เมื่อสติเริ่มหลุดลอย เวินซีทำได้เพียงกัดฟันอดทนไว้ แสงสะท้อนจากใบมีดทำให้ดวงตาของนางพร่ามัวจึงกำกริชไว้แน่น ในขณะที่บุรุษผู้นั้นเข้ามาใกล้ นางก็เบี่ยงตัวหลบและแทงกริชเข้าไปที่หัวใจของเขา
รวดเร็ว แม่นยำ และโเี้
จ้าวต้านใกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เมื่อเห็นเวินซีหมดแรงจะล้มลงก็เข้าไปรับนางไว้ในอ้อมอก
แผลขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ยาพิษยังคงกัดกินร่างกายของนาง เขาถอดเสื้อคลุมตัวนอกของนางออกโดยไม่ลังเล แล้วใช้ร่างกายของตนบังไว้
บุรุษที่ถูกแทงหมดลมหายใจล้มลงกับพื้น ส่วนอีกคนก็ดิ้นรนอย่างเ็ป เมื่อจ้าวต้านเห็นว่าเขากำลังจะเอื้อมมือหยิบมีดบนพื้นจึงเหยียบข้อเท้าไว้
เขากรีดร้องด้วยความเ็ป พอจะใช้อีกมือหนึ่งขัดขืน ก็ถูกจ้าวต้านเตะออกไป
“จ้าวซาน!”
จ้าวต้านเรียกชื่อนั้นอย่างเ็า พลันจ้องมองบุรุษที่หมดสภาพอยู่บนพื้น ในตอนนั้นเองที่จ้าวซานเดินออกมาจากมุมที่ไม่เป็ที่สังเกตเห็น
“เอาเขาไป ตรวจสอบว่าเป็คนของผู้ใด อย่าให้เขาตายล่ะ” จ้านต้านเอ่ยปากสั่ง
“ขอรับ” จ้าวซานรู้สึกได้ว่าเ้านายของตนกำลังโกรธมาก จึงคุกเข่าลงรับคำสั่ง
“ประกาศออกไป เตรียมตัวกันให้พร้อม เวลาใกล้จะมาถึงแล้ว “
สีหน้าของจ้าวต้านเต็มไปด้วยความโกรธ เขาไม่อยากให้เวินซีต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับเื่นี้ แต่ยามนี้คนพวกนั้นมีแต่บีบบังคับจนไร้หนทาง ทั้งยังทำร้ายนาง ทำให้เขาอดทนรอต่อไปไม่ไหว
ในเวลาต่อมา ที่ร้านของเวินซี
ริมฝีปากของเวินซีซีดขาว ยามนี้แม้กระทั่งหมอคนที่สามที่เชิญมาก็ยังส่ายหน้า ไม่รู้ว่าจะกำจัดพิษอย่างไร
เพราะกลัวว่าพิษจะแพร่กระจาย จ้าวต้านจึงใช้ผ้าบางๆ มัดแขนของนางไว้แน่น แต่ก็ไม่ได้ช่วยมากนัก
เขาเพิ่งได้รับการรายงานว่า นักฆ่าอีกคนหนึ่งที่เหลือรอดมาได้ทนทรมานไม่ไหวจึงทานยาพิษฆ่าตัวตาย แม้นักฆ่าจะไม่ได้ปริปากบอกว่าผู้ใดที่อยู่เื้ั แต่จ้าวต้านก็พอจะรู้ว่าเป็คนกลุ่มใด
หากเวินซีเป็อะไรขึ้นมา เขาจะไม่ให้คนพวกนั้นได้อยู่อย่างสุขสบายแน่
“แค่ก...แค่กๆ...”
ขณะนั้นก็มีเสียงการเคลื่อนไหวจากบนเตียง เวินซีลืมตาขึ้น
“ไม่เป็อันใดนะ?” จ้าวต้านเข้าไปกุมมือนางอย่างตื่นตระหนก
“ใช้หญ้าซูเย่กับใบแปะก๊วยบดผสมกันจะล้างพิษที่าแได้”
“ได้ เ้าอดทนไว้นะ รอข้าก่อน”
เมื่อจ้าวต้านได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นวิ่งออกไป
เวินซีเ็ปจนยากจะเกินทน นับว่าโชคดีที่มิได้ถึงแก่ชีวิตจึงยังมีโอกาสล้างพิษได้ คนพวกนั้นคงไม่รู้ว่านางชำนาญเื่การใช้ยา มิฉะนั้นคงจะไม่ใช้พิษที่ดมแล้วสามารถรู้ถึงส่วนประกอบของยาถอนพิษ
ส่วนประกอบล้วนเป็ยาที่หาได้ง่าย จ้าวต้านจึงกลับมาอย่างรวดเร็ว เขารีบผสมยาแล้วนำมาวางไว้ข้างเตียง จากนั้นก็ยื่นมือออกไปจะช่วยเวินซีถอดเสื้อ
“เ้าจะทำอันใด?” เวินซีปฏิเสธด้วยสีหน้าระมัดระวัง
“จะช่วยเ้าทายา สวมเสื้อผ้าเช่นนี้มันไม่สะดวก เ้าวางใจเถิด ข้าจะไม่ดู หากยังกังวล ข้าปิดตาก็ได้ เ้าบอกข้าว่าาแอยู่ที่ใดก็แล้วกัน”
จ้าวต้านฉีกชายเสื้อออกมา ทำท่าทีราวกับจะปิดตาจริงๆ
เมื่อเห็นเขาเป็เช่นนั้น เวินซีก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า เขาจึงถอดเสื้อของนางออกอย่างอ่อนโยน
ถึงอย่างไรก็มิได้ถอดจนเปลือยเสียหน่อย จะเข้มงวดขนาดนี้ไปไยกัน? นางเป็คนสมัยใหม่แท้ๆ เหตุใดถึงหัวโบราณกว่าคนยุคเก่าอีกนะ? แล้วจะเขินทำไมกัน? เวินซีก่นด่าตนเองในใจ
ขณะนั้นจ้าวต้านจ้องไปที่าแ เมื่อทายาให้ที่แขน เวินซีก็พลันสูดลมหายใจเย็นๆ
“หากเจ็บก็ร้องออกมาเถิด”
เขาเบามือลงอีก เป่าแขนให้นางด้วยลมเย็นอ่อนๆ เพียงเล็กน้อย ซึ่งก็ทำให้นางรู้สึกดีขึ้นมาก เป็ครั้งแรกที่มีคนเป็ห่วงเช่นนี้ เวินซีหลับตาลงด้วยความว้าวุ่น
น่าผิดหวังจริงๆ หากเป็เมื่อก่อน ไม่ว่านางจะได้รับาเ็เพียงใดก็ไม่เคยกะพริบตา เหตุใดตอนนี้ถึงอ่อนแอลงเรื่อยๆ กัน? คงได้แต่โทษร่างนี้
“เสร็จแล้ว ต่อไปนี้ข้าจะเปลี่ยนยาให้เ้าทุกวัน ่นี้เ้าพักผ่อนให้ดีเถิดนะ”
จ้าวต้านเห็นว่าใบหน้าของนางมีเืฝาดขึ้นแล้ว จึงวางใจลงไม่น้อย
“ไม่ต้องหรอก ข้าทำเองได้”
เวินซีคิดจะปฏิเสธ แต่ไม่คิดเลยว่าจะถูกเมินอย่างสิ้นเชิง พอจ้าวต้านพูดจบก็ช่วยทายาให้แล้วออกไปทันที
ความเหนื่อยล้าในหลายวันที่ผ่านมาทำให้นางหลับตาลงอย่างไม่รู้ตัว ในตอนที่ลืมตาขึ้นมาอีกคราก็เป็เพราะได้กลิ่นหอมหนึ่งจึงนึกสงสัย
“ตื่นแล้วหรือ?”
ขณะนั้นจ้าวต้านนั่งอยู่ข้างเตียงพร้อมกับถ้วยทัง เขาเอ่ยพลางถือช้อนป้อนเข้าปากเวินซี “นี่ทังนกพิราบ ช่วยสมานาแได้ ลองดูสิ”
เวินซีเห็นดังนั้นก็มิได้ปฏิเสธ ทังถ้วยหนึ่งจึงหมดลงอย่างรวดเร็ว
“รสชาติไม่เลวเลย คงจะมิใช่ฝีมือเ้าสินะ”
นางยังจำรสชาติอาหารที่เขาทำในวันแรกได้ มันยากที่จะกลืนลงคอ
“จ่างกุ้ยสอนให้น่ะ หากเ้าชอบ ข้าจะทำให้ทุกวัน”
จากนั้นจ้าวต้านก็ห่มผ้าให้นางอย่างระมัดระวัง เพราะเกรงว่ามันจะไปััโดนาแ เขาจึงเอาแขนของนางออกมาด้านนอก
เขาดูแลนางเป็อย่างดี จนกระทั่งวันที่สามที่เวินซีสามารถลงจากเตียงได้ หลังจากที่ัักับชีวิตที่ไม่ต้องทำสิ่งใดก็มีอาหารมาถึงปาก นางก็สุขใจจนแทบไม่อยากทำอะไร แต่เื่ธุรกิจนั้นก็สำคัญ
นางใช้โอกาสตอนที่จ้าวต้านออกไปด้านนอก หยิบธนบัตรแล้วออกไปเดินข้างนอกบ้าง บรรยากาศการแข่งขันทำเครื่องหอมยังคงอยู่ บนถนนครึกครื้นเป็อย่างยิ่ง ทุกครัวเรือนแขวนผ้าหลากสีและมีกังหันลมหมุนอยู่สองข้างทาง
นางเดินบนถนนคนเดียวจนกระทั่งเห็นร้านที่อยู่กลางตลาดปิดลง มีสตรีนางหนึ่งนั่งอยู่ที่หน้าร้าน ถือป้ายแผ่นหนึ่งเขียนว่า “ขายต่อ”
นางจึงเดินเข้าไปหาสตรีผู้นั้นด้วยรอยยิ้มใจดี “ฮูหยิน เหตุใดถึงขายร้านนี้ล่ะเ้าคะ?”
“บุตรชายของข้าแต่งงานกับสตรีร่ำรวยในเมืองหลวง พวกเขาเปิดร้านค้ากันที่นั่นและอยากจะให้ข้าไปอยู่ด้วย ร้านนี้ข้าดูแลคนเดียวไม่ไหว กิจการก็ไม่ดีนัก หากขายร้านแล้วไปเปิดหูเปิดตาที่เมืองหลวงก็ดีเหมือนกัน เ้าอยากจะซื้อหรือ? ร้านข้ามิได้มีราคาถูกหรอกนะ”
สตรีผู้นั้นสังเกตเวินซี เห็นว่านางสวมเสื้อผ้าเรียบง่าย จึงเกิดความสงสัย
“ในตลาดที่ครึกครื้นเช่นนี้ กิจการยังไม่ดีหรือ?” เวินซีหันกลับไปมองถนนที่มีผู้คนสัญจรไปมา
“พูดไปก็น่าอาย ฝีมือการทำอาหารของข้าไม่ได้เื่ แต่ข้าชอบทำอาหารน่ะ จึง...” นางหัวเราะอย่างไม่เกรงใจ
ขณะนั้นเวินซีมองดูรอบๆ ร้าน โต๊ะและเก้าอี้ด้านในถูกเช็ดทำความสะอาด ทั้งยังจัดวางเรียบร้อยมาก แสดงให้เห็นว่าเ้าของร้านมีความรักให้กับสิ่งเหล่านี้
“ฮูหยิน ร้านนี้ราคาเท่าไรเ้าคะ?”
“ห้าร้อยตำลึงเงิน” ฮูหยินผู้นั้นยกมือขึ้นห้านิ้ว
“แพงไปหน่อย หากถูกลงจะดีกว่านะเ้าคะ” เวินซีนั่งลงข้างสตรีผู้นั้น
“นี่...คุณหนู นี่เป็ทำเลทองเลยนะ เ้าดูฝั่งตรงข้ามสิ เป็ร้านเครื่องหอมของตระกูลเวินเลยนะ” สตรีผู้นั้นชี้ไปยังร้านตรงข้ามที่ปิดอยู่
“เครื่องหอมของตระกูลเวินมิได้ขายดีเหมือนเมื่อก่อนแล้วนี่เ้าคะ”
“เช่นนั้น... สี่ร้อยห้าสิบตำลึง? บุตรชายข้าเร่งข้าไม่หยุด หากไม่ใช่ว่าข้ารีบร้อน ข้าคงไม่ลดราคาหรอกนะ”
“สี่ร้อยตำลึง” เวินซีต่อราคา
“คุณหนู เช่นนี้มิได้หรอกนะ”
“สี่ร้อยตำลึง หากท่านไม่ขาย ข้าไปหาร้านอื่นก็ได้” เวินซีทำท่าทีจะจากไป
สตรีผู้นั้นจึงมีสีหน้าลำบากใจ เมื่อเห็นว่าเวินซีเดินออกไปแล้วก็รีบลุกขึ้นไปดึงนางกลับมา “ขายๆๆ เ้ารออยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะไปหยิบโฉนด เ้านี่ทำข้าลำบากจริงๆ”
สตรีผู้นั้นบ่นพึมพำตลอด แต่ท่าทางตอนที่หยิบโฉนดกลับมิได้เชื่องช้าเลย เมื่อนางเห็นเวินซีนำธนบัตรห้าร้อยตำลึงออกมา ก็หาเงินมาทอนหนึ่งร้อยตำลึงอย่างปวดใจ
หลังจากที่ซื้อร้านไว้ได้สำเร็จ เวินซีก็มีความสุขมาก ในตอนที่กลับมายังไม่ลืมที่จะซื้อหม้อเหล็กกับผักสำหรับทำอาหารที่ร้าน
ในเวลานั้นเมื่อจ้าวต้านกลับมาเห็นว่านางกำลังยุ่งอยู่ก็รีบเข้าไปช่วย
“เ้าทำอันใดน่ะ?”
“ข้าน่ะหรือ...รอก่อนเถิด ข้าจะทำอาหารที่ต้องทานในฤดูหนาว”
ดวงตาของเวินซีเ้าเล่ห์ราวกับสุนัขจิ้งจอก นี่คืออาวุธลับวิเศษของนางในการเปิดร้านแห่งที่สอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้