“ด้านหน้า”
เสียงดังกึกก้องของเสียงกีบม้าที่พุ่งทะยานนั้นได้ดึงเอาฮวาเหยียนกลับมาสู่โลกแห่งความเป็จริง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยประกายเฉียบคม เนื่องจากพื้นดินนั้นสั่นะเืมากเกินไป นางจึงพลาด่เวลาที่ดีที่สุดในการหลบหนี สุดท้ายทหารเ่าั้ก็มาปรากฏอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าฮวาเหยียนแสดงออกถึงความน่าเกรงขามและเอาจริงเอาจัง นางกอดเด็กน้อยไว้แน่นแล้วออกตัววิ่งทะยานไปท่ามกลางหิมะที่ตกทั่วท้องนภา
“ตามไป! ”
“สวบสวบ…! ”
ลูกศรขนนกพุ่งผ่านหูของนางไปและปักเข้ากับพื้นด้วยความรุนแรง
ครืน ครืน
เสียงกีบเท้าของม้ายังคงดังก้องอยู่ในหู
ฮวาเหยียนไม่รู้ว่าตนเองต้องวิ่งไปทางไหน นางรู้เพียงแค่ว่าต้องวิ่งเท่านั้นและนางต้องปกป้องเด็กน้อยคนนี้เอาไว้ให้ได้ เพราะนี่เป็การฝากฝังที่แลกมาด้วยชีวิตของผู้หญิงคนนั้น
เสียงลมหวนก้อง ลำคอแห้งผาก ด้านหน้านางยังเต็มไปด้วยหิมะโปรยปราย ฮวาเหยียนวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต ซ้ำยังต้องคอยหลบลูกศรแหลมคมที่พุ่งมาตลอดเวลา จู่ๆ นางก็หยุดวิ่งกะทันหันและพยายามยั้งฝีก้าวของตัวเองอย่างเอาเป็เอาตาย
เพียงเพราะข้างหน้านั้น...
เป็หน้าผาลึกชัน!
หากไม่ใช่เพราะสายตาที่เฉียบแหลมของนางที่เห็นแสงสีขาวที่สะท้อนจากูเาลูกตรงข้ามสาดแสงมา เท้าของนางที่เตะหินร่วงลงไปแต่ไร้เสียงแล้วล่ะก็ นางคงไม่รู้ว่าข้างหน้าคือหน้าผา ชั่วครู่หลังผ่านความหวาดกลัว เหงื่อก็ออกท่วมกายทำให้เสื้อคลุมหลุดออก นางจึงดึงเสื้อที่หลุดขึ้นมาและก็เกือบตกลงไปกระดูกป่นใต้หน้าผานั่นแล้ว
ขณะที่ฮวาเหยียนกำลังหอบหยใจแรงเฮือกใหญ่ ขอบคุณที่ปฏิกิริยาตอบสนองของนางเฉียบคมว่องไว เสียงกีบม้าหยุดลง เสียงม้าร้องดังโหยหวน กองทหารเดินมาหยุดอยู่ข้างหลังนาง
หลายร้อยคน...
ทุกคนสวมเสื้อคลุมสีดำ ในมือถือมีดยาว จ้องมาที่นางอย่างเอาเป็เอาตาย
ด้านหน้ามีกองทหาร ด้านหลังเป็หน้าผา ฮวาเหยียนไร้ซึ่งหนทางหลบหนี
นางก้มหน้าลงมองทารกในอ้อมอกซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะหิวแล้ว ตากลมโตเปียกชื้น ปากเล็กกำลังดูดดึงกำปั้นน้อยๆ ของตัวเอง ทั้งไร้เดียงสา ทั้งน่ารักน่าเอ็นดู หัวใจของฮวาเหยียนอ่อนโยนขึ้นชั่วขณะ นางกำลังคำนวณอยู่ว่าในสถานการณ์ที่ไร้ซึ่งอาวุธและศัตรูที่มีร้อยกว่าคนเช่นนี้ โอกาสที่นางจะชนะนั้นมีเท่าไร
ซึ่งผลลัพธ์ก็คือ
ปราศจากโอกาสชนะ
“มู่อันเหยียน”
ในตอนนั้นเอง เสียงทุ้มลึกของบุรุษก็ดังขึ้น เสียงของผู้ชายคนนี้ ครั้นเทียบกับเสียงหิมะตกในฤดูหนาวนับว่าเ็ากว่านัก
ชายผู้สวมชุดคลุมสีดำทั้งสองฝั่งเริ่มขยับถอยออกเพื่อเว้นตำแหน่งที่ว่างตรงกลางไว้ ชายชุดดำคนนึงสวมผ้าคลุมสีดำแถบสีเงิน ใส่หน้ากากสีทองครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นริมฝีปากที่เม้มแน่นเป็เส้นตรง ขี่ม้าทรงสีขาวราวกับหิมะ เยื้องย่างตรงเข้ามาอย่างสง่างาม
มองไม่เห็นใบหน้า เห็นเพียงั์ตาที่มืดสนิท ลึกลับราวกับไข่มุกท่ามกลางราตรีสงัด ราวกับหลุมดำขนาดมหึมาที่ดูดกลืนิญญามนุษย์ เขาควบขี่อยู่บนหลังม้า ท่าทางเย่อหยิ่งโอหัง สูงส่งเหนือสรรพสิ่ง เต็มไปด้วยความเ็าและเฉยเมยต่อผู้คน
“มู่อันเหยียน เหตุใดเ้าถึงไม่หนีต่อเล่า? ”
ริมฝีปากบางเอื้อนเอ่ยซักถาม
น้ำเสียงนั้นไร้ซึ่งความอบอุ่นใด ซ้ำยังแฝงไปด้วยความโกรธเกลียดและเ็า
ฮวาเหยียนกอดทารกเอาไว้แน่น ขณะนี้นางพลันเข้าใจสตรีที่สลายหายไปคนนั้น ราวกับว่านางผู้นั้นเป็หญิงที่ลึกลับคนนั้น จนถึงตอนนี้ การหายตัวไปของหญิงสาวกลายเป็ตัวตนการดำรงอยู่ใหม่ของนาง หน้าตาที่ละม้ายคล้ายกัน เดิมทีฮวาเหยียนเป็คนต่างถิ่น กลับถูกผู้หญิงคนนั้น มู่อันเหยียน มอบตัวตนใหม่ให้ หลังจากนี้ถึงนางจะมีกี่ร้อยปากก็ไม่สามารถอธิบายตัวตนของตัวเองได้ เพราะนับจาก่เวลาที่ผู้หญิงคนนั้นหายไป นับจากตอนนั้นที่นางรับเด็กคนนี้มา นางก็กลายเป็มู่อันเหยียนอย่างสมบูรณ์ ช่างเป็หญิงที่หาญกล้าและหลักแหลมเสียจริง
“ข้าไม่ได้หนี! ”
ฮวาเหยียนเอ่ย ในสมองรีบคิดหาทางหนีอย่างรวดเร็ว
ชายที่อยู่ตรงหน้ากดดันนางอย่างหนักหน่วง ชายคนนี้อันตราย เสียงระฆังในใจนางร้องเตือน
ตอนนี้นางสวมเสื้อคลุมของมู่อันเหยียนอยู่ แม้กระทั่งผมก็ถูกห่อไว้ในหมวก ที่นี่ไม่มีผู้ใดมองออกเลยว่าที่จริงแล้วนางคือคนอีกคนหนึ่ง
“ไม่หนีหรือ? เฮอะ ! ”
ชายผู้นั้นส่งยิ้มเ็า แสงสว่างวาบพุ่งออกมาจากตัวเขาทำเอาฮวาเหยียนใจนขนาดที่นางไม่อาจรู้ได้เลยว่าชายที่อยู่ตรงหน้านี้เป็ใคร มีความสัมพันธ์อย่างไรกับมู่อันเหยียน ซ้ำยังไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมาอีกด้วย
“ตั้งลำ! ”
ชายคนนั้นออกคำสั่งเสียงดัง ชายชุดคลุมสีดำที่ยืนอยู่ข้างๆ ยื่นคันธนูและลูกธนูสีทองให้อย่างนอบน้อม ความตึงเครียดไหลบ่าทั่วร่าง นางเห็นเจตนาฆ่าชัดเจนรุนแรงออกมาจากตัวบุรุษรูปร่างสูงใหญ่คนนี้
ชายคนนั้นตั้งลูกธนูสามดอกบนลำแล้วเล็งไปที่ฮวาเหยียน พูดให้ถูกต้องคือเล็งไปที่เด็กน้อยในอ้อมกอดของฮวาเหยียน
“มู่อันเหยียน ขอเพียงเ้าเอ่ยปากพูดออกมาว่าก้อนเืที่ชั่วร้ายนี้แท้จริงแล้วเป็บุตรของใคร เปิ่นจวิ๋น [1] ก็อาจจะไว้ชีวิตเ้า”
สายธนูขึ้นคล้องบนคันและอีกประเดี๋ยวก็จะพุ่งออกมา ทั้งคำพูดที่แสนเ็าของผู้ชายคนนั้นทำให้ฮวาเหยียนสั่นกลัว ยุคโบราณที่ไม่มีทั้งปืนกล มีแต่คนฝึกยุทธ์เหาะเหินเดินอากาศเต็มท้องฟ้า ความรู้สึกตกอยู่ในสถานการณ์คับขันที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนรายล้อมรอบตัวนาง
มู่อันเหยียนคนนี้ที่จริงแล้วไปทำอะไรให้ใครไม่พอใจไว้ ผู้ชายตรงหน้าที่ถูกเรียกว่า เปิ่นจวิ๋น จะต้องอยู่ในตำแหน่งสูงศักดิ์เป็แน่ แต่มันคืออะไรกัน?
เป็เพราะลอบมีชู้ลับหลังชายหน้ากากทองหรือ? ดังนั้นก็เลยถูกไล่ฆ่ามาจนถึงที่นี่?
ไม่!
มู่อันเหยียนคนนั้นอุปนิสัยราวกับดอกกล้วยไม้ที่สูงส่งและดีงาม ใบหน้านั้นสวยหยาดเยิ้ม เป็สตรีผู้สูงศักดิ์ ดูไม่ใช่สตรีเช่นนั้นเลย ที่เป็ไปได้คือเ้าหน้ากากทองที่ทั้งบีบบังคับและทำร้ายคนอื่นจนถึงขั้นพิการหรือตาย ซ้ำยังด่าทอเด็กคนนี้ต่างหาก
เมื่อนึกถึงท่าทีไร้เยื่อใยของมู่อันเหยียนก่อนตาย ใจของฮวาเหยียนก็ทั้งรู้สึกทั้งทุกข์ ทั้งโกรธ นางเองก็ไม่ใช่คนใจบอบบาง ยิ่งไม่ชอบเื่ยุ่งยาก แต่ว่าในครั้งนี้นางไม่อยากติดค้างคำฝากฝังของผู้หญิงคนนั้นและอยากปกป้องเด็กน้อยคนนี้
แววตาพลันเปลี่ยนเป็เ็า นางกอดเด็กน้อยไว้แน่น คำที่ว่า ‘ก้อนเืชั่วร้าย’ ทิ่มแทงหัวใจของฮวาเหยียนนัก
นางเกิดความรู้สึกโกรธขึ้นในใจ ความชั่วร้ายมักกำเนิดขึ้นจากขอบของความดีงาม
ฮวาเหยียนหัวเราะเยาะ ตาหรี่ลงราวกับจิ้งจอกพราวเสน่ห์ มุมปากยกยิ้มเหยียดแสดงออกถึงการเย้ยหยัน นางโต้กลับผู้ชายที่นั่งอยู่บนม้า “เ้าต่างหากถึงจะเป็ก้อนเนื้อร้าย ทั้งตระกูลของเ้านั่นแหละที่เป็ก้อนเนื้อร้าย ไอ้สารเลว คนที่โตมาอย่างเลวร้ายเช่นเ้า มิน่าเล่า ถึงไม่กล้าเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริง ใส่หน้ากากรังแกพวกเราหญิงหม้ายและลูกที่กำพร้าบิดา”
สิ้นคำ นางก็ได้ยินเพียงเสียงสูดลมหายใจเฮือกหนึ่ง เหล่าชายชุดดำเบิกตาโพลงมองจ้องฮวาเหยียนราวกับพบเจอผีก็ไม่ปาน
ทันทีที่นางพูดจบก็เห็นเพียงสายตาพิโรธของเหล่าชายชุดดำจ้องมองมาที่นาง หลังจากนั้นพวกเขาก็โยนตัวลงจากม้าและคุกเข่าลงพื้นด้วยความหวาดกลัว
“นายท่าน โปรดระงับโทสะด้วย! ”
ชายบนหลังม้าเต็มไปด้วยจิตสังหารรุนแรง ฮวาเหยียนราวกับมองเห็นพลังงานดำมืดรวมอยู่รอบตัวเขา เส้นผมสีดำสนิทของเขากำลังเต้นรำอย่างบ้าคลั่งท่ามกลางวันหิมะโปรยปราย
เขายกคันธนูในมือขึ้นมาแล้วเล็งไปที่ฮวาเหยียน
“มู่อันเหยียน เ้านี่มันรนหาที่ตายเสียจริง! ”
เสียงของเขาทั้งเย็นเยือก ทั้งเ็า
ไม่มีความอบอุ่นแม้แต่นิด
ดวงตาทั้งสองภายใต้หน้ากากนั้น ช่างเ็าหาใดเปรียบ แถมยังเหี้ยมโหดทารุณ
ลูกศรอยู่บนสายธนู เพียงแค่ปล่อยก็ยิงออกไปได้แล้ว แต่เขากลับไม่ยอมปล่อยมือ ราวกับอยากเพลิดเพลินกับความกลัวในความเป็ตายของฮวาเหยียน
“เ้าฆ่าข้าไม่ลงหรอก! ”
ฮวาเหยียนเหยียดยิ้มชั่วร้าย พลางกอดเด็กที่อยู่ในอ้อมอกแล้วค่อยๆ ถอยหลัง ส่งเสียงกระแอมอย่างเ็า
“ฆ่าเ้าไม่ได้? เ้าคิดว่าข้ามิอาจหักใจได้หรือ? ”
เมื่อผู้ชายคนนั้นฟังคำพูดของฮวาเหยียนแล้ว เขารู้สึกว่ามันช่างน่าขันเสียเหลือเกิน คำพูดนั้นเต็มไปด้วยการดูถูก เขาเข้าใจผิดทั้งหมดต่อความหมายที่ฮวาเหยียน้าจะสื่อ
ฮวาเหยียนเดาไม่ออกว่าผู้ชายคนนี้กับผู้หญิงที่ชื่อเหมือนนางแท้จริงแล้วมีความสัมพันธ์กันอย่างไร แต่จะให้พูดมากกว่านี้ก็ไม่ได้ ด้านหลังนางคือหน้าผาลึก ทางหนีรอดที่จะมีชีวิตเพียงหนึ่งเดียวของนางคือการจ้องผู้ชายคนนั้นอย่างเอาเป็เอาตาย นางแอบครุ่นคิดในใจ หากผู้ชายคนนี้ยิงลูกศรในมือออกมา นางจะมีโอกาสรอดมากน้อยเพียงใด
เมื่อฮวาเหยียนไม่พูด ผู้ชายหน้ากากทองก็หัวเราะเ็า จากนั้นก็พูดกับผู้ชายชุดคลุมสีดำนับร้อยคนที่คุกเข่าอยู่กับพื้นว่า “ผู้หญิงคนนี้ข้ายกให้พวกเ้า! ”
เชิงอรรถ
[1] เปิ่นจวิ๋น คำที่เชื้อพระวงศ์(ชาย) ใช้เรียกตัวเอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้