หลงเซี่ยวอวี่รับเทียบยาซึ่งเป็กระดาษหนาๆ มาปึกหนึ่ง ก็คิดว่าต้องเป็ส่วนผสมของตัวยาจำนวนมาก
แต่ดูตัวอักษรพวกนี้สิ นี่เป็ตัวอักษรที่สตรีผู้นี้เขียนออกมาอย่างนั้นหรือ ทั้งโย้เย้ทั้งอัปลักษณ์ ต่อให้เพิ่งร่ำเรียนการเขียนอักษรมาก็มิได้เขียนอัปลักษณ์ถึงปานนี้ อเนจอนาถจนทนดูต่อไปไม่ไหวจริงๆ
ทั้งๆ ที่มีตัวยาเพียงไม่กี่ชนิด กลับเขียนใส่กระดาษมาเป็ปึก ใบหน้าอันเย็นเยียบฉายแววรังเกียจขึ้นมา!
มู่จื่อหลิงมองการแสดงออกบนใบหน้าของหลงเซี่ยวอวี่ รู้ว่าเขากำลังรังเกียจตัวอักษรของนางจึงอดที่จะกลอกตาไม่ได้ นางมิได้อยากเขียนออกมาให้เป็เช่นนี้เสียหน่อย
นางมิเคยเรียนการใช้พู่กัน ปลายพู่กันอ่อนนัก เขียนยากเสียจริง
ถ้าเป็ปากกาปลายแข็งละก็ต้องโดดเด่นเสียจนทิ่มแทงดวงตาของคนทั้งหมดแน่ ลายมือของนางที่มาจากการใช้ปากกาปลายแข็งนั้นน่ามองนัก ดูท่าต่อไปต้องเตรียมดินสอถ่านเอาไว้เสียแล้ว จะได้ไม่ถูกหัวเราะเยาะอีก
เวลานี้เองก็มีสาวใช้ผู้หนึ่งเดินเข้ามา “คารวะฉีอ๋อง หวางเฟย องค์ชายหก”
“มีอันใด?” หลงเซี่ยวอวี่มิได้มองผู้มาใหม่ แต่จ้องเทียบยาในมือ ถามอย่างเ็า
“ทูลท่านอ๋อง หวางเฟย ไทเฮาเชิญหวางเฟยไปร่วมงานเลี้ยงในวังหลวงเย็นวันนี้เพคะ” สาวใช้กล่าวอย่างนอบน้อม
ได้ยินถึงตรงนี้ มู่จื่อหลิงก็ใจนสะดุ้ง ในที่สุดสิ่งที่ควรมาก็มาถึงแล้ว
ั้แ่ที่มอบผ้าพรหมจรรย์ไปในวันนั้น ในวังหลวงก็มิได้มีการเคลื่อนไหวอันใดมาโดยตลอด
นางยังสงสัยนักว่าเหตุใดไทเฮาถึงได้นิ่งสงบเช่นนี้ ที่แท้นางยังมีแผนในภายหลัง นั่นก็คือการรองานเลี้ยงในวังนี่อย่างไรเล่า
งานเลี้ยงในวังหลวงนั้นคนมาก ไทเฮาต้องอาศัยสตรีกลุ่มหนึ่งมาทำให้นางขายหน้า ทำให้จวนฉีอ๋องเผชิญความอับอายเป็แน่
การต่อสู้แย่งชิงในหมู่สตรีช่างน่าเบื่อจริงๆ แต่อย่างไรเสียนางก็แต่งเข้ามาสองสามวันแล้ว ควรไปพบพ่อแม่สามีเสียที
“หากท่านอ๋องไม่มีสิ่งใดแล้ว หม่อมฉันขอทูลลาไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เตรียมเข้าร่วมงานเลี้ยงที่วังหลวงก่อนนะเพคะ” มู่จื่อหลิงเห็นท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว อาภรณ์ที่ยุ่งเหยิงก็ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวเลยจริงๆ
อีกอย่างมิอาจรั้งรออยู่ต่อไปได้แล้ว ประเดี๋ยวสายขึ้นมา ไม่แน่ว่าไทเฮาผู้นั้นอาจใช้เื่นี้มากลั่นแกล้งนางเอาได้ ล้วนกล่าวว่าอยู่ใกล้กษัตริย์ดั่งอยู่เคียงเสือ ระมัดระวังตัวไว้ย่อมเป็การดีกว่า
หลงเซี่ยวอวี่มิได้มองนาง และมิได้กล่าววาจาใด เพียงพยักหน้าอนุญาตเท่านั้น
หลังจากมู่จื่อหลิงจากไป หลงเซี่ยวเจ๋อก็อยากย่องติดตามไปด้วยเช่นกัน!
ทว่าหลงเซี่ยวอวี่กลับมองเขาอย่างเ็า ทำอย่างไรเขาก็ก้าวขาไม่ออก เขาถูกมองเสียจนใจสั่นสะท้าน
ยืนข้างพี่สามเมื่อครู่ก็ทำให้เขารู้สึกไม่ใคร่สบายเนื้อสบายตัวนัก ถ้ารู้เช่นนี้เขาคงอาศัย่เวลาที่คนยังอยู่ครบแอบย่องออกไปแล้ว
เขารู้ว่าหลงเซี่ยวอวี่มองเขาด้วยเหตุใด ทว่าเขาไม่กล้าพอที่จะเอ่ยปากขึ้นมาก่อน
“ครานี้อยากไปอยู่ที่อวี่กงกี่วัน?” หลงเซี่ยวอวี่เอ่ยขึ้น น้ำเสียงราบเรียบ ทว่าราวกับกำลังตักเตือนหลงเซี่ยวเจ๋อว่า หากยังไม่กล่าววาจาออกมา ผลลัพธ์อาจจะหนักหนาสาหัสกว่าเดิม
ทั้งๆ ที่เป็น้ำเสียงที่เรียบเฉย ทั้งๆ ที่มีเพียงไม่กี่คำ หลงเซี่ยวเจ๋อกลับรู้สึกเหมือนกำลังได้รับการทรมานจิตใจอยู่จนต้องกัดฟันไว้
ท้ายที่สุดเขาก็สารภาพออกมาตามจริง!
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากได้พบกับมู่จื่อหลิงทั้งหมด ั้แ่บังเอิญพบกันระหว่างทาง กินข้าวที่หอสุรา พบเถ้าแก่หอสุรา ช่วยชีวิตคนริมแม่น้ำอย่างไร แม้แต่บทสนทนาของตนและมู่จื่อหลิง ล้วนถูกเล่าออกมาอย่างหมดเปลือกโดยไม่ตกหล่นไปแม้แต่ประโยคเดียว
ยกเว้นเื่ที่มู่จื่อหลิงให้เขารับปากว่าจะไม่พูดว่านาง้าซื้อร้านค้า และเื่ที่นางจูงมือเขา เื่อื่นล้วนถ่ายทอดออกไปทั้งสิ้น
เล่าจบก็ก่นด่าตนเองเงียบๆ ว่าไม่เด็ดเดี่ยวเอาเสียเลย แต่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพี่สาม เขาก็ไม่รู้มาตั้งนานแล้วว่าความเด็ดเดี่ยวคือสิ่งใด
เพียงครู่เดียวก็ขายมู่จื่อหลิงจนหมดสิ้น พี่สะใภ้สาม ต้องขออภัยด้วย เื่ที่ข้ารับปากกับท่าน ตีข้าให้ตายก็ไม่มีทางพูด
ทว่าเื่อื่นนั้น ท่านมิได้บอกว่ามิให้ข้าพูด ข้าเองก็มิได้รับปาก เช่นนั้นก็อย่าได้โทษข้าเลย อวี่กงช่างน่ากลัวยิ่งนัก ข้าไม่ปรารถนาที่จะไปอีกแล้ว
หลังจากที่สารภาพจนหมดเปลือก หลงเซี่ยวเจ๋อก็ลอบมองหลงเซี่ยวอวี่ สีหน้าของหลงเซี่ยวอวี่จะยังคงนิ่งสงบ ไม่ปรากฏคลื่นอารมณ์แต่อย่างใด ราวกับหาได้ฟังวาจาที่เขากล่าวไปแม้แต่น้อยไม่
แต่เขารู้สึกว่าถูกกดดันเสียจนจะหายใจไม่ออกอยู่รอมร่อ อาศัยตอนที่อารมณ์พี่สามยังไม่คุกรุ่นเผ่นก่อนดีกว่า!
หากต้องไปอยู่ที่อวี่กงอีกสองสามวัน เขาก็มิกล้ารับรองว่าตนเองจะเสียสติหรือไม่
หลงเซี่ยวเจ๋อจึงกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “พี่สาม งานเลี้ยงที่วังหลวงในเย็นวันนี้ ข้าเองก็ต้องไปด้วย ดังนั้นข้าขอตัวก่อน”
กล่าวจบก็ปลุกระดมความกล้าหาญ วิ่งหนีไปโดยไม่เห็นแม้แต่เงาราวกับควันสายหนึ่ง
หลังจากเห็นหลงเซี่ยวเจ๋อจากไป สีหน้าของหลงเซี่ยวอวี่ก็ยังสงบราบเรียบดังเดิม เขาเดินออกจากประตู ั์ตาที่ล้ำลึกราวมหาสมุทรฉายแววใคร่ครวญขณะมองไปยังทิศทางของตำหนักอวี่หาน
เขารู้ว่ามู่จื่อหลิงมีความลับ แต่มิได้คาดว่าความลับของนางจะทำให้เขาตกตะลึงมากขึ้นเรื่อยๆ แรกเริ่มตอนที่มู่จื่อหลิง้าถอนพิษให้กุ่ยหยิ่งเขาเองก็ยังมีข้อกังขาอยู่เล็กน้อย
ทว่าพอเห็นท่าทางสุขุมเยือกเย็นและการลงมืออย่างชำนิชำนาญแล้ว กลับพบว่าไม่มีส่วนใดที่คล้ายผู้ที่ไม่มีความรู้ทางการแพทย์เลย ทั้งยังเหมือนผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง ไม่เหมือนสตรีในห้องหอผู้โง่งมเลยแม้แต่น้อย
เขานั้นไม่เข้าใจวิชาแพทย์จึงมองไม่ออกว่าที่มู่จื่อหลิงฝังเข็มให้กุ่ยหยิ่งนั้นหมายถึงสิ่งใด คิดเพียงว่าเป็วิธีขจัดพิษทั่วไป
แต่เล่อเทียนล้วนพูดว่านางมิธรรมดา ต้องมองออกแน่ว่าวิชาแพทย์ของนางนั้นมิสามัญ
อาจารย์ผู้ลึกลับที่นางพูดถึงเป็ผู้ใดกัน? ถึงได้หลบหลีกสายตาของผู้คนทั้งใต้หล้าได้ แล้วสอนวิชาแพทย์ให้นางได้อย่างเทพเซียนไม่รับรู้ ผีไม่รับทราบ [1]
แม้แต่ช่วยคนตกน้ำ ก็ยังทำเื่พิลึกพิลั่นได้ แม้จะมิได้เห็นกับตาตนเอง เขายังคงจินตนาการออก พอคิดมาถึงตรงนี้ั์ตาเขาก็ทอประกายโทสะ ที่แม้แต่ตนเองก็ยังมิทันรู้ตัว
ไม่แบ่งชายหญิง? ผายปอด?
มู่จื่อหลิง เ้ามีความลับมากน้อยเพียงใด ซ่อนไว้ลึกเท่าใด เปิ่นหวางนั้นมิสนใจ
และมิใส่ใจด้วยว่าเ้าเป็คนเช่นใด เป็คนของผู้ใด แต่หากทำให้เปิ่นหวางพบว่าเ้าเข้าใกล้เปิ่นหวางอย่างมีจุดประสงค์บางอย่าง เปิ่นหวางก็จะลงมือโดยไร้ความปรานี
เมื่อกลับมาถึงตำหนักอวี่หาน หลังจากมู่จื่อหลิงอาบน้ำ เสี่ยวหานก็เข้ามาปรนนิบัติช่วยนางประทินโฉม
“เสี่ยวหานแต่งบางๆ แล้วเลือกเครื่องประดับล้ำค่ามาเสียสองสามชิ้น” มู่จื่อหลิงกำชับเสี่ยวหาน
นางไม่อยากแต่งจนเหมือนปีศาจที่แป้งหลุดร่วงระหว่างทางเดิน
เครื่องประดับนางก็มิอยากสวมมากนัก ทว่าเวลานี้เมื่อออกจากเรือนก็กลายเป็หน้าตาของจวนฉีอ๋อง มิอาจทำให้ฉีอ๋องขายขี้หน้า จึงได้แต่เลือกชิ้นที่ล้ำค่าที่สุดมาสวมใส่สักสองสามชิ้น
“นายน้อย เมื่อก่อนน้อยครั้งนักที่บ่าวผละไปจากข้างกายนายน้อย เหตุใดจึงมิรู้ว่าท่านไปกราบไหว้อาจารย์มาเมื่อใด” เสี่ยวหานกล่าวไปสางผมไป ในที่สุดก็เอ่ยถามข้อสงสัยออกมา
---------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] เทพเซียนไม่รับรู้ผีไม่รับทราบ ลึกลับเสียจนไม่มีใครรู้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้