ในค่ำคืนที่มีฝนพรำ สายฝนเพิ่งจะหยุดลง ชายชราคนหนึ่งเดินไปตามตรอกซอกซอยทำหน้าที่ต่าเกิง [1] เพื่อบอกเวลา และกำลังเตรียมตัวกลับบ้านเพื่อเข้านอน แต่ได้ยินเสียงกรอบแกรบจากพงหญ้าข้างทางเสียก่อน เขานึกประหลาดใจ ถือตะเกียงมองไปเบื้องหน้า ยังไม่ทันเข้าไปใกล้เสียงตรงนั้นก็เงียบลง รอบข้างเงียบสงัด ได้ยินกระทั่งเสียงใบไม้ที่ร่วงหล่น
ชายชรากลืนน้ำลาย ขาข้างหนึ่งก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว จู่ๆ ก็มีสายลมกระโชกพัดพาความชื้นขึ้นมา ทำให้สั่นสะท้านไปทั้งกาย ทันใดนั้นก็มีแสงสีม่วงสองสายพุ่งออกมาจากพงหญ้า ส่องประกายระยิบระยับในคืนอันมืดมิด แสงนั้นมาจากดวงตาคู่หนึ่งที่มีขนาดใหญ่พอๆ กับระฆังทองแดง
ชายชรายกตะเกียงขึ้นมาด้วยมือสั่นเทา สิ่งที่เห็นมีรูปร่างแปลกประหลาดนอนหมอบบนพื้นหญ้า กำลังแทะอะไรบางอย่างอยู่ ในระยะที่แสงไฟส่องถึงเผยให้เห็นว่าเ้าสิ่งนั้นอ้าปากกว้าง ในปากเต็มไปด้วยเื บนเขี้ยวยังมีเศษเนื้อเปื้อนเืห้อยติดอยู่
“เฮ้ย ปีศาจ!” ชายชราร้องลั่น วิ่งหนีหายเข้าไปในตรอกลึก…
หลายวันมานี้อูิโยวถูกพี่ชายขังเอาไว้ในไป่เย่าถัง ให้ช่วยพี่สาวคัดแยกสมุนไพรจนเหนื่อยแทบหมดแรง กว่าจะหนีมาได้ไม่ใช่เื่ง่ายเลย เช้าตรู่วันนี้เขาจึงเดินทางมาคฤหาสน์ชิงหลิ่วถังเพื่อพบปะหลิ่วไป๋เจ๋อ
ไป่เย่าถังคือสำนักแพทย์ที่ก่อตั้งโดยหุบเขาไป่หลิง หลายพื้นที่ในแคว้นเฟิ่งเทียนต่างมีสำนักแพทย์เช่นนี้ แต่ละแห่งจะมีศิษย์จากหุบเขาถูกส่งมาดูแล ในเมืองหลวงก็เช่นกัน สถานที่เหล่านี้ไม่เพียงสร้างความมั่งคั่งให้หุบเขาไป่หลิง แต่ยังเป็ที่พักยามเดินทางอีกด้วย การมายังเมืองหลวงของอูิเยี่ยและอูิหลิงในครั้งนี้ ก็ได้พักอยู่ในพื้นที่ของตระกูลนี้เอง
ทันทีที่อูิโยวก้าวเข้าประตูคฤหาสน์ ก็ได้รู้จากคนรับใช้ว่าหลิ่วไป๋เจ๋อถูกนายท่านหลิ่วเรียกตัวไปห้องตำราั้แ่เช้าตรู่ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ออกมา
อูิโยวจึงเดินไปยังลานกว้างของชิงหลิ่วถัง แล้วนอนแกว่งชิงช้าไม้ไผ่ไปมาจนรู้สึกเบื่อหน่ายและเริ่มง่วงนอน
หลิ่วไป๋เจ๋อพอรู้จากคนรับใช้ว่าใครมา เมื่อออกจากห้องตำราก็ลอบถอนหายใจ หยิบผ้าห่มผืนบางมาจากห้องตน เดินตรงไปยังชิงช้าไม้ไผ่และใช้มันคลุมร่างของอูิโยว
แม้ว่าจะเป็ปลายฤดูใบไม้ผลิแล้ว น้ำค้างในตอนเช้าก็ยังลงหนักทำให้อากาศเย็น ไม่ได้เจอกันสองสามวัน หลิ่วไป๋เจ๋อรับรู้ถึงความเหนื่อยล้าที่แผ่ออกมาจากอูิโยว
หลิ่วไป๋เจ๋อหยิบขลุ่ยดินเผาออกมา ก่อนจะเริ่มบรรเลงเพลงขลุ่ย
อูิโยวรู้สึกตัวั้แ่หลิ่วไป๋เจ๋อเข้ามาในลานแล้ว แต่ี้เีเกินกว่าจะยกเปลือกตาขึ้น
หลังจบบทเพลง หลิ่วไป๋เจ๋อก็เอ่ยถาม “เบื่อหรือไม่”
“อืม” อูิโยวไม่แม้แต่จะลืมตา
“เมื่อคืนเกิดเื่ประหลาดในเมืองหลวง…”
“เื่ประหลาดหรือ!”
หลิ่วไป๋เจ๋อยังไม่ทันพูดจบประโยค อูิโยวก็ะโลงจากชิงช้า วิ่งมาหาเขาโดยมีผ้าห่มผืนบางห่อกายอยู่ ลืมความง่วงไปสนิท
หลิ่วไป๋เจ๋อคุ้นเคยกับท่าทีเช่นนี้แล้วจึงเอ่ยต่อ “เมื่อคืน่จื่อสือ [1] มีคนเห็นปีศาจบนท้องถนน”
“ปีศาจหรือ อืม... อะไรในโลกนี้ที่เรียกว่าปีศาจหรือสิ่งประหลาดกัน คนพวกนี้ช่างไร้สาระจริงๆ น่าเบื่อ!” อูิโยวไม่ใส่ใจนัก ความรู้สึกเกียจคร้านกลับคืนมาอีกครั้ง
“เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน!” จู่ๆ อูิโยวก็นึกบางอย่างได้ “นี่คือสาเหตุที่ท่านผู้นำหลิ่วเรียกเ้าไปพบแต่เช้าหรือ”
หลิ่วไป๋เจ๋อพยักหน้าและเอ่ยว่า “เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นใกล้กับชิงหลิ่วถัง มีแต่คนของที่นี่เท่านั้นที่จะตรวจสอบให้ชัดเจนได้”
“เราคุยกันให้รู้เื่ก่อนนะ ข้าไม่ขอยุ่งกับเื่นี้ มันน่าเบื่อ!”
หลิ่วไป๋เจ๋อไม่ได้เกลี้ยกล่อมเขา ลุกขึ้นและเดินจากไป
“นี่ เ้าจะไม่ขอร้องข้าสักนิดเลยหรือ”
“ไม่จำเป็!”
อูิโยวจนปัญญา ทำได้เพียงไล่ตามไปด้วยใบหน้าสลด
ข่าวการปรากฏตัวของปีศาจแพร่กระจายไปทั่วทุกตรอกซอกซอยแล้ว ั้แ่ทั้งสองคนเดินไปบนถนน ต่างได้ยินผู้คนพูดคุยถึงเื่นี้ทั้งนั้น
อูิโยวเบะปากมองไปยังลูกค้าร้านน้ำชาริมถนน คนคนนั้นพูดเื่ปีศาจอย่างออกรสออกชาติ “เขาพูดอย่างกับเห็นด้วยตาตนเองอย่างนั้นแหละ”
ก่อนจะหันมาถามหลิ่วไป๋เจ๋อที่อยู่ข้างหลัง “พวกเราจะเริ่มตรวจสอบจากตรงไหน”
หลิ่วไป๋เจ๋อไม่ได้บอกอะไร เพียงพาเขาเข้าไปในตรอกเล็กก่อนหยุดลงหน้าประตูบ้านหลังหนึ่ง เพิ่งยกมือเคาะประตู ประตูก็เปิดออกมาทันที ราวกับว่ามีคนรอต้อนรับจากด้านใน
“คุณชายหลิ่ว!”
ผู้ที่เปิดประตูคือเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เขารู้จักคุณชายใหญ่ตระกูลหลิ่วแห่งชิงหลิ่วถัง ท่าทีที่แสดงออกมาจึงมีความเคารพเป็อย่างมาก ที่จริงแล้วหากกล่าวถึงชายหนุ่มผู้มีใบหน้าหล่อเหล่าและตาบอด ในดินแดนเจ๋อก็คงจะมีหลิ่วไป๋เจ๋อเพียงผู้เดียวเท่านั้น
“คุณชายทั้งสองมาพบท่านพ่อของข้าเื่ปีศาจเช่นกันใช่หรือไม่ขอรับ แต่เพราะเมื่อคืนท่านพ่อตื่นตระหนกมากจึงเพิ่งผล็อยหลับไปเมื่อครู่นี้เอง” ชายหนุ่มผู้นั้นเอ่ย
“เอ๋ ก่อนหน้านี้ก็มีคนมาที่นี่หรือ” อูิโยวรับรู้ความหมายที่แฝงในคำพูดของเขา
ชายหนุ่มพยักหน้าและเอ่ยตอบ “เมื่อครู่มีชายสวมชุดสีม่วงและสวมหน้ากากสีทองครึ่งหน้ามาสอบถามท่านพ่อเกี่ยวกับปีศาจ เพิ่งกลับไปห่างจากพวกคุณชายมาเพียงไม่กี่ก้าวเองขอรับ”
หลิ่วไป๋เจ๋อหันหลังจากไปโดยไม่เอ่ยคำใด หลังออกจากประตูแล้ว เขาก็รีบรุดไปยังตรอกอื่น อูิโยวรีบวิ่งไปเช่นกัน หลังจากไล่ตามอยู่พักหนึ่ง ทั้งคู่ก็พบกับคุณชายผู้สวมชุดสีม่วงที่จุดเกิดเหตุเมื่อคืนนี้ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเมือง
“ที่แท้ก็เป็เ้านี่เอง!”
เมื่อได้ยินเสียง คุณชายผู้นั้นจึงหมุนกายมามอง เขาสวมหน้ากากสีทองครึ่งหน้าด้านซ้าย ปกปิดปานรูปดอกกล้วยไม้เอาไว้ คนผู้นี้เป็ใครไปไม่ได้นอกจากจิ่วฟางเทียนฉี ผู้ที่ยืนอยู่บนเทือกเขาจู่เสียเมื่อหลายวันก่อนนั่นเอง
เมื่อเห็นหน้าทั้งสองคน จิ่วฟางเทียนฉีก็ใเช่นกัน เขาไม่คาดคิดว่าจะเจอทั้งคู่ที่นี่
“โธ่ ที่แท้ก็เ้านี่เอง เมื่อครู่ข้ากำลังคิดอยู่เลยว่าใครกันแต่งตัวด้วยชุดสีม่วงเดินเตร่ไปทั่วเช่นนี้!”
จิ่วฟางเทียนฉียิ้มเยาะ คุณชายรองอูจากหุบเขาไป่หลิงยังคงฝีปากกล้าเช่นเคย แม้จะผ่านไปนานเพียงใดเขาก็ยังจดจำเื่ที่ทำให้ทุกข์ใจในตอนนั้นได้ดี คนเช่นนี้ไม่ใช่คนที่จะยั่วยุได้ง่ายๆ มิฉะนั้นคงจดจำไปชั่วชีวิตแน่
“คุณชายหลิ่ว คุณชายรองอู”
หลิ่วไป๋เจ๋อปฏิบัติต่อทุกคนด้วยท่าทีอ่อนโยนอันสง่างาม ใบหน้ามิได้แสดงอารมณ์ความรู้สึกใดออกมา จิ่วฟางเทียนฉีนับว่าเป็คนคุ้นเคยกัน แค่พยักหน้าก็ถือเป็การทักทายแล้ว เขาก้าวผ่านอีกฝ่ายไปยังพงหญ้าซึ่งเป็จุดเกิดเหตุ จากนั้นหันมากวักมือเรียกอูิโยว
“มานี่”
อูิโยวเดินตามไป มองดูหญ้าบริเวณนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน หลิ่วไป๋เจ๋อเอ่ยปากถามจิ่วฟางเทียนฉีที่อยู่ด้านข้าง
“พี่จิ่วฟางเจออะไรบ้างหรือไม่”
จิ่วฟางเทียนฉีส่ายหัว “ข้าเพิ่งเข้าเมืองหลวงเช้าวันนี้ มาถึงก็ได้ยินเื่ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน จึงไปหาชายชราที่ทำหน้าที่ต่าเกิงคนนั้น แต่เขาดูตื่นตระหนกมาก สติฟั่นเฟือน และพูดจาสะเปะสะปะไร้ทิศทาง ข้าได้ข้อมูลจากเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
“ข้อมูลอะไรหรือ”
“สิ่งที่คนผู้นั้นเห็นคือดวงตาสีม่วงคู่หนึ่ง”
“ดวงตาสีม่วงหรือ” หลิ่วไป๋เจ๋อรู้สึกถึงลางไม่ดีเกี่ยวกับเื่นี้
“ใช่ ดวงตาสีม่วง คุณชายหลิ่วเคยไปยังป่าใต้พิภพมาก่อน คงจะรู้ว่าสิ่งที่มีรูม่านตาสีม่วงมาจากที่ใด”
“ฮ่วนิหยวน!”
เป็อย่างที่คาดไว้!
แต่เมืองหลวงแห่งนี้อยู่ห่างจากฮ่วนิหยวนไกลสุดหล้า อีกทั้งยังมีป่าใต้พิภพคั่นไว้อีก สิ่งชั่วร้ายเช่นนั้นจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร หากมีเพียงตัวเดียวคงไม่เป็ปัญหาเท่าไร แต่ถ้าไม่ใช่เช่นนั้นล่ะ
เมื่อนึกได้เช่นนี้ทั้งคู่ก็อดรู้สึกเย็นวาบที่สันหลังไม่ได้ ที่นี่คือเมืองหลวงของเฟิ่งเทียน ผู้อยู่อาศัยล้วนเป็ชาวบ้านอ่อนแอ หากเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายจากฮ่วนิหยวนคงไม่มีทางสู้ได้แน่
อูิโยวกำดินโคลนขึ้นมาก่อนจะเดินไปหาทั้งคู่และเอ่ยขึ้น
“ไม่พบสิ่งแปลกปลอมในพงหญ้า แต่ในดินกลับมีเืปะปนอยู่ ไม่ใช่เืมนุษย์เป็เืสัตว์!”
ขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงชาวนาคนหนึ่งที่เดินผ่านพร้อมสบถสาปแช่งมาแต่ไกล
อูิโยวก้าวไปขวางเพื่อหยุดเขาไว้ เมื่อได้สอบถามและส่งคนกลับไปแล้ว จึงเดินกลับมาเพื่อบอกสิ่งที่ตนเพิ่งได้ฟัง
ได้ความว่าชาวนาเลี้ยงสุนัขขนดำตัวหนึ่งไว้เฝ้าบ้านมาหลายปี แต่เมื่อคืนมันหนีหายไปพร้อมสิ่งมีชีวิตบางอย่างเวลานี้ก็ยังไม่กลับมา เมื่อถามว่าสิ่งมีชีวิตนั้นมีลักษณะอย่างไร เขาบอกว่าเพราะ่ค่ำนั้นมืดเกินไป เวลานั้นจึงมองเห็นได้ไม่ชัด เห็นเพียงรางๆ ว่ารูปร่างคล้ายกับเสือดาวและมีดวงตาสีม่วงคู่หนึ่ง
ขณะนี้พวกเขาพอจะรู้เื่ราวคร่าวๆ แล้ว แม้ไม่มีผู้คนได้รับาเ็ ก็ยังถือว่าเื่นี้เป็อันตรายอย่างยิ่งกับเมืองหลวงเฟิ่งเทียน
“เื่นี้แปลกมาก นำไปแจ้งท่านผู้นำหลิ่วให้เขาตัดสินใจเถิด ข้าก็จะใช้อินทรีแจ้งข่าวให้บิดาทราบเช่นกัน ให้เขาคอยระวังการเคลื่อนไหวทางป่าใต้พิภพมากกว่าเดิม แม้เป็่ปลายฤดูใบไม้ผลิซึ่งกำแพงพิษก่อตัวหนาแน่นในป่า แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ ระวังไว้จะเป็การดีที่สุด”
ที่จิ่วฟางเทียนฉีเสนอมานั้นอีกสองคนไม่มีอะไรคัดค้าน เนื่องจากจิ่วฟางเทียนฉีเพิ่งเดินทางมายังเมืองหลวงและยังไม่มีที่พัก จึงติดตามหลิ่วไป๋เจ๋อกลับไปยังชิงหลิ่วถังก่อน
ระหว่างทางอูิโยวขอแยกตัวไปยังไป่เย่าถังเพื่อแจ้งให้พี่ชายและพี่สาวได้ทราบ รวมทั้งให้ส่งอิ๋นซิงนำข่าวไปแจ้งยังหุบเขาไป่หลิง
หลังจากหลิ่วชิงเหยียนทราบถึงมูลเหตุของเหตุการณ์นั้นพลันเกิดความตระหนก แล้วส่งจดหมายไปยังหลายตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงทันที ไม่ว่าเื่นี้จะเล็กหรือใหญ่ คฤหาสน์ชิงหลิ่วถังก็ไม่อาจตัดสินใจเพียงผู้เดียวได้
หลังจากจิ่วฟางเทียนฉีส่งอินทรีไปแจ้งข่าวยังจิ่วฟางกวนแล้ว ก็ปักหลักอยู่ที่ชิงหลิ่วถังเป็การชั่วคราว
เื่นี้รอช้าไม่ได้ นอกจากตามหาปีศาจร้ายแล้ว ยังต้องตรวจสอบอีกว่าปีศาจตนนั้นบุกรุกเข้ามายังแคว้นเฟิ่งเทียนได้อย่างไร ซึ่งนั่นไม่ใช่เื่ที่จะแก้ไขได้ในเวลาอันสั้น
จิ่วฟางเทียนฉียกชาในถ้วยขึ้นดื่ม เมื่อวางถ้วยชาก็ได้ยินเสียงฝีเท้ามาจากด้านหลัง ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงความเ็ปที่ศีรษะของตน
“จิ่วฟางเทียนฉี เหตุใดเ้ามาอยู่ที่นี่”
“คุณชายรองอูยังเข้ามายังชิงหลิ่วถังได้ เหตุใดข้าจะเข้ามาไม่ได้ล่ะ”
“ฮึ!”
อูิโยวรู้ว่าตนเองไร้เหตุผลจึงไม่ได้โต้เถียงอีก
หลิ่วไป๋เจ๋อรินชาร้อนให้อูิโยว ก่อนหันกลับมาถามจิ่วฟางเทียนฉี
“พี่จิ่วฟางตั้งใจมาที่นี่เพราะเื่ของตระกูลหลานแห่งผาตั้วเซียนใช่หรือไม่”
เมื่อเอ่ยถึงเื่นี้ สีหน้าของจิ่วฟางเทียนฉีก็เคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบ “ทั้งใช่และไม่ใช่”
เขาลอบถอนหายใจด้วยท่าทีหม่นหมองก่อนจะเอ่ยต่อ “คุณชายหลิ่วก็น่าจะทราบว่าทุกๆ สิบปีพิษของกำแพงพิษในป่าใต้พิภพจะอ่อนลง ทุกครั้งใน่นั้นจะมีิญญาร้ายจำนวนมากเดินทางจากฮ่วนิหยวนมายังป่าใต้พิภพเพื่อข้ามมายังแดนเจ๋อ หากไม่จัดการให้เหมาะสมจะกลายเป็หายนะของแคว้นเฟิ่งเทียนและดินแดนนี้”
จิ่วฟางเทียนฉีหยุดกล่าวไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยอีก “ก่อนหน้านี้พวกเราคาดเดา่เวลาได้ล่วงหน้าจึงมีแผนในการรับมือ แต่ครั้งนี้ยังไม่ถึงสิบปี ป่าใต้พิภพก็เกิดสิ่งผิดปกติขึ้น ยังเหลืออีกปีหนึ่งจึงจะครบสิบปี ทว่าั้แ่หิมะโปรยปรายในครั้งก่อนก็มีสิ่งชั่วร้ายออกจากป่า เกิดเหตุวุ่นวายให้พวกเรารับมือครั้งแล้วครั้งเล่า จู่ๆ ตระกูลหลานก็ออกมาจากผาตั้วเซียน ท่านพ่อจึงถือโอกาสให้ข้ามาดูคำทำนาย ว่าหนึ่งปีหลังจากนี้จะมีสิ่งใดเกิดขึ้นที่ฮ่วนิหยวน”
อูิโยวนั่งม้านั่งหินข้างๆ ในมือกำเมล็ดถั่วเอาไว้แล้วรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย
“คำนวณระยะเวลาดูแล้ว ตระกูลหลานคงมาถึงเมืองหลวงเฟิ่งเทียนในไม่ช้า”
———————————————
[1] จื่อสือ หมายถึง ่เวลาราวๆ 23:00-01:00 นาฬิกา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้