บางที สกุลลู่อาจไม่ได้นึกสนุกอยากเอาของดีมาทำให้เสียหายเล่นๆ พวกเขาเตรียมการทุกอย่างไว้อย่างรอบคอบ ไม่แน่ว่าอาจจะสำเร็จจริงๆ ก็ได้
ด้วยความสงสัยใคร่รู้ คนในหมู่บ้านหากมีเวลาว่างเมื่อใดเป็ต้องมาวนเวียนอยู่รอบๆ สกุลลู่เสมอ
เมื่อพระอาทิตย์สาดส่องก็เข้ามาช่วยกันเลิก ‘มุ้ง’ ฟางข้าวขึ้น เมื่อพระอาทิตย์ตกก็เอากลับมาคลุมเช่นเดิม การกระทำเหล่านี้ของพวกเขาทำให้ลู่เสี่ยวหมี่รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
เป็เช่นนี้อยู่ห้าถึงหกวัน ในที่สุดลู่เสี่ยวหมี่ก็อาศัยจังหวะที่พระอาทิตย์ส่องแสงแรงกล้า เปิดเพิงคลุมผักชีออก
ต้นกล้าที่เดิมอ่อนแอบอบบางเป็สีขาวซีด หลังจากถูกเพาะอยู่ในเพิงกลางแดดมาหลายวัน ในที่สุดรูปลักษณ์ก็เปลี่ยนไป
ใต้เพิงนั้นเต็มไปด้วยผักชีสีเขียวสดสูงประมาณสามชุ่นเบียดเสียดกันอยู่เต็มพื้นที่ ใน่ปลายฤดูหนาวเช่นนี้ไม่ว่าใครเห็นก็ให้รู้สึกมีชีวิตชีวายิ่งนัก
เสี่ยวหมี่กดความรู้สึกดีใจจนแทบคลุ้มคลั่งของตนเองลงไป นางค้อมกายลงไปเด็ดมาสองก้าน ก้านหนึ่งส่งให้เฝิงเจี่ยนที่อยู่ข้างกาย อีกก้านหนึ่งส่งเข้าปากตัวเอง
กลิ่นหอมกำจายในปาก ทำให้คนทั้งสองที่ชิมตามๆ กันแย้มยิ้มออกมา
“พี่ใหญ่เฝิง ข้าทำสำเร็จแล้ว”
เสี่ยวหมี่ทนไม่ไหวอีกต่อไป ยื่นมือออกไปจับแขนของเฝิงเจี่ยนด้วยความตื่นเต้น
ในมือของเฝิงเจี่ยนยังถือผักชีอยู่ แววตาของเขามีความยินดีอยู่สามส่วน ที่เหลืออีกเจ็ดส่วนเต็มไปด้วยความซับซ้อน
ถึงแม้แรกเริ่มเขาจะสนับสนุนให้เสี่ยวหมี่สร้างเพิงเพาะกล้านี้ขึ้นมา แต่จริงๆ แล้วที่ทำเช่นนั้นก็เพราะรักใคร่เอ็นดูนาง ความจริงแล้วเขาไม่ได้เชื่อจริงๆ ว่า่ระยะเวลาก่อนถึงฤดูใบไม้ผลิเกือบสองเดือนเช่นนี้ ในเมืองที่อยู่ทางเหนือสุดของแคว้น นางจะสามารถเพาะพืชผักสีเขียวขึ้นมาได้
ต้องรู้ก่อนว่าใน่เวลานี้ แม้แต่ที่เจียงหนานก็ยังมีคนได้กินผักใบเขียวแค่ไม่กี่ครอบครัวเท่านั้น
แต่แม่นางน้อยคนนี้ แม่นางน้อยที่เฉลียวฉลาดจนน่าประหลาดใจคนนี้ สามารถทำได้สำเร็จ ท่ามกลางความเคลือบแคลงสงสัยและไม่เชื่อใจของคนรอบข้าง...
“น้องสาว เ้าอย่ายึดไว้คนเดียวสิ รีบเด็ดมาให้ข้าชิมบ้าง”
คนอื่นรวมถึงคนในหมู่บ้านที่ยืนอยู่ด้านหลังได้ยินลู่เสี่ยวหมี่พูดเช่นนี้ก็ตื่นเต้นพากันเบียดเสียดขึ้นหน้ามา โดยเฉพาะพี่รองลู่ที่ร้อนใจโวยวาย อยากจะชิมบ้าง
“พี่รอง ท่านไม่กินผักชีไม่ใช่หรือ?”
ปากเสี่ยวหมี่กล่าวโต้แย้ง แต่มือก็ยื่นไปเด็ดผักชีออกมาเพื่อแจกจ่ายให้ทุกคน
ลู่อู่โยนมันเข้าปากทางหนึ่งเคี้ยว ทางหนึ่งยิ้ม “ฮ่าฮ่า ดียิ่งนัก ไม่เสียทีที่บิดา [1] ต้องเหนื่อยวิ่งเข้าออกในเมือง ท้าลมหนาวและหิมะ ในที่สุด...”
ไม่รอให้เขาพูดจบ บิดาลู่ก็ตบหลังศีรษะเขา
“เ้าเป็บิดาใคร หา? เก่งแต่พูดจาไร้สาระ”
ลู่อู่หันไปเห็นบิดาสีหน้าดำคล้ำ ก็หัวเราะแหะๆ เตรียมวิ่งหนีทันที
หลังจากที่เปิดห้องเรียนสกุลลู่ใหม่อีกครั้งได้ไม่กี่วัน ลู่เสี่ยวหมี่ก็ใช้ข้ออ้างว่ามีงานต้องทำมาก ยกหน้าที่สอนหนังสือเด็กๆ ให้บิดาลู่แทน
บิดาลู่สอบได้ซิ่วไฉั้แ่อายุสิบหก ตอนหลังไม่รู้เพราะเหตุใดถึงไม่เข้าร่วมสอบรับราชการอีก แต่ระดับความรู้ของเขาก็เป็ที่ประจักษ์อยู่
คนในหมู่บ้านย่อมไม่คัดค้าน ทั้งยังแอบคิดคำนวณกันว่าเพราะเหตุนี้ลูกหลานของตนเองอาจจะสอบรับราชการได้ง่ายขึ้นก็เป็ได้
กลับเป็พวกเด็กๆ ที่รู้สึกว่าบิดาลู่สอนไม่สนุกเท่าลู่เสี่ยวหมี่ จึงแอบบ่นอยู่วันสองวัน สุดท้ายถูกบิดามารดาของตนเองฟาดเข้าให้เต็มฝ่ามือ
เป็ดังที่เสี่ยวหมี่คาดไว้ เมื่อบิดาลู่มีเื่ให้ทำ ระยะเวลาที่เขาหมกตัวเช็ดไหกระเบื้องลายครามอยู่ในห้องก็น้อยลง ทั้งยังอ้วนขึ้นเล็กน้อย ดูมีชีวิตชีวาขึ้น สิ่งนี้ทำให้คนสกุลลู่มีความสุขตามไปด้วย...
เมื่อเห็นว่าบิดาลู่มาแล้ว คนในหมู่บ้านก็เข้ามารุมล้อมเขาพลางเอ่ยปากชมไม่หยุด
“ท่านอาจารย์ เสี่ยวหมี่เก่งมากจริงๆ นางปลูกผักสำเร็จแล้ว”
“นั่นน่ะสิ ตอนแรกทุกคนยังคิดว่านางแค่เล่นสนุก เอาของดีๆ มาทำให้เสียของเสียอีก”
“ยามนี้ยังอยู่ใน่ฤดูหนาว หากเอาผักพวกนี้ไปขายในเมืองคงได้ราคางามเป็แน่”
ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์กันไม่ขาดปาก ฟังดูน่ารำคาญอยู่บ้าง แต่บิดาลู่กลับยิ้มแย้มอย่างที่น้อยครั้งจะเห็น “นางก็แค่ซุกซนเท่านั้น ขอแค่ขายได้ทุนคืนมาก็นับว่าดีมากแล้ว ยามปกตินับว่ารบกวนท่านทั้งหลายให้ต้องช่วยเหลือแล้วจริงๆ”
เสี่ยวหมี่เป็คนเฉลียวฉลาดรู้ความ ได้ยินบทสนทนาของบิดาลู่และคนในหมู่บ้าน จึงหาจังหวะเหมาะสมกล่าวว่า “ยามนี้ยังไม่ถึงเวลาขายผลผลิต แต่ก็รออีกแค่ไม่กี่วันเท่านั้นเ้าค่ะ ถึงตอนนั้นเมื่อเข้าเมืองเอาผักไปขายไม่ว่าจะขายได้มากน้อยแค่ไหน จะต้องจัดเลี้ยงโต๊ะใหญ่เชิญท่านลุงท่านป้าทั้งหลายมาร่วมกินดื่มกันให้ได้เลยเ้าค่ะ”
“ฮ่าฮ่า ดีจริงๆ”
ดังคำที่ว่าญาติที่อยู่ห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ ทุกคนอยู่อาศัยในหมู่บ้านเขาหมีกับสกุลลู่มาหลายปี โดยเฉพาะครึ่งปีให้หลังมานี้ไปมาหาสู่กันบ่อยครั้ง จึงสนิทสนมกันยิ่งนัก
ยามนี้เมื่อได้ยินลู่เสี่ยวหมี่ออกปากเชิญมากินดื่ม แน่นอนย่อมต้องตอบตกลง
บางคนอดไม่ไหวถามขึ้นว่า “เสี่ยวหมี่เอ๋ย ผักพวกนี้หากนำไปขายในเมือง ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องอยากซื้อ ไม่ต้องกลัวว่าจะหาคนซื้อไม่ได้หรอก”
เสี่ยวหมี่อ้อมแอ้มรับคำ
เฝิงเจี่ยนที่ยืนอยู่ข้างๆ กวาดสายตามองแม่นางน้อยที่ยิ้มอย่างเ้าเล่ห์ แล้วก็อดยกยิ้มมุมปากไม่ได้...
ถึงแม้ความยากลำบากจะได้รับผลตอบแทนที่น่าพอใจแล้ว แต่ลู่เสี่ยวหมี่ยังไม่ประมาท กลัวว่าสัตว์ป่าที่เพิ่งออกจากจำศีลเมื่อได้กลิ่นหอมของพืชผักจะพากันมาบุกทำลายเพิงผักของนาง ตกกลางคืนจึงให้พี่รองสวมเสื้อคลุมหนังแพะไปนั่งเฝ้าสวนผักสกุลลู่ที่ตอนนี้ขยับขยายออกมาอยู่นอกบริเวณบ้านสกุลลู่แล้ว
บรรดาพรานหนุ่มน้อยในหมู่บ้านล้วนอายุไล่เลี่ยกับพี่รองลู่ เติบโตมาด้วยกันั้แ่เด็ก อย่างไรเสียยามนี้ที่บ้านก็ไม่มีอะไรให้ทำ จึงพากันหิ้วไหสุรามาที่สวนผักสกุลลู่ มาคุยเล่นเป็เพื่อนพี่รองลู่ ทำให้พี่รองลู่รู้สึกว่าการมานั่งเฝ้าสวนผักยามค่ำคืนเช่นนี้ก็ไม่ได้เป็เื่ทรมานใจแต่อย่างใด
ส่วนตอนกลางวันนั้น ไม่จำเป็ต้องส่งคนมาเฝ้าสวนผัก คนในหมู่บ้านแทบทุกคนขอแค่ออกจากบ้าน ขาของพวกเขาจะต้องพากันแวะเวียนมาที่สวนผักสกุลลู่อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวเสมอ อย่าว่าแต่สัตว์เล็กสัตว์น้อยหรือนกกาทั้งหลายเลย ต่อให้หมีดำและเสือร้ายมาถึงก็คงจะตกอกใวิ่งหนีกลับไป เพราะบรรดานายพรานทั้งหลายที่ยามปกติถือธนูล่าสัตว์ทำสีหน้าดุดันจดจ้องพวกมัน ยามนี้กลับส่งยิ้มโง่งมเจิดจ้าให้กับต้นกล้าในสวนผัก ช่างทำให้ ‘สัตว์ป่าดุร้าย’ พวกนั้นเห็นแล้วหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
ถึงแม้จะไม่มากนัก แต่แสงอาทิตย์ก็ค่อยๆ อบอุ่นขึ้นทุกวัน
เสี่ยวหมี่ตัดสินใจจะตัดผักไปขายในวันรุ่งขึ้น
คิดไม่ถึงว่าวันนี้เพิ่งจะรับประทานอาหารเที่ยงเสร็จ นายท่านเฝิงที่อายุหกสิบกว่าแล้วกลับเดินหลังค่อมน้อยๆ ถือกล้องยาสูบทองเหลืองมาหาถึงที่บ้าน
นายท่านผู้นี้มีอายุมากที่สุดในหมู่บ้าน ผ่านประสบการณ์ดีร้ายมามากมาย ไม่ว่าเรื่้องใด คนในหมู่บ้านก็มักจะไปปรึกษา ขอให้นายท่านผู้นี้ตัดสินใจ เป็ผู้ที่ได้รับความนับถือเป็วงกว้าง
ยามนี้ถึงกับมาหาถึงที่บ้านด้วยตนเอง ทำให้ลู่เสี่ยวหมี่ต้องรีบวิ่งไปประคองเขาเข้ามาในห้อง รีบตระเตรียมน้ำชาและของว่าง ทั้งจัดให้นายท่านเฝิงผู้นี้นั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือตัวใหญ่ที่สบายที่สุดในบ้านของพวกเขา
เมื่อบิดาและพี่ชายลู่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็พากันมารวมตัวที่โถงรับรองของบ้าน บิดาลู่รินน้ำชาให้กับผู้เฒ่ารุ่นบิดาของเขาคนนี้ด้วยตนเอง
เสร็จแล้วจึงเอ่ยปากถามว่า “ท่านลุง หิมะยังไม่ละลายเลยนะขอรับ ท่านมาได้อย่างไร? หากมีเื่อะไรก็ให้พวกเด็กๆ มาเรียก ข้าจะไปหาท่านเองขอรับ”
นายท่านเฝิงยิ้มตาหยีมองคนสกุลลู่ที่วุ่นวายรับรองเขา คล้ายว่าจะพออกพอใจยิ่งนัก รอยยับย่นบนใบหน้ายิ่งดูชัดเจนขึ้น
เขาเองก็ไม่รีบร้อนเอ่ยอะไร จุดกล้องยาสูบแล้วดูดไปสองครั้ง ถึงค่อยๆ เอ่ยออกมาว่า “เสี่ยวหมี่เอ๋ย พืชผักในสวนของเ้าควรจะเอาไปขายได้แล้วใช่หรือไม่?”
เสี่ยวหมี่ไม่คิดว่านายท่านเฝิงจะพูดกับนางเป็คนแรก ในใจรู้สึกสงสัยแต่ก็ยังคงตอบอย่างยิ้มแย้ม “ท่านปู่เฝิงพูดถูกแล้วเ้าค่ะ ควรขายได้แล้ว ข้าตั้งใจจะเอาไปขายพรุ่งนี้เ้าค่ะ”
นายท่านเฝิงพยักหน้าเบาๆ เงยหน้ามองออกไปที่ท้องฟ้าด้านนอก จากนั้นก็เอ่ยประโยคที่ทำให้สกุลลู่ต้องร้อนรนไปทั้งสกุล
“คืนนี้เกรงว่าจะมีหิมะตกหนัก ตกหนักอย่างยิ่ง”
“อะไรนะ?” ลู่อู่ที่ใจร้อนเป็คนแรกที่พรวดพราดออกมา “ไม่ได้นะ หากทำพืชผักล้มตายก็เท่ากับเราเหนื่อยเปล่าน่ะสิ”
พี่ใหญ่ลู่เองก็ร้อนใจจนถูมือไปมา “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดี”
ถึงแม้ลู่เสี่ยวหมี่จะหน้าเปลี่ยนสีน้อยๆ แต่นางก็ไม่ได้ร้อนใจจนเสียกิริยา
นายท่านลู่เห็นแล้วก็ลอบพยักหน้า รู้สึกดีใจแทนสกุลลู่
เขาเป็สหายรักกับท่านปู่ลู่ เคยขึ้นเขาล่าสัตว์ด้วยกันมาก่อน แน่นอนว่าเขาไม่ได้เก่งกาจเท่าท่านปู่ลู่ ย่อมไม่มีทรัพย์สมบัติเช่นสกุลลู่ในปัจจุบัน แต่เขาก็อาศัยอยู่ที่เขาหมีแห่งนี้แต่งงานมีลูกหลาน ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมาจนถึงอายุปูนนี้
เมื่อก่อนเขายังขัดใจว่าบิดาลู่คนนี้ไม่อาจหาญเท่าบิดาเขา รังเกียจเขาว่าเป็บัณฑิตทึ่มทื่อสมองทึบ เมื่อไป๋ซื่อสิ้นไปสกุลลู่ก็ดูไม่ได้ยิ่งกว่าเดิม
ดีที่บุตรสาวคนเล็กของสกุลลู่นับว่าไม่เลว เฉลียวฉลาดรู้ความ อายุยังน้อยแต่สามารถบริหารจัดการสกุลลู่ได้เป็อย่างดี
ยามนี้ถึงกับนำบรรดาพี่ชายปลูกผักหาเงิน สกุลลู่ก็ยิ่งเปล่งประกาย ทำให้คนรู้สึกอิจฉาขึ้นเรื่อยๆ
สกุลลู่ในตอนนี้ต่อให้เจอเื่หนักหนา ก็คงจะผ่านไปได้โดยง่าย
เป็จริงดังคาด เสี่ยวหมี่ขมวดคิ้วเพียงครู่เดียวก็คลายออก
นางโบกมือให้พี่ชายทั้งสองใจเย็นลง แล้วจึงหันศีรษะไปมองนายท่านเฝิง “ท่านปู่เฝิง ปีก่อนๆ บนยอดเขาหมีของเราก็มักจะมีหิมะตกหนัก่ปลายฤดูหนาวต้นฤดูใบไม้ผลิอยู่บ่อยๆ ใช่หรือไม่เ้าคะ”
“ใช่แล้ว เหมือนจะเป็เช่นนี้ทุกปี แต่ก็มีบ้างที่ไม่เกิด แต่น้อย”
นายท่านเฝิงพยักหน้าน้อยๆ กล่าวต่อไปว่า “แต่หิมะในครั้งนี้มาถึงรวดเร็วนัก และจะละลายไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นสภาพอากาศก็จะค่อยๆ อบอุ่นขึ้น”
เสี่ยวหมี่ได้ยินเช่นนั้นก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย
“เช่นนั้นก็ดี ขอบคุณท่านปู่เฝิงที่อุตส่าห์มาบอกกล่าวด้วยตัวเอง ข้าจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้ ท่านปู่นั่งพักก่อนเถอะเ้าค่ะ ในห้องครัวข้าตุ๋นน้ำแกงกระดูกหมูไว้ ท่านกินให้ร่างกายอบอุ่นเสียก่อนแล้วค่อยกลับไปนะเ้าคะ”
“ได้ เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว”
นายท่านเฝิงไม่ปฏิเสธ ยิ้มแย้มรับโดยดี
เสี่ยวหมี่ไม่กล้ารีรออีกต่อไป เรียกพี่ชายทั้งสองออกไปด้านนอก
เกาเหรินเป็ผู้เชี่ยวชาญด้านการแอบฟัง เขาได้ยินคำพูดของนายท่านเฝิงทั้งหมดแล้วจึงถ่ายทอดให้คนในเรือนพักฝั่งตะวันออกฟัง
ยามนี้เฝิงเจี่ยนสวมอาภรณ์เรียบร้อยรออยู่ก่อนแล้ว
“มีสิ่งใดให้ช่วยหรือไม่ เ้ารีบบอกมาเถิด”
ถึงแม้ลู่เสี่ยวหมี่จะคิดวิธีรับมือได้แล้ว แต่ภัยพิบัติที่มาถึงอย่างกะทันหันก็ทำให้นางก็หวั่นใจไม่น้อย
ยามนี้เห็นเฝิงเจี่ยนยืนรออยู่ ร่างสูงไหล่กว้างผึ่งผาย สีหน้าสงบนิ่ง คล้ายขุนเขาที่มั่นคง พร้อมช่วยนางแบ่งเบาภาระทุกอย่าง
ไม่รู้เพราะเหตุใดหัวใจของลู่เสี่ยวหมี่ถึงได้เต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง นางสูดลมหายใจเข้าลึก กล่าวว่า “ข้า้าผ้าห่มหรือเสื้อคลุมหรืออะไรก็ได้ที่สามารถป้องกันความเย็นได้ มุ้งฟางไม่สามารถหยุดความหนาวเย็นกะทันหันจากหิมะตกหนักได้ เราต้องใช้ของที่หนากว่าอุ่นกว่า”
เฝิงเจี่ยนพยักหน้า กวาดสายตามองผู้เฒ่าหยาง เขารีบหมุนกายกลับเข้าไปเอาผ้าห่มเครื่องนอนของคนทั้งสองออกมา
เสี่ยวหมี่อ้าปากเตรียมจะปฏิเสธ แต่ผ้าห่มเครื่องนอนของพวกนางรวมกันแล้วมากที่สุดก็มีแค่ห้าชุด อย่างมากก็คลุมเพิงได้แค่สองแถวเท่านั้น
ยามนี้มีคนช่วยยิ่งเยอะยิ่งดี
เชิงอรรถ
[1] บิดา(老子)เป็สรรพนามเรียกแทนตัวเองที่ไม่ค่อยสุภาพนักของบุรุษสูงอายุ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้