แต่ได้ยินลู่เชียนบอกว่า ขอแค่ส่งเด็กในร้านที่เฉลียวฉลาดสักหน่อยลงไปเมืองทางใต้ เอาตำรับอาหารนี้ไปขายให้ร้านน้ำชาหรือเพิงขายของกินเล่น คิดราคาแค่สองตำลึงก็พอ
เขาตัดสินใจรวบรวมความกล้าลองไปตามนั้น คิดไม่ถึงว่าจะได้เงินกลับมาถึงร้อยกว่าตำลึง หักค่าเดินทางค่าอาหารทั้งหลายของเด็กในร้านที่เดินทางไปแล้ว ที่เหลือครึ่งหนึ่งก็แบ่งให้ลู่เชียนห้าสิบตำลึง
หากไม่ใช่เพราะลู่เชียนต้องอยู่ในสำนักศึกษาเดินทางไม่สะดวก และไม่สามารถออกไปทำการค้าโต้งๆ ได้เนื่องจากเป็ซิ่วไฉ เกรงว่าคงไม่มาแบ่งลาภกับเขาเช่นนี้หรอก
“สิ่งนี้ก็แค่ของกินเล่นที่คนที่บ้านคิดขึ้นมา วันหน้าหากว่ายังมีอีก แน่นอนว่าต้องมารบกวนเถ้าแก่ลั่วอีกแน่นอน”
ลู่เชียนไม่อยากให้มีข่าวลือออกไปว่าน้องสาวของเขาเห็นแก่กิน จึงไม่ได้ลงรายละเอียด เถ้าแก่ลั่วอยากถามตำรับน้ำแกงบะหมี่ของลู่เชียน ก่อนหน้านี้ที่ห้องครัวของเขาช่วยอุ่นให้ลู่เชียน เขาลองชิมไปคำหนึ่ง รสชาติดียิ่งนัก หากซื้อตำรับอาหารชนิดนี้มาได้ แล้วเปิดร้านบะหมี่ก็คงได้กำไรดีไม่น้อย
น่าเสียดาย ลู่เชียนไม่ยอมบอก
เพียงไม่นาน เด็กรับใช้ของโรงน้ำชาก็ถือเกี๊ยวที่อุ่นแล้วออกมา เถ้าแก่ลั่วไม่อาจรั้งรออยู่ที่นี่นานไปกว่านี้ได้จึงเดินกลับเข้าไปในร้าน เด็กรับใช้เองเมื่อได้รับสินน้ำใจจากลู่เชียนแล้วก็จากไปอย่างเบิกบาน เหลือลู่เชียนนั่งกินเกี๊ยวท่ามกลางลมหนาวอย่างมีความสุขเพียงคนเดียว
แน่นอนว่าหากสามารถนำเตาเหล็กในหอพักของเขามาไว้ที่นี่ได้ก็คงดีกว่า แต่ว่า ฤดูหนาวปีหน้าน้องสาวของเขายังคิดจะขายเตาเหล็กนี้ เพราะฉะนั้นจะเอาออกมาล่อตาคนเสียั้แ่ตอนนี้ไม่ได้
บนถนนมีคนเดินผ่านไปผ่านมาอย่างพลุกพล่าน บางครั้งก็มีเด็กเล็กๆ เล่นาหิมะกัน ส่วนบัณฑิตที่ตั้งเพิงเขียนจดหมายอยู่ตรงนี้ไม่สนใจสภาพแวดล้อมรอบกายสักนิด เพราะใจเขาบินกลับบ้านที่หมู่บ้านเขาหมีเรียบร้อยแล้ว...
หิมะตกอย่างลืมวันลืมคืน แต่ขุนเขาและแมกไม้กลับผันเปลี่ยนไปตามเวลาที่ผันแปร
วันคืนค่อยๆ ผ่านพ้นไป ยิ่งใกล้ปีใหม่มากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งมีร่องรอยของฤดูใบไม้ผลิให้เห็นอยู่รำไร
ถนนค้าขายเส้นใหญ่ใจกลางเมืองอันโจวที่เงียบเหงาไปหลายเดือน บัดนี้ค่อยๆ กลับมาคึกคักอีกครั้ง
บางคนสวมเสื้อคลุมบุนวมตัวหนา ยืนเรียกลูกค้าท้าลมหนาวด้วยเสียงอันดัง “ผ้ายกใหม่ๆ จากทางใต้ ลวดลายเป็ที่นิยมที่สุด ในที่สุดก็มาถึงแล้ว รีบเข้ามาดูเร็วเข้า”
บางคนแบกถังหูลู่สีสันสดใส ดึงดูดให้เด็กๆ ที่ซุกซนมองตามจนน้ำลายไหลย้อย
ลู่เสี่ยวหมี่ลากลู่อู่เดินไปตามถนน ไม่หันมองร้านอาภรณ์หรือร้านเครื่องประดับแม้แต่น้อย นางมุดกายเข้าไปในร้านของชำหรือไม่ก็ร้านขายน้ำมันและธัญพืชเท่านั้น
อีกไม่ถึงครึ่งเดือนก็จะปีใหม่แล้ว บรรดาบุรุษท้องโตที่บ้านกลับกินจิงหมี่และบะหมี่ที่บ้านไปจนหมดแล้ว หมูป่าตัวนั้นก็แทบจะไม่เหลือเนื้ออะไรให้กินได้อีกแล้ว
เกาเหรินและลู่อู่เตรียมจะขึ้นเขาไปล่าสัตว์กัน แต่ฤดูหนาวหิมะตกหนักปิดทางขึ้นเขา ทั้งยากจะติดตามหาเหยื่อ และเพราะอันตรายเหล่านี้ เป็ตายอย่างไรนางก็ไม่มีทางอนุญาต ไม่ปล่อยให้จะกละสองคนนี้ไปรนหาที่ตาย
แต่วันขึ้นปีใหม่ หากไม่มีอาหารหลากหลายจัดวางขึ้นโต๊ะก็คงไม่ได้ นางจึงจำต้องเข้าเมืองมาซื้อของอีกครั้ง
เข้าเมืองครั้งนี้มีคนในหมู่บ้านขับเลื่อนตามมาด้วยอีกสี่ห้าคัน ลู่เสี่ยวหมี่จึงไม่ต้องกลัวว่าซื้อของกลับมามากเกินไปแล้วจะถือไม่ไหว นางเพียงแค่ซื้อสิ่งที่้าเสร็จแล้วก็โยนให้ลู่อู่
หน้าร้านขายเนื้อมีพ่อกับลูกชายคู่หนึ่ง้าจะขายหมูสามตัวให้กับคนฆ่าสัตว์ คนฆ่าสัตว์คนนั้นรังเกียจว่าหมูตัวหนึ่งในบรรดาสามตัวนั้นเล็กผอมบางเกินไป ไม่คิดจะจ่ายให้ในราคาสูง แต่ลู่เสี่ยวหมี่เห็นแล้วพอใจ จึงตัดสินใจซื้อมา
หลังจากใช้ชีวิตแบบกินเนื้อหนักๆ มันๆ ทุกมื้อมา่หนึ่ง ่นี้ทุกคนจึงนิยมกินเนื้อไม่ติดมันมากกว่าเนื้อมัน เ้าหมูตัวนี้จึงเหมาะสมพอดี
คนฆ่าสัตว์คนนั้นรับเงินยี่สิบอีแปะจากลู่เสี่ยวหมี่แล้วจึงรีบต้อนหมูไปหลังร้าน ตัดศีรษะส่งหมูเ่าั้ไปพบยมบาล จากนั้นก็เลาะเนื้อหนังและกระดูก ตัดเนื้อหมูออกมาเป็ชิ้นๆ อย่างสวยงาม
เมื่อได้ยินว่าลู่เสี่ยวหมี่้าเืหมูและไส้หมู ถึงแม้เขาจะสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมากมาย กระทั่งเืหมูและไส้หมูของหมูอีกสองตัวก็ยกให้นางเช่นกัน
ดังนั้นอาหารมื้อค่ำของสกุลลู่จึงมีไส้กรอกเืเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งจาน นำเืหมูผสมกับต้นหอมสับ ขิงสับ เกลือ และพริกไทยเล็กน้อย จากนั้นค่อยๆ เทลงไปในไส้บางๆ แล้วนำไปต้มจนสุก เสร็จแล้วนำมาหั่นเป็ชิ้นหนาๆ เมื่อคีบใส่ปาก พบว่าเืหมูนั้นนุ่มเด้งราวกับจีตั้นเกิง [1] ตัวไส้หมูไม่เพียงไม่มีกลิ่นเหม็นแต่ยังเหนียวนุ่มสู้ฟัน ทำเอาบรรดาผู้ร่วมโต๊ะที่เดิมรู้สึกรังเกียจไม่น้อย ชมกันไม่ขาดปาก
โดยเฉพาะเกาเหรินที่ยกมาเทใส่จานของตนเอง กินพื้นที่ไปถึงครึ่งจาน
ลู่เสี่ยวหมี่นึกถึงพี่สาม นางคำนวณวันคร่าวๆ แล้วจึงรีบไล่ลู่อู่ให้ไปรับเขา
พี่รองลู่แบกเสบียงสำหรับกินระหว่างทางไปเต็มหลัง สวมเสื้อผ้าหนา เขาใช้เวลาเดินทางไม่กี่วันก็รับพี่สามลู่กลับมาพร้อมหน้าพร้อมตาได้อย่างรวดเร็ว
คืนนั้นเมื่อกินอาหารค่ำเต็มโต๊ะอย่างครึกครื้นพร้อมกันแล้ว พี่สามลู่ก็เดินไปทางเรือนหลัง
ลู่เสี่ยวหมี่เห็นตั๋วเงินก็ตาโต ปฏิกิริยาแรกคือลากพี่สามลู่มาถามว่า “พี่สาม ท่านไปทำเื่ชั่วร้ายอันใดมา ไปเอาเงินมากขนาดนี้มาจากไหน?”
พี่สามลู่รู้สึกขบขัน ขณะเดียวกันก็ภูมิอกภูมิใจเป็อย่างยิ่ง เล่าเื่การค้าระหว่างเขากับเถ้าแก่ลั่วให้นางฟัง แล้วจึงกล่าวว่า “เถ้าแก่ลั่วคนนั้นได้ยินว่ามีหลานชายที่เป็ญาติห่างๆ คนหนึ่งเป็ที่ปรึกษาให้รัชทายาทแห่งวังบูรพา ข้าถึงได้ตัดสินใจร่วมทำการค้ากับเขา คิดไม่ถึงว่าจะได้กำไรงามเช่นนี้”
พูดจบ จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าเื่นี้ยังไม่ผ่านความเห็นของน้องสาว จึงรีบหันมามองสีหน้านางด้วยความระมัดระวัง กล่าวว่า “ตำรับอาหารนี้ ข้าขายออกไป ไม่มีปัญหาใช่หรือไม่?”
“ไม่เป็ไรอยู่แล้ว” ลู่เสี่ยวหมี่ยิ้มกว้าง พี่สามผู้โง่งมของนางในที่สุดก็ฉลาดขึ้นมาแล้ว ไม่มีใครจะมีความสุขมากไปกว่านางอีกแล้ว
ในสายตาของนาง พี่สามลู่ในอนาคตต้องทำการใหญ่ได้แน่นอน การที่เฉลียวฉลาดรู้จักพลิกแพลงย่อมดีกว่าโง่งมเป็ท่อนไม้มากนัก
“เดิมทีข้าเองก็คิดจะขายตำรับอาหารนี้ไปยังเมืองทางใต้อยู่แล้ว แต่พี่ใหญ่ใจอ่อน พี่รองใจร้อน ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่จะเดินทางไกล จึงไม่ได้จัดการเสียที คิดไม่ถึงว่าพี่สามจะทำสำเร็จแล้ว”
พี่สามลู่ได้รับคำชมจากน้องสาว ก็ยิ้มกว้างอย่างดีใจ
“เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี”
“แต่ว่า พี่สาม เื่เช่นนี้วันหน้าท่านต้องหลีกหนีให้ห่าง หากลือออกไปว่าว่าท่านละโมบ ไม่สนใจศึกษาเล่าเรียนก็คงไม่ดี ตอนนี้ที่สำคัญคือต้องสอบให้ได้จวี่เหรินเป็หน้าเป็ตาให้บ้านเราต่างหาก แน่นอน ท่านไม่จำเป็ต้องเหน็ดเหนื่อยเกินไปนัก หากไม่อยากอ่านหนังสือสอบจวี่เหริน พวกเราพี่น้องร่วมแรงร่วมใจทำการค้าปลูกธัญญาหาร ไม่แน่ว่าไม่กี่ปี สกุลลู่ของเราอาจจะกลายเป็เศรษฐีอันดับหนึ่งแห่งต้าหยวนก็เป็ได้”
“ได้ หากวันไหนพี่สามไม่อยากอ่านตำราแล้ว จะกลับมาเป็ลูกมือของเ้า”
พี่สามลู่ไม่เหมือนบัณฑิตคนอื่นๆ ที่รังเกียจพ่อค้าและชาวนา จึงตอบรับทันควัน ลู่เสี่ยวหมี่เก็บเงินพวกนั้นใส่กล่องอย่างระมัดระวัง เตรียมไว้เป็ค่าเล่าเรียนในอนาคตของพี่สาม หรือไม่ก็เตรียมไว้เป็ค่าเดินทางในอนาคตให้พี่สามเดินทางไปสอบในเมืองหลวง
…
เด็กน้อย เด็กน้อยอย่าร้องเลย ถึงเทศกาลล่าปา [2] แล้วเราค่อยฆ่าหมู
ทุกครอบครัวในหมู่บ้านทำโจ๊กล่าปา ถึงแม้ไม่ใช่ว่าทุกบ้านจะมีหมูให้ฆ่า แต่ทุกคนก็ยุ่งวุ่นวายกันทั้งวัน
หิมะใหญ่ตกลงมาทุกๆ สองสามวัน แต่บรรดาบุรุษก็ยังทำความสะอาดลานเรือนทั้งหน้าหลังจนเอี่ยมอ่อง
พวกผู้หญิงนำปลอกหมอนผ้าห่มทั้งหลายออกมาซัก นึ่งถั่วทำหมั่นโถว วุ่นวายกันไม่หยุดหย่อน
บรรดาเด็กๆ ต้องไปเรียนหนังสือที่บ้านสกุลลู่ทุกเช้า ตอนเช้าจึงไม่มีใครอยู่บ้าน ซึ่งก็เป็ผลดี ทำให้บรรดาแม่ๆ รวบรวมสมาธิทำงานได้เร็วขึ้น
เพื่อเป็การขอบคุณ พอทุกคนยุ่งกันจนเสร็จแล้วจึงเดินทางมาที่บ้านสกุลลู่
บ้านสกุลลู่เป็เรือนสองชั้นมีห้องหับมากกว่าบ้านใครทุกคนในหมู่บ้าน ลู่เสี่ยวหมี่ยังลังเลอยู่ว่าจะเรียกพี่ชายและบิดามาช่วยดีหรือไม่ เมื่อเห็นบรรดาสตรีในหมู่บ้านเดินมาหานางก็รู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่ง
นางเองก็ไม่เกรงใจ แบ่งงานให้กับทุกคน จากนั้นมุดเข้าไปในครัวนึ่งซาลาเปาสามเหลี่ยมน้ำตาลแดง เสร็จแล้วก็ห่อให้บ้านละสามสี่ลูก ทำให้บรรดาแม่ๆ ลูกๆ ชอบอกชอบใจกันใหญ่
เฝิงเจี่ยนรักษาตัวอยู่สองเดือน ยามนี้ไม่ต้องให้ผู้เฒ่าหยางประคองหรือใช้ไม้ค้ำก็สามารถเดินได้เองสองสามก้าวแล้ว เวลานี้กำลังเดินมาทางห้องครัว ลู่เสี่ยวหมี่จึงยัดซาลาเปาสามเหลี่ยมน้ำตาลแดงลูกหนึ่งใส่มือเขา เขาลังเลเล็กน้อยสุดท้ายก็รีบชิมตอนร้อน ไม่รู้คิดถึงอะไรขึ้นมาได้ จึงกล่าวว่า “แม่นางลู่ คืนนี้เราห่อเกี๊ยวกินกันเถอะ”
“พี่ใหญ่เฝิงอยากกินเกี๊ยวหรือ?” ลู่เสี่ยวหมี่กำลังยุ่งอยู่กับการนวดแป้ง บ้านนางคนเยอะ นางตั้งใจจะทอดขนมเกลียว ลูกชิ้นเนื้อและผลไม้แห้ง เตรียมไว้ต้อนรับแขกหรือไม่ก็เอาไว้กินรองท้องตอนเฝ้าปี
นี่เป็ครั้งแรกที่เฝิงเจี่ยนร้องขอว่าอยากกินสิ่งใดเป็พิเศษ นางย่อมไม่มีทางปฏิเสธ ยิ้มตอบรับว่า “ได้สิ พอดีเลย ก่อนหน้านี้เพิ่งเข้าเมืองมา ข้าซื้อเนื้อกุ้งมาครึ่งจิน เรามาทำไส้หมูผสมกุ้งใส่หัวไชเท้าสับกันเถอะ”
เฝิงเจี่ยนพยักหน้าแล้วก้มหน้ากินซาลาเปาในมืออีกคำ แสงอาทิตย์ในยามบ่ายของฤดูหนาวอาบไล้ไปบนร่างเขา ยิ่งขับให้เขาดูหล่อเหลาสง่างามไปทั้งร่าง
ลู่เสี่ยวหมี่ชะงักมือที่กำลังยุ่ง หัวใจเต้นแรง ไม่รู้เพราะเหตุใดจู่ๆ ก็นึกถึงงานครบรอบร้อยวันครั้งนั้นที่เขาคลุมเสื้อคลุมลงบนร่างนาง ชาติก่อนนางวุ่นวายอยู่กับการหาทางกินให้อิ่มท้อง หาเงินมาให้น้องๆ ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ไม่มีความคิดและเวลาที่จะมีความรัก ยามนี้อายุสองชาติรวมกันได้สามสิบกว่าปี ถึงมาใจเต้นให้กับบุรุษหนุ่มอายุแค่ยี่สิบ เช่นนี้มันออกจะ...น่าขำเกินไปหน่อย
ลู่เสี่ยวหมี่รีบหันหน้าหนี ใช้กระบวยตักน้ำเตรียมจะเทลงกระทะ
เฝิงเจี่ยนหน้าเปลี่ยนสีทันที ไม่มีเวลามาสนใจว่าขาจะเจ็บ รีบพุ่งเข้าไปดังศรที่ถูกยิง รวบลู่เสี่ยวหมี่มาไว้ในอ้อมแขน
น้ำในกระบวยสาดกระเซ็นโดนร่างคนทั้งสอง แต่ก็ยังมีจำนวนหนึ่งที่ซุกซนหกลงไปในกระทะ
ด้วยเหตุนี้น้ำมันร้อนๆ ในกระทะจึงครื้นเครงขึ้นมาทันใด พากันเดือดกระเด็นออกมานอกกระทะ
เสี่ยวหมี่ใจนนิ่งอึ้งไป หากเฝิงเจี่ยนไม่เข้ามาดึงนางไว้ เกรงว่าตอนนี้นางคงจะถูกน้ำมันกระเซ็นโดนไปทั้งตัว ร่างคงสุกกลายเป็ข้าวโพดคั่วไปแล้ว
“ระวังหน่อย” เฝิงเจี่ยนเองก็ใไม่น้อย คิดจะตำหนิสักสองสามประโยค แต่เมื่อเห็นสีหน้าหวาดกลัวของเสี่ยวหมี่ คำที่พ่นออกมาจึงเบาบางไร้น้ำหนัก
ลู่เสี่ยวหมี่ดึงสติกลับมาได้ก็รีบผละออก ยื่นมือไปคิดจะััขาของเฝิงเจี่ยน “พี่ใหญ่เฝิง ท่านเจ็บขาหรือไม่ ให้ลุงสามปี้มาดูหน่อยดีหรือไม่”
ขาข้างที่าเ็ของเฝิงเจี่ยนถูกมือนุ่มนิ่มััเบาๆ เขานิ่งค้างไปครู่หนึ่งแล้วถึงค่อยๆ เอ่ยปากอย่างยากลำบาก “ไม่เป็ไร”
พูดจบก็เดินกะโผลกกะเผลกกลับเรือนพักฝั่งตะวันออกไป
ลู่เสี่ยวหมี่คิดแล้วก็ยิ่งหวาดกลัว หากเมื่อครู่ทำเฝิงเจี่ยนถูกน้ำมันลวกไปด้วยเกรงว่าคงเป็เื่ใหญ่
แต่ว่า อันตรายขนาดนี้เขาไม่กลัวหรือ เหตุใดยังดึงนางมาปกป้องไว้ในอ้อมแขนอีก?
ลู่เสี่ยวหมี่ตบแก้มทั้งสองข้างที่ขึ้นสีเรื่อน้อยๆ ของนาง แล้วหันกลับไปนวดแป้งต่อ
น้ำมันในกระทะตอนนี้สงบลงแล้ว ปล่อยควันลอยขึ้นสูงอย่างเงียบเชียบ ไม่มีใครรู้ว่ากระทะที่กำลังเดือดอย่างสงบนี้ ก่อนหน้านี้สร้างเื่น่าใอะไรเอาไว้
เหมือนเช่นที่ผ่านมา เมื่อคิดจะห่อเกี๊ยวกินกัน ทุกคนก็ช่วยกันลำเลียงไส้และแป้งไปยังเรือนพักฝั่งตะวันออก สนทนากันไปพลางห่อเกี๊ยวไปพลาง
ลู่เสี่ยวหมี่นึกสนุกสอนพวกเขาห่อเกี๊ยวเป็รูปแบบต่างๆ ทุกคนต่างประหลาดใจ ในบรรดาคนทั้งหมด เฝิงเจี่ยนเรียนรู้ได้เร็วที่สุด เกี๊ยวทรงรวงข้าวสาลี เขาทำออกมาได้งดงามกว่าของลู่เสี่ยวหมี่เสียอีก
ลู่เสี่ยวหมี่รู้สึกเสียหน้าเล็กน้อย นางเบะปากน้อยๆ แล้วกลับมาห่อเกี๊ยวแบบธรรมดาเหมือนเดิม ส่วนเฝิงเจี่ยนนั้นไม่รู้ในใจคิดอะไรอยู่ จึงห่อเกี๊ยวเป็ทรงรวงข้าวสาลีเพียงอย่างเดียว
เชิงอรรถ
[1] จีตั้นเกิง (鸡蛋羹)คัสตาร์ดไข่
[2] เทศกาลล่าปา (腊八)ในวันนี้จะมีประเพณี 腊祭/ล่าจี้ ซึ่งเป็พิธีบวงสรวงเทพเ้าด้วยสัตว์ที่ล่ามา การเซ่นไหว้เทพเ้าจะมีทั้งหมด 8 องค์ ดังนั้นจึงเรียกว่า “ล่าปา” คำว่า “ปา” หมายถึงแปด ในวันนี้คนจะนิยมกินโจ๊กล่าปากัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้