เมื่อคิดได้เช่นนี้นางก็ไม่ลังเลอีก จึงตัดสินใจเล่าความคิดของตนให้เด็กๆ ทราบ บรรดาเด็กน้อยตื่นเต้นดีใจจนส่งเสียงออกมา
“พี่เสี่ยวหมี่ ข้าอยากชื่อเหม่ยอวี้ [1] ข้าเคยเห็นกำไลหยกบนเพิงขายเครื่องประดับที่ในเมือง มันสวยที่สุดเลย”
“ข้าจะชื่อเจียงจวิน [2] บิดาข้าบอกว่าแม่ทัพห้าวหาญที่สุด”
แต่ละคนพากันพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุดเื่ชื่อที่ตนอยากได้ เสี่ยวหมี่โบกมือให้หยุดก็ไม่มีใครฟัง สุดท้ายจึงตัดสินใจใช้ไม้บรรทัดในมือตีลงไปบนโต๊ะ
ไม้บรรทัดนี้เป็ของที่บิดาของพวกเด็กๆ มอบให้นางเองกับมือ พวกเขาต่างรู้ดีว่าลูกๆ ของตนซุกซน หากว่าเด็กๆ ถูกไม้บรรทัดนี่ตี พวกพ่อแม่ไม่เพียงไม่ปวดใจแต่จะตีซ้ำเสียมากกว่า ทุกคนจึงพากันเงียบเสียงทันที
ลู่เสี่ยวหมี่กวาดตามองไปรอบห้อง ล้มเลิกความตั้งใจที่จะสอนเขียนอักษร นางกลับไปที่เรือนหลังแล้วยกเอากล่องใส่เหรียญออกมา ก่อนจะแจกเงินให้เด็กๆ คนละยี่สิบอีแปะ
ใช้เหรียญสอนวิชาคำนวณ ทุกคนตื่นเต้นกันมากจนสองแก้มแดงก่ำ เพราะไม่เคยจับเงินมากขนาดนี้มาก่อน
เสี่ยวหมี่พาพวกเด็กๆ นับเหรียญ ใช้เหรียญเหล่านี้สอนวิธีบวกลบแบบง่ายๆ รอจนพวกเขาสามารถบวกลบเลขไม่เกินหลักสิบได้จนหมดแล้ว พระอาทิตย์ก็ไต่ระดับไปอยู่เหนือหัวเป็ที่เรียบร้อย
เสี่ยวหมี่ยังแจกขนมกุ้ยฮัวให้เด็กๆ คนละชิ้นเป็รางวัล พวกเขาจึงพากันเลิกเรียนไปอย่างอารมณ์ดี
บรรดานายพรานทั้งหลายที่ดื่มชากันจนเต็มท้อง จูงมือลูกๆ กลับบ้านท่ามกลางสายลมหนาว ระหว่างทางอดถามไม่ได้ว่าคาบเรียนวันนี้เป็อย่างไรบ้าง เด็กๆ ไม่สามารถเก็บความลับได้ แต่ละคนเล่าให้บิดาฟังเสียงดังไปตลอดทางไม่ยอมหยุด
บรรดานายพรานฟังแล้วก็พออกพอใจ แต่หลังจากนั้นก็รู้สึกเป็กังวลขึ้นมา สกุลลู่ให้ความสำคัญกับลูกๆ ของพวกเขาเช่นนี้ ทั้งจะตั้งชื่อให้ ทั้งสอนอ่านหนังสือ สอนคำนวณ สุดท้ายก่อนเลิกเรียนยังให้ขนมมาอีก หากพวกเขามอบสิ่งปฏิกูลเป็ค่าเล่าเรียนเพียงอย่างเดียว จะดูตระหนี่ไร้มารยาทเกินไปหรือไม่
ดังนั้น บรรดาพ่อๆ จึงประชุมกันครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่าเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้วพวกเขาจะมาช่วยสกุลลู่ปรับปรุงดิน
ในฐานะนายพราน ความสามารถของพวกเขานอกจากยิงธนูลอกหนังสัตว์แล้ว ก็มีแต่เรี่ยวแรงนี่แหละที่พอจะใช้ได้
เมื่อก่อนสกุลลู่จะใช้วิธีว่าจ้างชายฉกรรจ์ที่ว่างงานมาช่วยงานในเรือกสวนไร่นาของพวกเขา ได้ยินว่าชายฉกรรจ์เ่าั้เห็นว่าพี่ใหญ่ลู่ใจอ่อน จึงรังแกเขา ถึงกับทำที่นาพวกเขาเสียหายไปไม่น้อย
ปีนี้สกุลลู่มีเสี่ยวหมี่เป็ผู้ดูแล เื่ขอสิ่งปฏิกูลไปปรับปรุงดินก็เป็นางที่คิดออกมา แม่นางน้อยที่สะอาดสะอ้านคนหนึ่ง จะให้มาัักับของสกปรกเช่นนี้ได้อย่างไร ไม่สู้ให้พวกเขาช่วยจัดการจะดีกว่า และไม่ต้องกลัวว่าจะทำไม่ถูกต้อง สงสัยอะไรถามเสี่ยวหมี่เอาก็ใช้ได้แล้ว
ทุกคนตั้งใจแน่วแน่ กลับบ้านมาถึงก็โยนลูกๆ ให้ภรรยาที่รอมาตลอดเช้า ส่วนตัวเองเข้าไปในห้องส้วม บางคนก็ไปที่เล้าหมู
การลอกท่อในฤดูหนาวนั้นจะต้องใช้แรงมากกว่าปกติเพราะทุกอย่างแข็งไปหมด แต่ก็มีข้อดีคือไม่ค่อยมีกลิ่นไม่พึงประสงค์
เพียงไม่นานบุรุษของแต่ละบ้านก็พากันสะพายของบางอย่างบนหลัง เดินมุ่งหน้าไปยังสวนไร่นาของสกุลลู่ที่อยู่ต่ำลงไปกว่าหมู่บ้านเขาหมีอย่างพร้อมเพรียง
หนึ่งครอบครัวรับผิดชอบพื้นที่สองหมู่ เช่นนี้เองพื้นที่แห้งแล้งสามสิบหมู่ของสกุลลู่ก็ถูกปันส่วนอย่างชัดเจน
ลู่เสี่ยวหมี่ยังไม่รู้ว่าบ้านของนางได้แรงงานมาช่วยอีกสิบกว่าคน ตอนนี้นางกำลังยกกับข้าวขึ้นโต๊ะพลางสนทนากับบิดาเื่จะให้ช่วยตั้งชื่อให้เด็กๆ
บิดาลู่ได้ยินก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างที่นานๆ ครั้งจะเป็ ตอบรับว่า “นี่เป็เื่ดี ขอแค่ครอบครัวของพวกเด็กๆ ตกลง ข้าก็ไม่รังเกียจจะช่วยตั้งชื่อให้พวกเขา”
“เช่นนั้นก็ดี ท่านพ่อกินข้าวเสร็จแล้วไม่สู้กลับไปพลิกเปิดตำราเก่าๆ ของท่านดู คาดว่าวันรุ่งขึ้นคงจะได้ใช้”
ลู่เสี่ยวหมี่คีบหมูเพิ่มให้บิดาอีกสองชิ้นอย่างอารมณ์ดี กำลังคิดว่าในอนาคตควรจะหาอะไรให้บิดาทำเยอะๆ ดีหรือไม่ ไม่แน่เมื่อเขายุ่งก็อาจจะทำให้ลืมไป๋ซื่อที่จากไปได้เร็วขึ้น ไม่ต้องทนอยู่อย่างเศร้าซึมและผ่ายผอมลงทุกวันๆ เช่นนี้
ผู้เฒ่าหยางฟังสองพ่อลูกสนทนากันอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าอิจฉา สายตาที่มองเสี่ยวหมี่ยิ่งอ่อนลงหลายส่วน บุตรสาวดีๆ เช่นนี้ ไปเกิดที่บ้านใดล้วนเป็วาสนาของบ้านนั้น
ส่วนเฝิงเจี่ยนนั้นกลับจำสิ่งที่เสี่ยวหมี่สอนเด็กๆ ในวันนี้ได้ขึ้นใจ เขาถึงกับแหกกฎที่ถูกฝังหัวมาอย่างดีว่า ‘ไม่ควรสนทนาเวลารับประทานอาหาร’ แล้วเอ่ยถามว่า “ที่แม่นางลู่สอนเด็กๆ ในวันนี้ นำมาจากตำราเล่มใดหรือ?”
ลู่เสี่ยวหมี่ได้ยินก็หยุดตะเกียบลง ตอบกลับทันทีว่า “ตำราสามอักษรอย่างไรเล่า ตำราเล่มแรกของท่านไม่ใช่ตำรานี่หรอกหรือ?”
เมื่อถามจบ นางก็เพิ่งจะััถึงความ ‘อันตราย’ นางรีบเอ่ยเพิ่มเติมว่า “ข้าเองก็ลืมไปแล้วว่าไปเจอมาจากที่ไหน เพียงแค่รู้สึกว่าท่องจำง่าย ความหมายดี เหมาะจะใช้สอนพวกเด็กๆ จึงนำมาใช้ก็เท่านั้น”
เฝิงเจี่ยนพยักหน้าไม่พูดอะไรอีก แต่นั่นยิ่งทำให้ลู่เสี่ยวหมี่รู้สึกหวาดระแวงมากกว่าเดิม นางกำชับตัวเองว่าต่อไปต้องระวังให้มาก หนึ่งคำโกหกจำต้องใช้อีกกว่าร้อยคำโกหกเพื่อปกปิด หากยังโกหกเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นที่นางเองก็จำไม่ได้ว่าโกหกอะไรไปบ้างก็คงจบกัน
ส่วนบิดาลู่เมื่อได้ยินบุตรสาวพูดว่า ‘ลืม’ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนน้อยๆ จนต้องกระแอมออกมาเบาๆ
เฝิงเจี่ยนและผู้เฒ่าหยางสบตากันทีหนึ่ง ไม่มีใครพูดอะไรออกมา แต่ความสงสัยในแววตายิ่งเด่นชัด
เดิมนึกไปว่าสกุลลู่เป็แค่ชาวบ้านธรรมดา หากจะบอกว่ามีอะไรที่ต่างออกไป ก็คงเพราะมีบุตรสาวที่เฉลียวฉลาดผิดธรรมดาอยู่คนหนึ่ง ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกรักใคร่เอ็นดูมากสักหน่อยก็เท่านั้น...
แต่มาตอนนี้ดูแล้ว สกุลลู่นั้นราวกับสาวงามที่มีผ้าคลุมหน้าบดบังเอาไว้ผืนแล้วผืนเล่า ดูมีความลับอะไรบางอย่างที่ยากจะอธิบาย ทำให้คนอยากค้นหา...
เช้าวันที่สอง ตอนที่บรรดาเด็กๆ ซุกซนถูกบิดาพามายังบ้านสกุลลู่นั้น ต่างก็ได้รับชื่อเพราะๆ กันไปคนละหนึ่งชื่อ บรรดาพ่อๆ ที่พามาได้ยินก็ตื่นเต้นดีใจจนทำอะไรไม่ถูก
ส่วนลู่เสี่ยวหมี่ก็ได้รู้เื่ที่เกิดขึ้นกับที่นาของบ้านนางแล้ว
ดังนั้นตอนบ่าย นางจึงรีบพาบิดาลู่กับพี่รองที่เปี่ยมไปด้วยพละกำลังแต่ไร้สถานที่ให้ปลดปล่อยไปยังที่นาของพวกเขา ผู้เฒ่าหยางเห็นเช่นนั้นก็คลุมเสื้อคลุมหนังแกะเดิมตามออกมาด้วย
การทำปุ๋ยหมักนั้นไม่ใช่เื่ง่าย จำเป็ต้องนำสิ่งปฏิกูลเ่าั้มาผสมกับส่วนผสมอื่นๆ ที่เหมาะสมก่อน โดยเฉพาะมูลสุกรจะต้องนำมาผสมกับดินดำและหญ้าบดละเอียดและหมักเข้าด้วยกัน ส่วนอุจจาระคนนั้นง่ายหน่อย แค่ผสมกับดินดำแล้วปล่อยให้แห้งก็เป็อันใช้ได้
ส่วนมูลม้านั้นยิ่งแล้วใหญ่ หากนำมาใช้กับดินทั้งผืน จะทำให้รากของพืชผลเน่าเสียได้
นอกจากทางด้านเสี่ยวหมี่ที่กำลังตื่นเต้นดีใจกับการปรับปรุงดินที่กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว ณ สถานที่ห่างไกลออกไปนับร้อยลี้ที่สำนักศึกษาฮวางหยวน สำนักศึกษาแห่งนี้ถูกตั้งชื่อตามสภาพที่เป็อยู่คือ ‘ทุรกันดาร’ นักเรียนที่อุทิศตนมาศึกษา ณ ที่แห่งนี้ ‘ล้วนไม่กลัวความยากลำบาก หาญกล้าปีนขึ้นเขามาศึกษาหาความรู้’
สำนักศึกษาแห่งนี้มีขนาดประมาณสองร้อยหมู่ ด้านในมีหอเล่าเรียน หอตำรา หอนอน แม้แต่หอสังเกตการณ์ก็มี ทั้งยังมีสายน้ำไหลผ่านอยู่ใกล้ๆ นับว่ามีทุกอย่างพร้อมสรรพ
แต่เพราะความทุรกันดารของสถานที่ตั้ง ทำให้นอกสำนักศึกษามีคนอาศัยอยู่บางเบา
ครั้นกาลเวลาผ่านไป บรรดาครอบครัวของบัณฑิต หรือพ่อค้าแม่ค้า ครอบครัวของเหล่าอาจารย์ในสำนักก็ค่อยๆ พากันย้ายถิ่นฐานมาที่นี่ ยามนี้จึงพากันมาตั้งรกรากจนแทบจะเป็เหมือนเมืองเล็กๆ ซึ่งคึกคักไม่น้อยอยู่ข้างๆ สำนักศึกษาแห่งนี้
ยามนี้เป็ยามเที่ยง พระอาทิตย์เจิดจ้า ถึงแม้จะนำพาความอบอุ่นมาให้ไม่มากนัก แต่ก็ดีกว่าไม่มีเลย
ที่โรงน้ำชาแห่งเดียวในเมือง เหล่าบัณฑิตสวมเสื้อคลุมขนสัตว์หรือไม่ก็หนังสัตว์ กำลังนั่งสนทนาสรวลเสเฮฮากันอยู่ริมหน้าต่างอย่างไม่กลัวลมหนาวแม้แต่น้อย
สำนักศึกษาให้วันหยุดบัณฑิตแต่ละคนทุกๆ เจ็ดวัน บรรดาบัณฑิตจึงพากันออกมาเที่ยวเล่น บ้างจ่ายเงินเพื่อลิ้มรสอาหารรสเลิศตามเหลาสุราต่างๆ บ้างก็ตัดสินใจออกไปหาความสุขเสียเลย เพื่อระบายความอัดอั้นที่ได้รับตลอดเวลาที่ต้องเก็บตัวอยู่ในสำนักศึกษา
่เวลานี้เองเป็เวลาที่พ่อค้าแม่ขายเบิกบานเป็ที่สุด ไม่ว่าจะขายของกิน ของใช้ ของเล่น หรือแม้แต่แม่นางที่ร้องเพลงเล่นดนตรีอยู่ในโรงน้ำชาต่างก็รีบเก็บเกี่ยวใน่เวลานี้ทั้งสิ้น
มุมหนึ่งของซอยเล็กๆ ข้างโรงน้ำชา ไม่รู้มีโต๊ะเล็กๆ ตัวหนึ่งมาวางไว้ั้แ่เมื่อใด บนโต๊ะมีกระดาษ พู่กัน แท่นหมึก ที่ทับกระดาษครบถ้วน มีบัณฑิตคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมกำลังนั่งเขียนจดหมายแทนท่านป้าชราคนหนึ่งอยู่
ท่านป้าคนนั้นพูดร่ายยาวไม่เว้นจังหวะบัณฑิตคนนั้นกลับยังคงยิ้มแย้มฟังไปเขียนไป ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็จัดการเอาแท่นหมึกไปอังเหนือเตาให้หมึกไม่จับตัวเป็ก้อนแข็งเกินไป
เมื่อส่งท่านป้าคนนั้นจากไปเรียบร้อยแล้ว เขาก็เก็บเงินไม่กี่อีแปะลงในถุงเงินด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
บนหอสูงของโรงน้ำชามีบัณฑิตบางคนชะโงกหน้าออกมามองด้วยสีหน้าดูแคลน กล่าวขึ้นว่า “เ้าลู่เชียนนั่น กลับบ้านไปคราวนี้ถูกลาเตะที่ศีรษะมาหรืออย่างไร? ถึงกับมาตั้งโต๊ะรับเขียนจดหมายแทนชาวบ้านอยู่ที่นี่ ช่างนำความอับอายมาสู่เหล่าบัณฑิตจริงๆ”
“นั่นน่ะสิ เขาเองก็นับว่าเป็บัณฑิตคนหนึ่ง ยิ่งควรอยู่ให้ไกลจากกลิ่นสาบครัว กลิ่นสาบเงิน ยามปกติเขาทำอาหารก็ช่างเถอะ ยามนี้ยังถึงกับขายอักษรเพื่อเงินตรา ช่าง...ดึงตัวเองให้ตกต่ำจริงๆ”
“พวกท่านอาจารย์ก็ตามืดบอดเสียจริง ก่อนหน้านี้เอาแต่ชมว่าเขาเขียนบทความได้ดี เดี๋ยวนี้ก็ยิ่งเอาใหญ่”
ลู่เชียนที่อยู่ด้านล่างกลับไม่ได้ยินบทสนทนาเหล่านี้แม้แต่น้อย แน่นอนว่าต่อให้เขาได้ยินเขาก็ไม่สนใจ
ทุกครั้งที่ยื่นมือไปลูบถุงเงิน เขาก็อดอารมณ์ดีจนแย้มยิ้มออกมาไม่ได้
ถึงแม้จะไม่มาก แต่ทุกวันหยุดอย่างน้อยก็หาเงินได้กว่าร้อยอีแปะ สะสมไปเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลากลับบ้านคงจะซื้อปิ่นปักผมให้น้องสาวได้สักเล่มหนึ่ง รอจนปีหน้าเมื่อน้องสาวปักปิ่น [3] ต้องรวบผมขึ้น จะได้ใช้พอดี
ตอนที่กำลังคิดเช่นนั้นอยู่นั่นเอง ก็มีเด็กรับใช้จากร้านน้ำชาคนหนึ่งเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ในมือถือกาน้ำชา เมื่อเดินมาถึงหน้าโต๊ะ ก็รีบรินน้ำชาร้อนๆ ให้ลู่เชียนอย่างรวดเร็ว
“คุณชายลู่ วันนี้ท่านมีลูกค้าเยอะเลยนะขอรับ เถ้าแก่ของเราบอกว่าอีกสักครู่ให้ท่านเข้าไปทานอาหารในร้านขอรับ”
ลู่เชียนดื่มชาร้อนๆ ลงไป สะบัดเสื้อคลุมขนไก่ที่ดูเหมือนจะบางเบาแต่ที่จริงแล้วอบอุ่นเป็อย่างยิ่ง ถึงแม้เดิมเขาจะไม่ได้รู้สึกหนาวอยู่แล้ว แต่ก็ยังขอบคุณไปตามมารยาท
“ขอบคุณพี่ชายที่อุตส่าห์มารินน้ำชาให้ข้า ฝากขอบคุณเถ้าแก่ลั่วแทนข้าด้วย แต่ข้าวเที่ยงข้าคงไม่เข้าไปกินแล้ว หากว่าพ่อครัวที่ร้านของท่านว่าง แค่ช่วยอุ่นอาหารที่ข้านำมาด้วยก็เป็พระคุณมากแล้ว”
“วันนี้เป็เกี๊ยวหรือบะหมี่เนื้อหรือขอรับ?” เด็กรับใช้คนนั้นแย้มยิ้มไปถึงดวงตา ทุกวันหยุดที่ลู่เชียนมาตั้งเพิงเขียนจดหมายที่นี่ก็จะขอให้เขาช่วยอุ่นอาหารให้ทุกครั้ง บางครั้งยังแบ่งเกี๊ยวให้เขาสองชิ้น บางครั้งก็ให้สินน้ำใจสองอีแปะ เอาเป็ว่ามีท่าทีเกรงอกเกรงใจยิ่งนัก
ลู่เชียนหยิบห่ออาหารออกมา ยามที่เขามองมันสายตาดูอาลัยอาวรณ์
ถึงแม้ตอนที่ออกจากบ้านมา น้องสาวจะเตรียมอาหารมาให้ไม่น้อย แต่จะทำอย่างไรได้ หมาป่ามากเหยื่อน้อย เพื่อนร่วมห้องสองคนของเขาหลังจากได้ลองชิมไปครั้งหนึ่ง ก็เอาแต่จ้องกล่องข้าวของเขาทั้งวันทั้งคืน
ยามนี้เนื้อปรุงรสที่เอามาด้วยถูกแย่งไปจนหมดแล้ว บะหมี่และน้ำแกงเนื้อที่จับตัวเป็วุ้นก็อุ่นกินจนหมดแล้วเช่นกัน เหลือแค่เกี๊ยวสิบกว่าชิ้นนี้เท่านั้น หากกินมื้อนี้เสร็จก็คงต้องกลับไปกินมื้อต่อไปที่บ้านแล้ว
ยามนี้เอง เถ้าแก่โรงน้ำชาร่างท้วมน้อยๆ เดินเข้ามาหาด้วยรอยยิ้มเป็มิตร เขาผลักเด็กรับใช้คนนั้นให้รีบเอาเกี๊ยวไปอุ่น จากนั้นก็ทำเป็กวาดตามองรอบหนึ่งเหมือนไม่ตั้งใจ ก่อนจะยัดตั๋วเงินใส่มือลู่เชียน
“คุณชายลู่ คนที่ข้าน้อยส่งไปสองเมืองทางใต้กลับมาแล้ว ตำรับอาหารนั้นขายได้ในราคาไม่สูงนัก ครึ่งนี้เป็ของท่าน ห้าสิบตำลึงพอดีขอรับ”
ลู่เชียนมีสีหน้ายินดี เอ่ยขอบคุณ “ลำบากเถ้าแก่ลั่วแล้ว”
“ไม่ลำบากๆ ร้านข้าวันนี้ก็เริ่มทำถังหูลู่กันแล้ว วันพรุ่งก็คงมีขายเต็มตามถนนสายนี้ คิดไม่ถึงว่าของกินเล็กน้อยที่ไม่สะดุดตานี้จะทำให้เรากอบโกยได้เป็กอบเป็กำเช่นนี้ วันหน้าหากมีการค้าดีๆ เช่นนี้อีก คุณชายลู่ต้องคิดถึงข้าน้อยนะขอรับ”
เถ้าแก่ลั่วลูบเคราตัวเองเบาๆ ด้วยสีหน้าเบิกบาน ตอนแรกที่ลู่เชียนนำตำรับอาหารนี้มาหาเขา เขาก็ยังไม่คิดว่ามันจะสร้างกำไรได้งามเช่นนี้
เชิงอรรถ
[1] เหม่ยอวี้(美玉)แปลว่า หยกงาม
[2] เจียงจวิน(将军)แปลว่า แม่ทัพ
[3] ปักปิ่น(及笄)พิธีเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ของเด็กสาวอายุสิบห้าปี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้