กล้าแม้แต่จะออกมาจากตัวบ้าน
หวังพึ่งสองคนนี้ไม่ได้แน่
แต่บ้านสองเองก็ไม่อยากถูกผีดูดเืจากบ้านใหญ่พวกนี้สูบเืสูบเนื้ออีกต่อไปแล้ว จึงมีแต่ต้องพึ่งเด็กสาวสองคนนี้เท่านั้น
“ย่อมได้! หากท่านป้าสะใภ้ใหญ่กับท่านย่าจะยอมให้พวกข้าได้แบ่งบ้าน พวกข้าจะยอมจ่ายเงิน!” อาเฝิงเข้าใจในสิ่งที่หลินฟู่อินสื่อ แล้วจึงกัดฟันยอมรับข้อตกลง
นางเองก็เข้าใจว่าเื่นี้ควรจะต้องจบลงที่นี่ เพราะคงไม่มีโอกาสเช่นนี้อีกในอนาคต
หลินฟู่อินคลี่ยิ้มเชื่องช้า
จ้าวซื่อจิตใจโลดเต้น แล้วจึงเร่งกล่าว “ถ้าเช่นนั้น บิดาของพวกเ้าทานข้าวบ้านพวกข้ามาหลายปี จ่ายมาสองร้อยตำลึงเงิน แม่ของเ้าแต่งเข้ามาทีหลัง แต่ก็กินข้าวจากบ้านพวกข้ามาเกือบยี่สิบปี เช่นนั้นนับเป็เงินหนึ่งร้อยตำลึง ส่วนพวกเ้าสองคนยังเป็แค่เด็กโง่ ข้าคิดให้ห้าสิบตำลึงต่อคนแล้วกัน…”
จ้าวซื่อนับนิ้ว แล้วอู๋ซื่อจึงรีบพยักหน้าตามทันที ใบหน้าที่หม่นหมองมาตลอดเบิกบานขึ้น “เงินแค่นี้ยังแทบจะไม่พอจะให้ข้ากับปู่ของเ้าให้ได้อยู่อย่างสบายเลยด้วยซ้ำ ยังไม่นับเื่ค่าโลงของพวกข้าอีกนะ”
หลินฟู่อินแทบกลั้นอารมณ์โกรธเอาไว้ไม่ไหว
แม่ยายกับป้าสะใภ้จ้าวซื่อกับอู๋ซื่อ สองคนนี้กล้าทำเป็พูดดีเรียกเงินถึงสี่ร้อยตำลึงเงิน
ทั้งๆ ที่คู่สามีภรรยาบ้านสองเก็บเงินได้เพียงร้อยตำลึงเงินเท่านั้นใน่สิบปีที่ผ่านมา
ไม่มีทางที่บ้านสองจะหาเงินได้มากถึงสี่ร้อยตำลึงเงินแน่
จ้าวซื่อขมวดคิ้วแล้วนับนิ้วหลายครั้ง อู๋ซื่อเริ่มไม่สบายใจแล้วจึงถาม “ทั้งหมดกี่ตำลึงรึ?”
ความโศกเศร้าก่อขึ้นในใจหลินฟู่อินทันที แม้ว่าตอนนี้จ้าวซื่อและอู๋ซื่อจะมิได้คุยอยู่กับนาง แต่หากนางเป็คนขี้ขลาดเช่นลุงสอง คนที่เผชิญกับสถานการณ์นี้ในวันนี้ก็คงเป็นางเองแล้ว
สองพี่น้องอาเฝิงและอาฝางต่างก็อึ้งกับเงินสองร้อยตำลึงกับร้อยตำลึงไปแล้ว
แต่หลินฟู่อินรู้ดีว่ามันยังไม่จบเพียงเท่านี้
เมื่อจ้าวซื่อเห็นอู๋ซื่อถามนาง นางจึงยิ้มขัดเขินออกมา “ท่านแม่ ข้า…ข้าไม่รู้…”
อู๋ซื่อถลึงตามองนางทันที “นังคนไร้ประโยชณ์!”
แล้วนางจึงหันมาหาฟู่อิน “ฟู่อิน เ้าคำนวณได้ไม่ใช่รึ? ทั้งหมดนี่กี่ตำลึง?”
หลินฟู่อินกล่าวอย่างดูแคลน “สี่ร้อยตำลึงเงิน แต่ต่อให้เ้าขายบ้านสองทั้งตระกูลก็ไม่มีทางได้เงินมากขนาดนั้นหรอกนะ!”
“สี่ร้อยตำลึงเงินเ้าค่ะท่านแม่!” จ้าวซื่อกล่าวเสียงดัง จากนั้นจึงกล่าวอย่างเริงร่า “แต่ไม่ต้องจ่ายทีเดียว ค่อยๆ จ่ายหลังจากบ้านสองแยกออกไปแล้วก็ย่อมได้”
สตรีคนนี้ฉลาดใช้ได้ถึงคิดแผนทำเงินเช่นนี้ออกมาได้ เพราะต่อให้ขายคนทั้งบ้านสองให้คนรวยสักคนก็ไม่มีทางทำเงินได้ถึงสองร้อยตำลึง เช่นนั้นการที่ยอมให้บ้านสองแยกตัวออกไปเลยย่อมเป็การดีกว่า
“ท่านแม่ หากบ้านสองจ่ายเงินจำนวนนี้ได้ก็ยอมให้มันแยกตัวไปเถิดเ้าค่ะ อาเฝิงมันกล่าวถูกแล้ว ที่ว่าแตงที่แข็งกระด้างย่อมไม่หวาน” จ้าวซื่อแนะนำอู๋ซื่อ
แต่อู๋ซื่อยังมีท่าทีแข็งขืนอยู่ เพราะนางเป็คนที่ห้ามมิให้บ้านสองแบ่งบ้านเองั้แ่แรก
อู๋ซื่อมิได้สนใจฟังที่จ้าวซื่อกล่าวมากเท่าใดนัก นางแค่รู้สึกว่าสี่ร้อยตำลึงเงินนั้นเป็เงินก้อนใหญ่ หากเด็กของบ้านสองจ่ายได้จริง นางก็จะยอม
“ไม่ ไม่ พวกเราไม่แบ่งบ้านแล้วก็ได้ ท่านแม่…” ในที่สุดหลินต้าเหอก็ยอมเดินออกมา ดูท่าเงินสี่ร้อยตำลึงจะทำให้เขากลัวเข้าแล้วจริงๆ
ทันทีที่หลินต้าเหอเดินออกมา เขาก็ก้มลงขอขมาที่เท้าของอู๋ซื่อไม่หยุดทันที
เฝิงซื่อเองก็ลากร่างไร้เรี่ยวแรงของนางออกมาเช่นกัน สายตาของนางแฝงไปด้วยอารมณ์หลากหลาย แม้จะยังอยากแบ่งบ้านอยู่ แต่ตัวเลขสี่ร้อยตำลึงเงินนั้นสร้างความหวาดหวั่นให้นางเป็อย่างมาก
แต่สภาพน่าสังเวชของหลินต้าเหอนั้นมิได้ทำให้อู๋ซื่อรู้สึกอะไรได้เลย ทั้งยังกลับมีสีหน้ารังเกียจ นางยกเท้าขึ้นอย่างรังเกียจ แล้วจึงเตะหน้าหลินต้าเหอจนเขาล้มถอยหลัง
“ไอ้ตัวไร้ประโยชณ์ที่แค่ให้กำเนิดบุตรชายยังทำมิได้ อย่างเ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูด?”
สีหน้าของหลินต้าเหอซีดเผือดลงทันที เฝิงซื่อเองก็เช่นกัน
การบอกว่าลูกชายของนางให้กำเนิดบุตรชายไม่ได้นั้น แท้จริงแล้วย่อมหมายถึงนางที่เป็สะใภ้มิใช่หรือ?
“ท่านพ่อ ท่านแม่ แบ่งบ้านเถอะเ้าค่ะ! แต่จำนวนตำลึงเงินนี้มันมากเกินไปแล้ว ไม่มีทางที่เราต้องใช้เงินมากขนาดนั้นเพื่อแบ่งบ้านเป็แน่!” อาเฝิงที่นิ่งอึ้งอยู่ในตอนแรกได้สติกลับมาหลังจากที่ได้เห็นย่าของนางว่าร้ายบิดาของตน ในที่สุดนางก็คิดได้
หากไม่แบ่งบ้านให้ได้ในตอนนี้ ไม่ช้าก็เร็วบิดาของนางต้องถูกพวกบ้านหนึ่งฆ่าตายเป็แน่
แล้วนางยังใช้โอกาสนี้ลอบมองสีหน้าของหลินฟู่อินไปด้วย
หลินฟู่อินเพียงยืนนิ่งเงียบ นางเข้าใจเหตุผลที่ป้าสะใภ้ใหญ่และท่านย่าของนางเรียกเงินมาถึงสี่ร้อยตำลึงดี
ป้าสะใภ้ใหญ่นี่เพียงแค่คิดจะหาทางปล้นเงินกันก็เท่านั้น
“ฮะฮะ พูดอะไรของเ้ากัน? เงินก้อนแค่นี้มันจะมากเกินไปได้อย่างไร? แล้วไม่ใช่ว่าเ้าต้องจ่ายทีเดียวหมดเสียหน่อยนี่!” จ้าวซื่อจ้องอาเฝิงแล้วตะคอกอย่างชิงชัง
“ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ จากที่ท่านว่ามา แปลว่าท่านยอมให้บ้านสองแยกตัวออกไปอยู่เองได้แล้วใช่หรือไม่?” หลินฟู่อินมองหน้าจ้าวซื่อ
จ้าวซื่อมิอยากพลาดโอกาสรวยทางลัดนี้ แล้วจึงรีบกล่าวทันที “แน่นอน ยังไงมันก็เป็บ้านสองเองที่อยากแบ่งบ้าน ถ้าเช่นนั้นก็แบ่งไปเลย”
ในใจของจ้าวซื่อนั้นไม่มีเื่ของการแบ่งบ้านสองอยู่อีกแล้ว มีเพียงเื่เงินสี่ร้อยตำลึงที่จะกลายเป็ของนางเพียงคนเดียว….
หลินฟู่อินคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงหันไปมองอู๋ซื่อ “พวกท่านไม่มีอะไรจะพูดแล้ว แต่เราไปเรียกท่านปู่มาด้วยจะดีกว่า ข้าไม่เคยได้ยินเื่ตระกูลไหนในหมู่บ้านหูลู่หรือละแวกใกล้เคียงที่แบ่งบ้านด้วยวิธีนี้เลย”
“ได้ อาฝาง ไปเรียกปู่กับลุงใหญ่ของเ้ามานี่ แล้วบอกด้วยว่าป้าสะใภ้ใหญ่ของเ้ากับข้าตกลงที่จะให้บ้านสองแบ่งบ้านแล้ว” อู๋ซื่อเองก็คิดแล้วว่าวิธีของลูกสะใภ้นางมันช่างเข้าท่ายิ่งนัก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้