หั่วอี้รู้สึกว่าในอกว่างเปล่าทันใด หลิ่วจิ้งหลุดออกไปจากอ้อมกอดเขาแล้ว พอมองดีๆ อีกครั้งจึงพบว่ามีหยดน้ำตาอยู่ที่หางตาของหลิ่วจิ้ง นางเหม่อมองท้องฟ้าด้วยสีหน้าไร้ที่พึ่งพิง คล้าย้าจะแหงนหน้าขึ้นเพื่อควบคุมไม่ให้หยาดน้ำตาร่วงหล่นลงมา
“เป็อะไรไป?” หั่วอี้ััได้ว่าเวลานี้หลิ่วจิ้งผิดปกติไปจากเดิม เขามองนาง ท่าทีของนางคล้ายจะร้องไห้แต่กลับแสร้งว่าไม่เป็ไร ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนก่อตัวขึ้นในใจเขาช้าๆ อย่างไม่อาจควบคุมได้
ท้ายที่สุดหลิ่วจิ้งก็ไม่อาจควบคุมน้ำตาของตนเองไว้ได้ ว่าแล้วจึงปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมาโดยไม่สนใจสิ่งใดอีก
ยามนี้หลิ่วจิ้งรู้สึกอ่อนล้าในหัวใจเหลือเกิน เดิมทีเมื่อครู่นี้นางคิดจะแสร้งทำเพื่อให้หั่วอี้ดูเท่านั้น แต่ไม่คิดว่าสีหน้าที่แสร้งว่าเป็ทุกข์นั้นกลับปะทุออกมาอย่างจริงจังถึงเพียงนี้
หลายวันที่ผ่านมา เพื่อให้ตนมีชีวิตรอด แม้แต่เวลาจะคิดถึงการตายอย่างน่าอนาถของบิดามารดาก็ยังมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ทุกวันล้วนต้องอยู่อย่างคอยระแวงป้องกันทั้งหอกในทางแจ้งลูกศรในทางลับ [1] ในจวนไม่มีใครเป็คนของตนสักคน แม้จะบอกว่าหั่วอี้ให้ฐานะอันเปิดเผยกับนาง แต่กลับไม่ได้ให้ที่พึ่งพากับนาง ในยามที่นางต้องอยู่คนเดียวในต่างบ้านต่างเมือง เพื่อให้มีชีวิตรอด นางต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อรับมือกับผู้คนที่้าชีวิตนางด้วยความยากลำบาก
นางทนรับกับเื่ต่างๆ ติดต่อกันมาหลายวันจนแรงใจอ่อนล้าไปหมด ทั้งเื่วางยา ใส่ร้าย ไม่ว่าเื่ใดก็ล้วนแทบเอาชีวิตไม่รอดทั้งสิ้น กระทั่งต้องใช้ตนเองทดสอบพิษ จึงสามารถเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อให้เอาตัวรอดมาได้
ก่อนจะเกิดเื่พลิกผันในครอบครัวของนาง นางเป็เพียงคุณหนูอ่อนแอที่รู้แค่เมื่ออาหารมาก็อ้าปากรับ เสื้อผ้ามาก็ยื่นแขนออกไปใส่ มีความสุขอยู่ข้างกายบิดามารดาเท่านั้น แต่ในเวลานี้ กลับต้องตกอยู่ในสภาพที่ไม่เพียงต้องต่อสู้กับชะตาฟ้า ยังต้องต่อสู้กับคน ถูกคนลอบจัดฉากให้ร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุดความเศร้าโศกก็ล้นออกมาจากขั้วหัวใจ นางทนรับไม่ไหวอีกต่อไป จึงร่ำไห้กลั่นออกมาเป็น้ำตา
ตอนแรกหั่วอี้เห็นเพียงหลิ่วจิ้งเงยหน้าขึ้นด้วยท่าทีแข็งกร้าวและมีน้ำตาคลออยู่ที่หางตาเท่านั้น แต่ไม่คาดคิดว่าจู่ๆ หลิ่วจิ้งจะร้องไห้โฮออกมา จนเขาเองก็ทำอะไรไม่ถูก ชายหนุ่มก้าวเข้าไปหาแล้วโอบหลิ่วจิ้งไว้ในอก รีบใช้มือปาดหยดน้ำตาบนใบหน้านาง
พ่อบ้านหวังที่ยืนอยู่ข้างๆ จะไปก็ไม่ใช่ จะอยู่ต่อก็กระไร ประสบการณ์การเป็พ่อบ้านมานานปี ฝึกฝนให้เขามีสายตาอันแหลมคมในการสังเกตเื่ราวต่างๆ ในจวนใหญ่โต แม้เขาจะรู้ว่าเหตุใดฮูหยินผู้นี้จึงร้องไห้ แต่ด้วยสัญชาตญาณที่ขัดเกลามาหลายปีจึงรู้ว่าเื่นี้ควรเอาหูไปนา เอาตาไปไร่เสียดีกว่า
พ่อบ้านหวังอยากจะออกไปจากที่ที่ตนไม่ควรอยู่แต่ยังหาข้ออ้างไม่ได้ ทำได้เพียงยืนเหลียวซ้ายแลขวา พยายามหาเหตุผลให้ตนออกไปเสีย พ่อบ้านหวังร้อนรน หั่วอี้กลับร้อนใจยิ่งกว่า ยามเห็นความงดงามท่ามกลางน้ำตาของหลิ่วจิ้ง หั่วอี้ยิ่งปวดใจเหลือทน
หลิ่วจิ้งรู้ว่านางไม่อาจปล่อยให้ตนเองจมปลักอยู่ในสภาพที่อ่อนแอนานเกินไป หาไม่แล้วนางจะสูญเสียความมุ่งมั่นในการต่อสู้ วันใดหมดพลัง ก็ต้องตายลงทั้งที่ยังมีมลทินแปดเปื้อนตัวอยู่
หลิ่วจิ้งบังคับให้ตัวเองสูดหายใจลึกๆ กลั้นน้ำตาเอาไว้ เงยหน้าขึ้นมองหั่วอี้ ดวงตาที่มองเห็นตาดำได้อย่างชัดเจนนั้นเป็ประกายดั่งไข่มุก ใบหน้าขาวนวลร่ำไห้จนกลายเป็แดงก่ำ หลิ่วจิ้งในยามนี้ทำให้หั่วอี้รู้สึกว่าอยากจะดึงนางเข้ามากอดไว้ในอกแน่นๆ คอยรักษาทะนุถนอมเอาไว้ให้ดีๆ
“ท่านแม่ทัพ…” หลิ่วจิ้งอยากกลั้นน้ำตา แต่เพราะเ็ปใจเหลือเกิน ที่สุดก็ยังมีน้ำตาเอ่อล้นอยู่ภายในใจ พูดยังไม่ทันจบก็ต้องหยุดลงเสียแล้ว
หลิ่วจิ้งสูดหายใจลึกอีกครั้ง สูดจมูกหนแล้วหนเล่า จับจ้องไปยังหั่วอี้ “ท่านแม่ทัพ ข้ามาต่างบ้านต่างเมืองเพียงลำพังผู้เดียว พูดให้น่าฟังคือมาเชื่อมสัมพันธ์ของสองแคว้น แต่หากพูดให้ไม่น่าฟังก็คือ แม้จะเป็องค์หญิงสูงส่ง แต่กลับเป็เพียงหมากตัวหนึ่งบนกระดานที่ใช้สร้างประโยชน์ให้บ้านเมืองก็เท่านั้น ยามนี้ดูไปแล้วยังคล้ายเป็หมากที่จะสละทิ้งอีกด้วย
โชคดีที่ท่านแม่ทัพไม่ทอดทิ้ง ช่วยข้ากลับมายังจวนแม่ทัพ ให้ข้ามีที่ซุกหัวนอน ข้าจึงไม่คิดแก่งแย่งไม่มุ่งหวังสิ่งใด มีเพียงความซาบซึ้งจากก้นบึ้งของหัวใจ ข้ามิได้ปรารถนาสิ่งใดมากมาย หวังเพียงได้มีชีวิตต่อไปอย่างเป็ปกติสุขเท่านั้น ทว่าดูไปแล้วแม้แต่ความปรารถนาเล็กน้อยนี้ ก็ยังมีคนไม่ยินยอมมอบให้ข้า
หากรู้แต่แรก ระหว่างทางที่มาแต่งงาน มิสู้ท่านแม่ทัพไม่ต้องช่วยชีวิตข้า ดีชั่วอย่างไรเมื่อข้าตายไปแล้ว ก็ยังได้ตายอยู่ในแผ่นดินบ้านเกิดของตน ดีเสียกว่าต้องมาเป็สัมภเวสีเร่รอนอยู่ต่างบ้านต่างเมืองเช่นในยามนี้”
หลิ่วจิ้งกลั้นน้ำตาเอ่ยจนจบ ถอยหลังไปหลายก้าวก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองหั่วอี้ จากนั้นย่อตัวลงคำนับหั่วอี้หนหนึ่ง กล่าวว่า “ขออภัยท่านแม่ทัพเ้าค่ะ ข้าพูดจาส่งเดชเพราะความอัดอั้นชั่ววูบ ขอท่านแม่ทัพให้อภัย ท่านแม่ทัพโปรดคิดเสียว่าไม่เคยได้ยินที่ข้าพูด ขอตัวก่อนเ้าค่ะ”
พูดจบ หลิ่วจิ้งก็หันหลังวิ่งไปทางเรือนของตน
นางเอาแต่ก้มหน้า ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจมองเห็นแววแห่งความสิ้นหวังและความสิ้นไร้ไม้ตอกในดวงตาของนาง
“ระ เื่นี้…” พ่อบ้านหวังได้ยินสิ่งที่รู้ว่าไม่ควรได้ยินเข้า ทว่าเมื่อฮูหยินวิ่งออกไป ท่านแม่ทัพกลับยังยืนนิ่งอยู่กับที่ เขาอยากจะเอ่ยบางสิ่งสักนิด แต่ก็มิได้เอ่ยปาก ได้แต่ยืนประสานมือแน่นมองผู้เป็นาย
หั่วอี้เคยเห็นหลิ่วจิ้งเป็เช่นนี้เมื่อใดกัน ตลอดมาหลิ่วจิ้งเป็คนใจกว้างไม่ถือสา ท่าทีแน่วแน่ดั่งแม่ทัพบัญชาการทหารนับพันม้าศึกนับหมื่นยามต้องเผชิญกับเื่ต่างๆ ของนางนั้น ทำให้หั่วอี้เห็นหลิ่วจิ้งเป็สตรีแข็งแกร่งที่ไม่เกรงฟ้าไม่กลัวดิน
ท่าทีเข้มแข็งไม่ท้อถอยของหลิ่วจิ้งเป็สิ่งที่ดึงดูดหั่วอี้อย่างลึกล้ำ หาไม่แล้วหั่วอี้ก็จะไม่รับคำท้าประลองจากรอบทิศเพียงลำพังและช่วยหลิ่วจิ้งกลับมา
ท่าทียามหลิ่วจิ้งกลั้นน้ำตาเมื่อครู่นี้ช่างงดงาม ทั้งอ่อนโยนชวนหลงใหล ทำให้หั่วอี้ได้เห็นอีกแง่มุมหนึ่งของหลิ่วจิ้ง นั่นคือหลิ่วจิ้งก็เป็สตรีผู้หนึ่ง ที่้าคนทะนุถนอม ้าคนปกป้อง ้าคนรักใคร่ อุปนิสัยแข็งประสานอ่อนของหลิ่วจิ้งสร้างความหวั่นไหวใหญ่หลวงแก่หั่วอี้ ปลุกเร้าสัญชาตญาณของวีรบุรุษในตัวเขาขึ้นมา
หลิ่วจิ้งวิ่งออกไปแล้ว แต่ในสมองของหั่วอี้ยังคงมีถ้อยคำที่หลิ่วจิ้งเพิ่งพูด สะท้อนไปมาไม่ยอมหยุด “ข้ามิได้ปรารถนาสิ่งใดมากมาย หวังเพียงได้มีชีวิตอยู่ มีชีวิตอยู่ต่อไปเท่านั้น…” สิ่งนี้ทำให้หั่วอี้ได้แต่มองหลิ่วจิ้งวิ่งออกไป และยังคงชะงักงันอยู่กับที่มิได้ตามนางไป
วันนี้ หลิ่วจิ้งสร้างความประหลาดใจและความยินดีแก่หั่วอี้มากมายนัก จนเขาไม่อาจทำความเข้าใจทุกสิ่งได้ในคราเดียว
พ่อบ้านหวังบีบฝ่ามือตนเองจนแดงก่ำโดยไม่รู้ตัว แต่กลับทำได้เพียงมองตามทางที่หลิ่วจิ้งจากไป ก่อนหันกลับมามองหั่วอี้ เขาหวังว่าผู้เป็นายจะส่งสัญญาณบางอย่างให้ตน จะได้มีเื่ทำมิใช่เอาแต่ยืนทำตัวไม่ถูกเหมือนคนโง่อยู่ที่นี่
พ่อบ้านหวังรู้ว่าฮูหยินที่เพิ่งมาใหม่นี้มีฐานะที่ไม่ธรรมดาเลยในหัวใจของหั่วอี้ แต่เวลานี้นางจ้าวกลับมาตั้งครรภ์ ในครอบครัวใหญ่เช่นนี้ เื่ของทายาทสืบสกุลย่อมเป็สิ่งสำคัญที่สุดเสมอมา โดยเฉพาะยิ่งเป็บุตรชายคนโตด้วยแล้ว เมื่อเป็เช่นนี้ตัวแปรในภายภาคหน้าก็ยังมีอีกมากมายนัก ท้ายที่สุดผู้ใดจะได้เป็นายหญิงใหญ่แห่งจวนหั่วก็ยังไม่อาจบอกได้แน่ชัด
พ่อบ้านหวังรู้จักแยกแยะและปกป้องตนเอง จึงรู้ว่าไม่ว่าอย่างไรตนก็ไม่ควรเข้าไปมีส่วนร่วมกับการต่อสู้ระหว่างเหล่าฮูหยินในจวนได้เป็ดี แม้ขาข้างหนึ่งของเขาจะก้าวเข้าไปอยู่ในฝ่ายของฮูหยินแล้วก็ตามที ทว่าก่อนที่นางจ้าวจะคลอดบุตร หากสามารถเอาแต่เฝ้ามองไม่ไปมีส่วนร่วมได้เป็ดีที่สุด
“ข้าอยากไตร่ตรองบางเื่ให้ดีเสียหน่อย เ้าไปสั่งให้คนชงชาอ่อนๆ แล้วนำมาส่งที่ห้องหนังสือ หากมิใช่เื่สำคัญก็ไม่ต้องรบกวนข้า” หลังจากหั่วอี้หันไปสั่งความกับพ่อบ้านหวัง เขาก็สาวเท้าเข้าไปในห้องหนังสือทันที
พ่อบ้านหวังรอให้ท่านแม่ทัพเดินจากไปจนไม่เห็นแผ่นหลังแล้ว จึงถอนหายใจยาวๆ คราหนึ่ง ความเงียบงันเช่นความตายเมื่อครู่นี้ เกือบทำเขาหายใจไม่ออกแล้ว
พ่อบ้านที่ผ่านโลกมามากเช่นเขา แม้เดิมทีคิดจะตามไปดูทางฮูหยินสักหน่อย แต่ก็กลัวว่าท่านแม่ทัพจะรอนาน ท้ายที่สุดจึงไม่ได้ตามนางไป
_____________________________
เชิงอรรถ
[1] หอกในทางแจ้งลูกศรในทางลับ หมายถึง ภัยที่มาจากรอบด้าน ทั้งที่มาตรงๆ หรือมาอย่างลับๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้