“ป้ายหยกอันนี้ขายได้หรือไม่?” มู่จื่อหลิงถามอย่างไม่แน่ใจ แม้จะเป็ป้ายหยกที่หลงเซี่ยวอวี่ให้ ทว่าสลักตัวอักษรไว้จนดึงดูดสายตาคนยิ่งนัก จึงถามเสียก่อน
“หวางเฟย ป้ายหยกอันนี้มิอาจขายได้ ท่านนำป้ายหยกอันนี้ไปเบิกเงินที่โรงแลกเงินใดก็ได้” ลุงฝูกล่าวอธิบายอย่างหวาดผวา เขายังมิได้บอกว่าสามารถเบิกเงินได้เท่าใด เหตุใดหวางเฟยจึงจะเอาป้ายหยกไปขายเสียเล่า
ที่แท้ก็เป็เช่นนี้ นางยังคิดอยู่เลยว่าจะนำป้ายหยกอันนี้ไปขายแลกเงิน ไม่รู้ว่าถ้าขายป้ายหยกนี้ไปจะได้ราคาสักเท่าใด
“ลุงฝู เ้ารู้หรือไม่ว่าป้ายหยกนี้สามารถเบิกเงินได้เท่าใด?” มู่จื่อหลิงถามอย่างสงสัยใคร่รู้ ไม่รู้ว่าหลงเซี่ยวอวี่จะให้ค่ารักษามากน้อยเพียงใด ไม่รู้ว่าจะพอซื้อร้านค้าหรือไม่
“บ่าวไม่ทราบขอรับ” ลุงฝูส่ายศีรษะ เขาไม่รู้อย่างแน่ชัด หอแลกเงินมีเงินเยอะถึงเพียงนั้น อีกทั้งยังเบิกได้ไม่จำกัด เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเท่าไรกัน
แม้แต่ลุงฝูยังไม่รู้ ต้องเป็เงินจำนวนไม่น้อยแน่ ถึงอย่างไรหลงเซี่ยวอวี่ก็มิใช่คนธรรมดาทั่วไป มู่จื่อหลิงจินตนาการอย่างบรรเจิด รอจนอ่านบัญชีเหล่านี้เสร็จ นางก็จะออกไปเบิกเงิน รีบคลี่คลายเื่ร้านค้าให้เร็วที่สุด หลีกเลี่ยงไม่ให้เื่ราวยืดเยื้อจนมีเื่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
“เอาเถิด พวกเ้าวางบัญชีลง เปิ่นหวางเฟยจะอ่าน แล้วก็ถอยออกไปเถิด!” มู่จื่อหลิงเอ่ยปากให้พวกเขาถอยออกไปได้
นางไม่คิดจะนอนต่อแล้ว ถูกลุงฝูก่อกวนเช่นนี้ ต่อให้ง่วงก็ล้วนต้องตื่นตัวนัก หลงเซี่ยวอวี่จ่ายค่ารักษาให้ อารมณ์จึงดีขึ้นตามไปด้วย เดี๋ยวนางจะกินอาหารเช้า หลังจากนั้นจึงจะไปอ่านบัญชี
หลังจากพวกลุงฝูจากไป เสี่ยวหานจึงพูดกับมู่จื่อหลิงอย่างตื่นเต้นว่า “ที่แท้เมื่อคืนท่านอ๋องก็มิได้โกรธเคืองนายน้อยเลย ตอนนี้ยังให้คนนำอำนาจควบคุมบัญชีในจวนมามอบให้นายน้อยอีก ต่อไปคุณหนูก็จะเป็ฉีหวางเฟยที่มีชื่อเสียงคู่ควรอย่างแท้จริง”
นางตั้งตารอมานานถึงเพียงนี้ ในที่สุดท่านอ๋องก็มองเห็นนายน้อยแล้ว นางปลื้มปีติเสียจริง ขอแค่นายน้อยมีชีวิตที่ดี อะไรๆ ก็จะดีตาม
มู่จื่อหลิงมองเสี่ยวหานอย่างอับจนปัญญา สาวใช้โง่งมผู้นี้เหตุใดดีใจยิ่งกว่านางเสียอีก ที่นางดีใจเป็เพราะหลงเซี่ยวอวี่จ่ายเงินค่ารักษานางต่างหาก
ที่เสี่ยวหานดีใจกลับเป็เพราะนางได้ดูแลเรือน ยังมีเมื่อคืนนี้ท่าทางของหลงเซี่ยวอวี่ดูเหมือนคนโมโหอย่างนั้นหรือ แต่ก็มิใช่ความเ็าที่เหมือนในยามปกติ
แล้วนางกุมอำนาจสิทธิ์ขาดการเงินและจะกลายเป็หวางเฟยที่มีชื่อเสียงคู่ควรได้อย่างไร ไม่ว่าอย่างไรจะดีร้ายก็เป็เพียงในนาม นางไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ หลงเซี่ยวอวี่ก็มอบอำนาจสิทธิ์ขาดการเงินของจวนอ๋องให้ตนเอง เป็เพราะยอมรับนางจริงๆ หรือเขายังมีความคิดอื่นใดอีก
ไม่ว่าอย่างไร เดินไปหนึ่งก้าว ก็นับไปหนึ่งก้าว
-
กินอาหารเช้าเสร็จมู่จื่อหลิงนำสินเดิมทั้งหมดไปจำนำ แล้วเปลี่ยนเป็ตั๋วทองคำ นางจึงขังตัวเองไว้ในตำหนักอ่านบัญชีอยู่เพียงลำพัง อ่านพลางคำนวณอย่างจริงจัง
บัญชีพวกนี้โดยพื้นฐานแล้วไม่มีปัญหาอันใด ดูท่าแล้วผ่อนคลายยิ่งนัก ไม่ถึงสองสามชั่วยามจึงกำจัดไปได้แล้วมากกว่าครึ่ง ดูท่าคนดูแลก่อนหน้านี้ซื่อสัตย์อย่างยิ่ง ไม่มีการทุจริตเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังจัดการได้อย่างเป็ระเบียบเรียบร้อย กวาดตามองเพียงรอบเดียวก็เข้าใจได้ทั้งหมด
ยามนี้เองก็มีเสียงเคาะประตูดังเข้ามา ‘ก๊อกๆๆๆ’
“เข้ามา!”
เสี่ยวหานที่อยู่ด้านนอกผลักประตูเข้ามา
“เสี่ยวหานเป็อย่างไร จัดการเรียบร้อยแล้วหรือไม่?” มู่จื่อหลิงเงยหน้าขึ้น คลึงลำคอที่ปวดเมื่อยพลางถาม
“นายน้อย บ่าวนำสินเดิมไปจำนำหมดแล้วเ้าค่ะ แลกเป็ตั๋วทองคำรวมทั้งหมดสามแสนแปดหมื่นตำลึงทองเลยเ้าค่ะ” เสี่ยวหานพูดอย่างมีความสุข สินเดิมเหล่านี้มากกว่าที่นางคาดไว้ตั้งสามหมื่นตำลึงเชียว กล่าวจบก็นำตั๋วทองคำส่งให้มู่จื่อหลิง
มู่จื่อหลิงรับตั๋วทองคำมา พูดกับตนเองว่า “สามแสนแปดหมื่นตำลึง เช่นนั้นก็ยังขาดเจ็ดหมื่นตำลึง” ได้แต่หวังว่าเงินของหลงเซี่ยวอวี่จะพอ มิเช่นนั้นนางต้องคิดหาวิธีการอีก
“นายน้อย ท่านหาร้านค้าได้ที่ใดกัน เหตุใดจึง้าเงินเยอะถึงเพียงนี้” เสี่ยวหานไม่เข้าใจยิ่งนัก มีร้านค้าที่แพงถึงเพียงนั้นที่ใดกัน
“ข้างหอสุราเยวี่ยอวี่” มู่จื่อหลิงไม่คิดจะปิดบังต่อไป อย่างไรเสียไม่ช้าก็เร็วเสี่ยวหานก็ต้องรู้อยู่ดี อย่างน้อยที่สุดเสี่ยวหานคงไม่คิดมั่วซั่วเหมือนหลงเซี่ยวเจ๋อเช่นนั้น แม้แต่แผนสาวงามก็ยังคิดออกมาได้
“ร้านค้าของหอสุราเยวี่ยอวี่ มิน่าเล่าถึงแพงเพียงนั้น แต่ว่านายน้อยเ้าคะ เถ้าแก่ผู้นั้นไม่ขายมิใช่หรือ?” เสี่ยวหานถามอย่างสงสัย นายน้อยใช้วิธีใดถึงซื้อร้านค้ามาได้
“เดิมทีเขาไม่ขาย ทว่าต่อมาเขารู้ว่าข้าคือฉีหวางเฟย จึงขายให้ข้า” มู่จื่อหลิงตอบอย่างคลุมเครือ
พูดจริงครึ่งไม่จริงครึ่ง เถ้าแก่หอสุราเยวี่ยอวี่รู้จริงๆ นี่ว่าตนเองคือฉีหวางเฟย แต่ว่าเหตุใดจึง้าขายร้านค้าให้นาง แม้แต่นางเองก็ยังไม่เข้าใจชัดเจนนัก นางไม่มีทางเชื่อที่เขาพูดมีวาสนาต่อกันอะไรนั่นเด็ดขาด และนางก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงต้องเชื่อเขาแล้วไปซื้อร้านค้าของเขา เพียงเชื่อใจเขาไปตามจิตใต้สำนึกอย่างไม่ทันรู้ตัว
เสี่ยวหานนั้นเหมือนว่าจะเชื่อ นอกจากเหตุผลนี้แล้วนางก็คิดเหตุผลใดไม่ออกอีก ท่านอ๋องมีทั้งอำนาจและบารมี นายน้อยเป็ฉีหวางเฟยย่อมได้พึ่งใบบุญไปด้วย
“เสี่ยวหานเ้าไปเตรียมรถม้า บัญชีพวกนี้ข้าอ่านหมดแล้ว พวกเราออกไปข้างนอกกันสักเที่ยว” มู่จื่อหลิงมองสมุดบัญชีที่เหลืออยู่อีกสองสามเล่มพลางพูด หลังจากนั้นจึงก้มหน้าก้มตาอ่านต่อ
“เ้าค่ะ” เสี่ยวหานส่งเสียงตอบรับพลางขอตัว
-
มู่จื่อหลิงอ่านบัญชีจนจบ จัดการเก็บเรียบร้อยแล้วจึงเตรียมตัวออกไป ลุงฝูก็มาพอดี
“หวางเฟย ท่านอ๋อง้าให้ท่านอ่านสมุดบัญชีเหล่านี้ให้เสร็จ มิให้ท่านออกไปข้างนอกโดยที่ไม่มีธุระ” ลุงฝูกล่าวอย่างนอบน้อม
เขาเพิ่งเห็นเสี่ยวหานไปเตรียมรถม้า ก็รู้ว่าหวางเฟยจะออกไปข้างนอก จึงรีบร้อนมาเตือน ตอนเช้าหวางเฟยมิใช่เพิ่งรับปากว่าจะอ่านให้เสร็จหรือ? เหตุใดตอนนี้จะออกไปเสียแล้ว?
“ลุงฝูท่านมาพอดีเลย บัญชีเหล่านี้เปิ่นหวางเฟยอ่านเสร็จหมดแล้ว ไม่มีปัญหาใด ส่วนที่มีปัญหาก็ทำเครื่องหมายไว้แล้ว ท่านก็หาคนมาแก้ไขได้เลย” มู่จื่อหลิงกล่าวตามอำเภอใจ
ลุงฝูได้ยินวาจานี้กลับมีสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความตกตะลึง “หวางเฟย บัญชีเหล่านี้คนปกติทั่วไปต้องใช้เวลาสิบวันถึงครึ่งเดือนจึงอ่านจนหมด เหตุใดไม่ถึงหนึ่งวันก็อ่านจนหมดแล้วเล่าขอรับ”
มิน่าเล่าเช้าวันนี้หวางเฟยตอบรับว่องไวนัก ที่แท้ก็เป็เช่นนี้ นางจะออกไปใช่หรือไม่ กวาดสายตาหนึ่งทีอ่านไปเสียสิบบรรทัด จึงรับปากตามอำเภอใจ เช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาด ท่านอ๋องสั่งไว้ว่ามิให้หวางเฟยออกไป หากหวางเฟยออกไปแล้วจะบอกกับท่านอ๋องว่าอย่างไร
“ลุงฝู ที่ท่านพูดคือเวลาอ่านของคนธรรมดา แต่เปิ่นหวางเฟยมิใช่คนธรรมดา ท่านมิเชื่อก็จงสุ่มออกมา เปิ่นหวางเฟยจะท่องให้ท่านฟัง” มู่จื่อหลิงกล่าวอย่างยิ้มแย้ม นางรู้อยู่แล้วว่าลุงฝูต้องมีการตอบสนองเช่นนี้ กล่าวไปกล่าวมาก็คือจะมิให้นางออกไป
“บ่าวมิกล้า แต่ท่านอ๋องสั่งไว้ว่าห้ามท่านออกไปโดยไม่มีธุระ” ลุงฝูใจนหลั่งเหงื่อเย็น จึงลากฉีอ๋องมากล่าวถึง
หวางเฟยผู้นี้มิใช่คนสามัญทั่วไปจริงๆ กระสอบฟางในความคิดของผู้คนกลับเก็บงำความรู้วิชาแพทย์โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้
แต่เขาก็ยังไม่เชื่อว่าเวลาไม่ถึงหนึ่งวัน จะอ่านบัญชีเหล่านี้หมดแล้วได้อย่างไร ต่อให้เขาไม่เชื่อก็ไร้หนทาง เขามิกล้าให้หวางเฟยออกไปท่องบัญชี ทว่าเื่ที่ท่านอ๋องสั่งไว้เล่าจะทำอย่างไรดี
“ลุงฝู ท่านอ๋องกล่าวว่าไม่มีธุระห้ามออกจากจวน ยามนี้เปิ่นหวางเฟยมีธุระ อีกอย่างเ้าก็บอกแค่ว่าหลังจากอ่านบัญชีเหล่านี้จนหมดก็ไม่มีเื่อื่นแล้ว เอาเถิด ท่าน ดูฟ้าจะมืดแล้ว เปิ่นหวางเฟยออกไปประเดี๋ยวก็กลับมา” มู่จื่อหลิงกล่าวกับลุงฝูอย่างมีน้ำอดน้ำทน ถ้ายังอืดอาดต่อไปอีก ตอนนางกลับมาฟ้าคงมืดแล้ว
ดูเหมือนจะมีเหตุผลอยู่เล็กน้อย ที่ท่านอ๋องกล่าวก็คือไม่มีธุระห้ามออกไป หวางเฟยอ่านบัญชีเสร็จหมดแล้ว ท่านอ๋องก็มิได้สั่งเื่อื่นไว้ ลุงฝูคิดอย่างเหม่อลอย รอจนเขามีปฏิกิริยากลับมามู่จื่อหลิงก็ไปไกลเสียแล้ว
“หวางเฟยขอรับ ท่านอ๋องสั่งไว้แล้ว เหนียงเหนียง...” ลุงฝูถึงได้รู้ตัวว่าเขาโดนมู่จื่อหลิงหลอกเสียแล้ว รีบติดตามมู่จื่อหลิงไป น่าเสียดายที่มู่จื่อหลิงขึ้นรถลากไปไกลเสียแล้ว
-
ครั้งนี้มู่จื่อหลิงมิได้เปลี่ยนเป็เครื่องแต่งกายบุรุษ แต่งกายเยี่ยงสตรีออกจากจวน สวมผ้าคลุมหน้าเนื้อบาง นางเกรงว่าตอนที่กลับมายังมิทันเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็จะพบหลงเซี่ยวอวี่เข้าเสียก่อน
พวกนางมาที่โรงแลกเงินที่อยู่ใกล้กับจวนอ๋องมากที่สุด มู่จื่อหลิงยื่นป้ายหยกให้คนงาน ตอนที่คนงานรับป้ายหยกมาพลันรู้สึกลวกมือนัก มองมู่จื่อหลิงด้วยสีหน้ามิอยากเชื่อ
นี่คือป้ายหยกไร้จำกัดที่ฉีอ๋องใช้ แม่นางที่คลุมหน้าไว้ผู้นี้เป็ผู้ใดกัน เหตุใดจึงได้มีป้ายหยกของฉีอ๋อง
“สอบถามแม่นาง้าเบิกเงินกี่ตำลึงขอรับ?” คนงานถามอย่างระมัดระวัง สามารถใช้ป้ายหยกของฉีอ๋องได้ ฐานะต้องมิสามัญแน่ เขาระวังไว้ก่อนจะดีกว่า
“ป้ายหยกนี้สามารถเบิกได้เท่าใดก็เบิกเท่านั้น” มู่จื่อหลิงตอบอย่างไม่ลังเล เพียงแต่เหตุใดสายตาของคนงานผู้นี้ที่มองนางจึงได้แปลกเช่นนั้น นางไม่กินคน ทำไมต้องกลัวนางเช่นนี้ด้วย
“แม่...แม่นางท่าน ป้ายหยกนี้สามารถเบิกเงินได้มิจำกัด ท่านต้องยืนยันจำนวนที่แน่ชัดจึงจะเบิกได้” คนงานตัวสั่นระริกอย่างหวาดกลัว แม่นางท่านนี้ก็พูดไปได้ว่าเบิกได้เท่าใดก็เท่านั้น แล้วนั่นคือเท่าใด มิใช่ว่าเบิกจนทำให้หอแลกเงินปิดตัวลงหรอกนะ
เป็คราวของมู่จื่อหลิงที่ต้องตกตะลึงบ้างแล้ว สิ่งใดคือเบิกได้ไม่จำกัด คือเบิกได้ไม่จำกัดวงเงินหรือ? นางจึงถามยืนยันอีกครั้ง “ความหมายของท่านคือป้ายนี้้าเบิกเท่าใดก็เบิกได้เท่านั้น?”
“ขอ...ขอรับ แม่นาง้าเบิกเท่าใด?” คนงานตอบกลับ แม่นางผู้นี้นี่อย่างไรกัน นางไม่รู้ว่าป้ายหยกนี้สามารถเบิกได้ไม่จำกัดหรือ?
มู่จื่อหลิงราวกับถูกผีสิง หลงเซี่ยวอวี่มอบป้ายนี้ให้นางเป็ค่ารักษาของหลงเซี่ยวหนานจริงหรือ เช่นนั้นชีวิตของหลงเซี่ยวหนานก็จะล้ำค่าไปแล้ว
ความหมายของคำว่าไม่จำกัดก็คือไม่สามารถประเมินค่าได้? ต่อให้ประเมินค่ามิได้จริงนางก็ไม่กล้าพกป้ายหยกที่ร้อนลวกมือเช่นนี้ นางมิใช่หมอหน้าเื ตัดเนื้องอกหนึ่งก้อน หลงเซี่ยวอวี่ก็จ่ายเงินค่ารักษาให้นางไม่จบไม่สิ้น
มู่จื่อหลิงมิกล่าววาจาอยู่นาน
คนงานจึงเปิดปากถามด้วยความระมัดระวัง “ขออภัย แม่นาง้าเบิกเงินเท่าใด?”
เสี่ยวหานก็ตื่นตะลึงเช่นกัน นางรู้ว่าเมื่อวานนี้นายน้อยเข้าไปรักษาโรคทางสมองให้องค์ชายห้าในวัง ป้ายหยกนี้เป็ค่ารักษาที่ท่านอ๋องมอบให้
แต่ฉีอ๋องเ้าคะนี่คือป้ายหยกอันใดกัน ถึงกับสามารถเบิกเงินได้ไม่จำกัด นางมีสติขึ้นมาก่อน กระตุกแขนของมู่จื่อหลิง “นายน้อย เขาถามว่าท่านจะเบิกเท่าใด”
มู่จื่อหลิงสะดุ้งได้สติขึ้นมา ใคร่ครวญพลางกล่าวว่า “เช่นนั้นเบิกแปดหมื่นตั๋วทองคำ”
นางเบิกแค่จำนวนเงินที่ต้องใช้ในการเปิดร้านเท่านั้นจะเป็การดีกว่า จากนั้นค่อยนำป้ายหยกนี้ไปคืนให้หลงเซี่ยวอวี่ ไม่ว่าป้ายหยกของหลงเซี่ยวอวี่จะเป็ค่ารักษาจริง หรือมีความหมายอย่างอื่น นางก็ล้วนไม่้า
ป้ายหยกล้ำค่าเช่นนี้นางมิกล้าถือไว้ในมือ หลงเซี่ยวอวี่มอบป้ายหยกไม่จำกัดให้นาง คงไม่คิดว่านางจะเอาเงินไปถึงแปดหมื่นตำลึงทองกระมัง หากคิดว่ามากไป รอเปิดร้านมีรายได้ค่อยนำไปคืนเขา
พวกเขาออกมาจากหอแลกเงินฟ้าก็มืดแล้ว มู่จื่อหลิงตัดสินใจกลับไปก่อน วันรุ่งขึ้นค่อยไปเปลี่ยนยาให้หลงเซี่ยวหนานในวังหลวง แล้วถือโอกาสเลยไปหอเยวี่ยอวี่จัดการเื่ร้านค้า
กลับมาครั้งนี้ ตลอดทั้งทางจนถึงตำหนักอวี่หานมิได้พบหลงเซี่ยวอวี่อีก ใจของมู่จื่อหลิงจึงสงบลง
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดทุกครั้งที่เห็นหลงเซี่ยวอวี่ก้มลงมามองนางจากยอดหลังคา นางมักจะรู้สึกใจเต้นตึกตักด้วยความกังวล ราวกับไปทำเื่ไม่ดีนอกเรือนแล้วถูกจับได้
วันที่สอง หลงเซี่ยวเจ๋อที่ตีเท่าใดก็ไม่ตายเสียทีมาที่จวนฉีอ๋องอีกแล้ว......
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้