พวกเขาสองพี่น้องสนทนากันอย่างครึกครื้น ผู้เฒ่าหยางกลับแทรกขึ้นมาว่า “แม่นางลู่ ให้คุณชายรองเข้าเมืองไปพร้อมท่านเถอะ ข้าผู้ชราแก่แล้วไม่อยากเคลื่อนไหวนัก ข้าจะเป็คนเฝ้าเลื่อนให้เอง”
ลู่เสี่ยวหมี่ลังเลเล็กน้อย แต่ก็ไม่คัดค้านอะไร ส่วนลู่อู่นั้นเมื่อได้ยินว่าจะได้เข้าเมืองก็ตื่นเต้นมาก
จ่ายค่าเข้าเมืองไปทั้งสิ้นยี่สิบเหรียญทองแดง ในที่สุดพี่น้องสกุลลู่ก็ได้เข้าเมือง
ลู่อู่เป็คนไม่สำรวม เขาสนใจสิ่งเร้ารอบกายไปเสียหมด จึงทำให้ค่อนข้างจะเสียเวลา ลู่เสี่ยวหมี่จึงต้องคอยดึงชายเสื้อเขาบ่อยๆ
“พี่รอง บนถนนค้าขายสายนั้นมีโรงเตี๊ยมใหญ่ๆ หลายแห่ง ทั้งยังมีโรงน้ำชาอันครึกครื้น ได้ยินมาว่าขบวนพ่อค้าที่มาจากทางใต้ชอบไปรวมตัวกันอยู่ที่นั่น พวกเราเข้าไปถามให้ครบทุกร้าน หากได้พบกับพ่อค้าผู้ร่ำรวยเข้า สินค้าของเราจะต้องขายได้ราคาดีกว่าขายให้พ่อค้าทำหนังเป็แน่”
“ได้ เช่นนั้นไปถนนค้าขายกันเถิด”
เมืองอันโจวจะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก เนื่องจากตั้งอยู่ทางทิศเหนือของแผ่นดินต้าหยวน แต่ละปีเมืองทั้งเมืองจึงอยู่ในสภาพหนาวเหน็บไปแล้วครึ่งปี พืชพันธุ์ที่เก็บเกี่ยวได้เพียงพอให้ชาวเมืองอันโจวพออิ่มท้องอย่างอัตคัด ราชสำนักก็ไม่ได้เรียกร้องเก็บส่วยจากที่นี่ แต่ที่นี่ขึ้นชื่อเื่เสื้อคลุมหนังสัตว์ขนสัตว์ จึงพอจะเก็บส่วยจากสิ่งนี้ได้บ้าง
โรงเตี๊ยมที่ลู่เสี่ยวหมี่เลือกล้วนเป็โรงเตี๊ยมที่บรรดาพ่อค้าหนังสัตว์มักจะมารวมตัวกัน ยามนี้หิมะปกคลุมไปทั้งเมือง คนจากไปห้องหอร้างรา เริ่มเข้าสู่่ซบเซาจึงดูเหงาหงอยไปบ้าง
จู่ๆ ก็มีแขกเข้ามาในร้าน บรรดาผู้ดูแลร้านต่างพากันดึงความกระปรี้กระเปร่าออกมาต้อนรับ
น่าเสียดาย ลู่เสี่ยวหมี่เพียงเข้ามาสอบถามเล็กน้อย จึงทำให้พวกเขาผิดหวังไปตามๆ กัน
ดีที่ลู่เสี่ยวหมี่เองก็ไม่ใช่คนตระหนี่ นางยัดเงินแปดเหรียญทองแดงสิบเหรียญทองแดงเป็ค่าผ่านทางจึงนับว่าราบรื่นไม่น้อย
เพียงแต่เดินผ่านมาหลายร้านก็ยังไม่พบเป้าหมายเสียที
จนเมื่อมาถึงโรงน้ำชาแห่งสุดท้าย ในที่สุดโอกาสก็มาถึง
ลู่เสี่ยวหมี่ยังคงยัดเงินเป็ค่าเบิกทางให้ผู้ดูแลร้านเช่นเดิม ยังไม่ทันเอ่ยปากถาม ก็ได้ยินลูกค้าของร้านคนหนึ่งที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างสนทนากับสหายว่า
“พี่จ้าว ถึงแม้การมาครั้งนี้ข้าไม่อาจหาหนังชั้นดีกลับไปได้ แต่ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากท่านเช่นนี้ ข้าซาบซึ้งน้ำใจยิ่งนัก”
สหายคนนั้นรีบพูดขึ้นว่า “น้องหวังอย่าได้เกรงใจ ปีหน้ามาให้เร็วหน่อยเป็ใช้ได้ ถึงตอนนั้นข้าจะช่วยเป็หูเป็ตาให้อีกแรง วางใจเถอะ”
ลู่เสี่ยวหมี่ได้ยินเช่นนั้นดวงตาพลันเป็ประกาย ไม่มีเวลาสนทนากับผู้ดูแลร้านอีกต่อไป นางสาวเท้าเร็วๆ ไปทางพวกเขาทันที แย้มยิ้มถามว่า “ท่านอาผู้นี้อยากซื้อหาหนังชั้นดีกระมัง บังเอิญบ้านข้าเพิ่งล่าเสือและหมีดำมาได้ ไม่ทราบว่าท่านอาอยากลองไปชมดูหรือไม่?”
คนทั้งสองได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมอง เมื่อเห็นว่าเป็แม่นางน้อยคนหนึ่ง จึงเก็บความโกรธที่ถูกขัดจังหวะลงไป พ่อค้าแซ่หวังคนนั้นเอ่ยขึ้นเรียบๆ “แม่นางน้อย หนังสัตว์ที่ข้าหานั้นจะใช้สำหรับเป็ของขวัญ ไม่อาจรับหนังสัตว์ข้ามปีได้”
“ท่านอาวางใจ บ้านข้าเพิ่งล่าเสือและหมีดำได้เมื่อวานนี้ ลากเข้าเมืองมาทั้งตัว ยังไม่ได้ลงมีดแม้เพียงนิด สดใหม่อย่างยิ่ง”
ลู่เสี่ยวหมี่ยิ้มอย่างเจิดจ้า วาจานี้ทำให้พ่อค้าคนนั้นตื่นเต้นจนผุดลุกขึ้น “จริงหรือ?”
ประโยคนี้เขาถามลู่เสี่ยวหมี่ แต่สายตากลับไพล่ไปมองลู่อู่ อย่างไรเสียเทียบกับแม่นางน้อยคนหนึ่งแล้ว เขาคิดว่าหนุ่มน้อยที่ดูมีอายุกว่าอย่างชัดเจนผู้นั้นน่าเชื่อถือมากกว่า
ลู่อู่พยักหน้า รีบยืนยันคำของน้องสาว “เหยื่อที่ล่ามาได้วางอยู่นอกเมืองทางประตูทิศใต้ หากไม่เชื่อท่านไปดูก่อนก็ได้”
“แหม ยอดเยี่ยมยิ่งนัก”
เถ้าแก่หวังคนนั้นประสานมืออย่างตื่นเต้น “ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลาเลย [1] วันนี้ข้าดวงดีจริงๆ วางใจเถิด หากเหยื่อที่ว่านั่นดีพอ ข้าย่อมไม่ตระหนี่แน่นอน”
สหายแซ่จ้าวคนนั้นก็ยินดีไปกับเขาด้วย “รีบไปดูเร็วเข้าเถอะ หากช้าระวังจะถูกคน่ชิงไปเสียก่อน”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว”
พ่อค้าแซ่หวังทิ้งเงินไว้บนโต๊ะ แล้วเร่งรัดให้เสี่ยวหมี่นำทางไปเร็วๆ
เหมือนดังที่คนเก่าคนแก่ในหมู่บ้านว่าไว้ วันที่ท้องฟ้าสดใสเห็นจะมีอยู่เพียงสามวันเท่านั้น ยามนี้ยังไม่เที่ยงแต่ขอบฟ้ากลับมีเมฆครึ้มมาแล้ว เห็นเค้าลางว่าพายุหิมะจะพัดถล่มมาในไม่ช้า
คณะของลู่เสี่ยวหมี่ในที่สุดก็มาถึง ผู้เฒ่าหยางชะเง้อชะแง้มองมา เมื่อเห็นว่าพวกนางเดินออกมาแล้วเขาก็ยิ้มกว้าง
“ฟ้าตั้งเค้าจะมืดแล้ว ข้ายังกังวลว่าพวกเ้าจะเจออุปสรรคอันใดในเมืองหรือไม่”
ลู่เสี่ยวหมี่ไม่มีเวลาอธิบาย บอกลู่อู่ให้เอาเสื่อที่คลุมทับอยู่บนเลื่อนออก พวกนางตั้งใจคลุมไว้แบบนี้ั้แ่ออกจากบ้าน หนึ่งเพราะไม่อยากเป็ที่สะดุดตาคนผ่านไปมา สองเพื่อป้องกันไม่ให้พวกทหารปลายแถวที่หน้าประตูเมืองคิดร้ายอะไรขึ้นมาอีก
ยามนี้จู่ๆ เปิดออกมา เสือขนสีสวยลวดลายงดงาม กับหมีดำที่ยังมีศรปักอยู่ที่ขนสีขาวกลางหน้าอกก็ปรากฏสู่สายตา
ยามนี้พระอาทิตย์ยังไม่เจิดจ้า แต่ก็ยังพอจะแบ่งประกายแสงให้กับขนอันเงางามของสัตว์ป่าสองตัวนี้ ทำให้ผู้พบเห็นอดทอดถอนใจไม่ได้
ตามปกติผู้ซื้อมักจะติสินค้าให้แย่กว่าปกติเพื่อจะกดราคา แต่ของดีเช่นนี้ ทำให้เถ้าแก่หวังไม่อาจพูดอะไรที่ไม่ตรงกับใจออกมาได้แม้แต่คำเดียว
อีกทั้งรอบข้างเริ่มมีคนเมียงมองมาแล้ว หลายคนเตรียมหยุดรถ เขาเองก็กลัวจะถูกแย่งของ จึงรีบร้อนแย่งเสื่อไปคลุมเลื่อนเองอย่างลนลาน เสร็จแล้วก็กวาดตามองคนสกุลลู่ไปทีหนึ่ง สุดท้ายก็เลือกต่อรองราคากับลู่เสี่ยวหมี่ ซึ่งถือเป็การตัดสินใจที่แม่นยำและชาญฉลาด
“แม่นางลู่ พูดตามตรง เหยื่อสองตัวนี้ล้วนเป็ของดี ข้าต้องซื้อมันอย่างแน่นอน สำหรับเื่ราคา ราคาตามท้องตลาดโดยทั่วไป หนังเสือชั้นดีขายอยู่ที่แปดสิบตำลึง หนังหมีดำหกสิบตำลึง ข้าเติมให้อีกหน่อยให้ครบหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึงเป็อย่างไร?”
ก่อนหน้านี้ลู่อู่เคยเข้าเมืองมาขายหนังมาก่อน ราคาที่ได้ยินนั้นแพงกว่าการขายหนังสัตว์ให้ร้านค้าหนังมากนัก จึงเตรียมจะตกปากรับคำ
คิดไม่ถึงลู่เสี่ยวหมี่จะเปลี่ยนสีหน้าทันที ตอบอย่างไม่พอใจหน่อยๆ ว่า “ท่านอาท่านนี้ หากรู้มาก่อนว่าท่านไม่ซื่อสัตย์ถึงเพียงนี้ ข้าก็คงไม่พาท่านมาแล้ว ยังไม่ต้องพูดว่า่เวลานี้การจะหาสัตว์ป่าที่ล่าได้นั้นยากเย็นเพียงใด แต่เสือและหมีดำที่ถูกขนมาอยู่ต่อหน้าท่านตรงนี้ไม่ใช่เพียงหนังสองผืนเท่านั้น นอกจากหนังเสือแล้วยังมีเนื้อเสือกระดูกเสือ มีส่วนไหนบ้างที่ไม่ใช่ของดี? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าหมีดำยังมีอุ้งตีนถึงสองคู่ ดีหมีอีกหนึ่งคู่ หากท่านไม่ซื้อก็รีบจากไปเสียเถอะ เราจะไปหาคนอื่นแทน”
พูดพลางหันไปดึงเสื่อที่คลุมไว้ออก “ทุกท่านเร่เข้ามาเร็ว เสือและหมีดำสองตัวนี้เพิ่งล่ามาได้ มีทั้งเนื้อทั้งกระดูกครบถ้วน ของดีเช่นนี้ เหมาะจะมอบเป็ของขวัญ...”
ดังคำกล่าวที่ว่า ไม่เ้าเล่ห์มิใช่พ่อค้า การเอารัดเอาเปรียบเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้คล้ายว่าจะเป็ความสามารถโดยกำเนิดของบรรดาพ่อค้า พ่อค้าแซ่หวังคิดไม่ถึงว่าลู่เสี่ยวหมี่จะเด็ดขาดเช่นนี้ เขาใแทบตายรีบเข้าไปยื้อแย่งเสื่อฟาง กลัวว่าของดีเหล่านี้จะถูกคนแย่งเอาไป
สหายของเขาคนนั้นเองก็เป็คนรู้งาน รีบเอ่ยปากคลี่คลายสถานการณ์
“แหม พี่หวัง ข้ารู้ว่าท่านเดินทางมาครั้งนี้ยังนำเงินติดตัวมาไม่มากพอ แต่เมื่อได้พบของดีเช่นนี้แล้วจะพลาดไปได้อย่างไร เอาเช่นนี้แล้วกัน ข้าช่วยท่านออกเงินแทนไปก่อนเป็อย่างไร”
พูดจบ ก็หันไปหาลู่เสี่ยวหมี่ หัวเราะปลอบโยนแม่นางน้อย “แม่นางลู่ พวกเ้าเองก็เดินทางมาไกล หากยังต้องหาผู้ซื้อคนอื่นก็คงจะเสียเวลาอีกไม่น้อย สหายข้าคนนี้มีใจอยากจะซื้อของของเ้าจริงๆ เรามาต่อรองกันใหม่ดีหรือไม่”
ลู่เสี่ยวหมี่ย่อมต้องยึดเอาประโยชน์ของตนเป็ที่ตั้ง นางเก็บมือที่แดงก่ำเพราะถูกอากาศหนาวกัดเข้าไปในแขนเสื้อ เบะปากน้อยๆ กล่าวว่า “เช่นนั้นท่านอาก็ลองเสนอราคาที่จริงใจออกมาใหม่เถอะ หากยังคิดว่าพวกเราจะถูกหลอกได้ง่ายๆ อีก พวกเราก็จะส่งของไปขายที่ร้านค้าหนังแทนแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ พ่อค้าแซ่หวังก็เก็บใจที่คิดจะเอารัดเอาเปรียบของตนกลับไปทันที หากว่าส่งสัตว์สองตัวนี้ไปที่ร้านค้าหนัง หากว่าเขาจะซื้อกลับมาอีกครั้งเกรงว่าราคาคงจะแพงกว่าเป็หลายเท่า ยิ่งไปกว่านั้นที่ได้ก็จะมีแค่หนังผืนเดียว...
“เช่นนั้นก็ได้ แม่นางลู่ ก่อนหน้านี้เป็ข้าร้อนใจไปเอง เช่นนี้ก็แล้วกัน เสือตัวนี้ข้าให้ราคาร้อยยี่สิบตำลึง หมีดำตัวนี้หนึ่งร้อยตำลึง รวมเป็สองร้อยยี่สิบตำลึง เ้าเห็นเป็เช่นไร?”
พูดจบ เขาคล้ายว่าจะกลัวลู่เสี่ยวหมี่จะรังเกียจว่าราคาต่ำไปอีก จึงรีบสำทับว่า “ตอนที่ข้าเดินทางมาจากทางใต้ได้นำผ้าฝ้ายมาด้วย ยังเหลืออยู่อีกห้าหกพับ หากว่าแม่นางลู่ไม่รังเกียจ ข้าจะยกให้เ้า”
ลู่เสี่ยวหมี่ได้ยินแล้วดวงตาเป็ประกาย ราคานี้แพงกว่าที่นางคาดไว้เสียอีก อย่างไรเสียถ้าส่งไปขายที่ร้านค้าหนังก็คงถูกเอาเปรียบอยู่ดี อีกทั้งอีกฝ่ายยังเพิ่มผ้าฝ้ายในนางอีกหลายพับ ถึงจะบอกว่าไม่เยอะ แต่ถ้าซื้อเองก็ยังต้องจ่ายเงินถึงสองตำลึง
“เช่นนั้นก็ได้ หากเย็นไปกว่านี้เกรงว่าหิมะจะตก พวกเราเองก็ต้องรีบกลับ สัตว์สองตัวนี้ก็ขายให้ท่านอาแล้วกัน”
“ดียิ่งนัก แม่นางตัดสินใจรวดเร็วดี ไป พวกเรารีบเข้าเมืองกันเถอะ”
ครั้งนี้เถ้าแก่หวังไม่ตระหนี่อีกต่อไป กระทั่งภาษีเข้าเมืองเขาก็ยังควักกระเป๋าตัวเองจ่ายให้
เดิมทีทหารที่เฝ้าประตูเมืองยังคิดจะเลิกเสื่อฟางออกดู ดูสิว่าพอจะหาประโยชน์จากสิ่งนี้ได้บ้างหรือไม่ ดีที่สหายแซ่จ้าวคนนั้นพอจะมีคนหนุนหลังอยู่บ้าง จึงบอกชื่อของท่านเ้าเมืองออกไป บรรดาทหารพวกนั้นจึงรีบเก็บเขี้ยวเล็บของตนกลับทันที
เพียงไม่นานคณะของพวกเขาก็มาถึงโรงเตี๊ยมที่เถ้าแก่หวังพักอยู่ ตอนที่ยกสัตว์สองตัวนั้นลงมา หลงจู๊ก็เห็นกวางแดง กระต่ายหิมะและไก่ป่าที่อยู่บนเลื่อนเข้าพอดี หลังจากตกลงราคากันแล้วจึงเหมาซื้อไปจนหมด เลื่อนนั้นเหลือเพียงความว่างเปล่า
ในทางกลับกันกระเป๋าเงินของลู่เสี่ยวหมี่กลับพองโตอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน นางกลัวว่าจะทำหล่นหาย ตั๋วเงินที่ได้รับมาจากหลงจู๊ที่โรงเตี๊ยมนางพับเก็บอย่างดีแล้วใส่ไว้ในผ้าเช็ดหน้า จากนั้นก็ยัดเข้าไปในอกเสื้อของลู่อู่พลางกำชับกำชาครั้งแล้วครั้งเล่า
ส่วนเศษเงินสิบกว่าตำลึงที่หลงจู๊ให้มาก็พอดีเอาไปใช้ซื้อข้าวของ ผู้เฒ่าหยางยินดีจะรั้งอยู่ในตรอกเฝ้าเลื่อนและผ้าฝ้ายหลายพับที่เถ้าแก่หวังให้มา ส่วนลู่เสี่ยวหมี่ใช้แรงงานลู่อู่ให้ติดตามนางไปซื้อของ
รายการสิ่งของที่เขียนเสร็จั้แ่เมื่อวาน ยามนี้ได้โอกาสหยิบออกมาเผชิญลมภายนอก สองพี่น้องพุ่งไปตามร้านรวงต่างๆ อย่าง ‘ดุดัน’
เดิมทีเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว หากเป็ในเมืองยังนับว่าดี ยังมีคนเดินไปเดินมา แต่หากเป็หมู่บ้านอื่นๆ นอกเมือง ผู้คนคงได้แต่ซุกตัวอยู่ในบ้านเพื่อหาความอบอุ่น ต่อให้ฟ้าถล่มก็คงไม่โผล่หน้าออกมา ดังนั้น ่ต้นฤดูหนาวจึงเป็่ที่ร้านรวงต่างๆ มียอดขายดีที่สุด อย่างไรเสียแต่ละบ้านก็จำเป็ต้องซื้อหาข้าวของให้เพียงพอสำหรับใช้ชีวิตให้ผ่านพ้น่ฤดูหนาวนี้ไปให้ได้
ทว่าท่าทางดุดันของลู่เสี่ยวหมี่ก็ยังทำให้บรรดาพ่อค้าแม่ค้าตกอกใไม่ได้ ข้าวสารชั้นดีหนึ่งจินหกสิบอีแปะ ราคาพอๆ กับเนื้อหมูสองจินเลยทีเดียว แต่ลู่เสี่ยวหมี่กลับซื้อถึงหนึ่งร้อยจิน กระทั่งข้าวเหนียวก็ยังซื้อไปมากถึงยี่สิบจิน แป้งทำเส้นสดอีกร้อยจิน น้ำมันพืชอีกห้าสิบจิน น้ำมันตะเกียงสิบจิน เกลือละเอียดสิบจิน ทั้งยังซื้อเครื่องปรุงรสไปทุกอย่างอย่างละหนึ่ง น้ำส้มสายชูและซีอิ๊วก็ซื้อไปอย่างละไห แม้แต่น้ำตาลทรายขาวที่ราคาแพงก็ยังซื้อไปด้วยถึงสองจิน นอกจากนี้ยังซื้อพวกหม้อดินเผา กระทะ ถ้วยชาม กะละมังไปอีกต่างหาก
จนสุดท้ายแม้แต่เ้าของร้านเองก็ยังรู้เขินอายเล็กน้อย จึงแถมถ่านและถู่โต้ว [2] ให้โดยที่นางไม่ต้องร้องขอ
“แม่นางท่านนี้ ไข่ดิน [3] พวกนี้เ้าลองเอาไปทานดู สดอร่อยยิ่งขอรับ”
สุดท้ายลู่เสี่ยวหมี่ไม่มองถ่านนั่นแม้แต่น้อย แต่กลับจับก้อนกลมๆ พวกนั้นไว้ไม่ยอมปล่อยมือ สำหรับนางแล้ว การได้พบกับของสิ่งนี้นับว่าโชคดีราวกับมีเนื้อชิ้นโตร่วงลงมาจากฟ้า
คนอื่นไม่รู้ว่านางคุ้นเคยกับเ้าก้อนกลมพวกนี้เป็ที่สุด นี่มันไข่ดินที่ไหนกันเล่า ในชาติก่อนนี่คือผักที่ทุกคนกินกันเป็ปกติที่สุด หม่าหลิงซู่ [4] หรือเรียกง่ายๆ ว่า มันฝรั่งนั่นเอง
เชิงอรรถ
[1] ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลาเลย(踏破铁鞋无觅处,得来全不费工夫啊)เปรียบเทียบว่าตอนพยายามหาหาแทบตายก็ไม่เจอ แต่บทจะเจอก็ง่ายดาย
[2] ถู่โต้ว(土豆)หมายถึงมันฝรั่ง
[3] ไข่ดิน(地蛋)ภาษาท้องถิ่นหมายถึงมันฝรั่ง
[4] หม่าหลิงซู่(马铃薯)อีกชื่อหนึ่งของมันฝรั่ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้