หาก้าได้รับความเคารพจากผู้อื่นก็ต้องพึ่งพาความสามารถของตนเอง
เฉิงชิงมิอาจบอกนายท่านห้าเฉิงและยิ่งมิอาจบอกเ้าเมืองอวี๋ว่า หากนางได้วุฒิจวี่เหริน อวี๋ซานไหนเลยจะกล้ากำเริบเสิบสานต่อหน้านาง
ยามเมิ่งไหวจิ่นส่งนางลงเขา เฉิงชิงก็คว้าโอกาสนี้สอบถามถึงข้อควรระวังในการสอบเข้ารับราชการ
หากนาง้าเข้าร่วมการสอบเข้ารับราชการ ต้องประกอบไปด้วยการรับรองจากบัณฑิตถงเซิงที่ร่วมเข้าสอบด้วยกันห้าคน และต้องมีบัณฑิตหลิ่นเซิง[1]ภายในอำเภอของตนเขียนหนังสือรับรองให้นางหนึ่งคน เื่นี้จัดการง่าย เพียงแค่รับรองอายุและภูมิลำเนาเดิมของนาง รวมถึงไม่ใช่บุตรหลานของคณิกา ผู้ให้ความบันเทิง ข้ารับใช้ชั้นต่ำหรือบ่าวไพร่และไม่ได้อยู่ใน่ไว้ทุกข์
สิ่งที่เฉิงชิงกังวลอย่างแท้จริงคือขั้นตอนของการสอบเข้ารับราชการ นางแสร้งทำเป็ประหลาดใจ ถามว่ายามสอบเข้ารับราชการมีผู้ทุจริตหรือไม่ เมิ่งไหวจิ่นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแค่เพียงเฉิงชิงถูกงูกัดครั้งเดียวกลัวเชือกบ่อน้ำไปสิบปี[2] จึงอธิบายเื่ราวเกี่ยวกับการสอบเข้ารับราชการให้นางไม่น้อย
ก่อนเข้าสนามสอบจะต้องมีการตรวจร่างกาย แต่ไม่ใช่การเปลือยกายให้เ้าหน้าที่มาตรวจสอบ แต่เป็การตรวจอุปกรณ์การสอบว่าเหมาะสมตามกฎหรือไม่ ตรวจไม่พบโพยก็เป็อันใช้ได้แล้ว การถอดเสื้อผ้าตรวจดูถือเป็การหยามศักดิ์ศรีของผู้เข้าสอบ จึงถูกห้ามในราชวงศ์นี้แล้ว
หลังจากเข้าสนามสอบแล้วก็จะมีคนมาเดินตรวจตลอดสิบสองชั่วยามโดยไม่แบ่งว่ากลางวันหรือกลางคืน เพื่อที่เมื่อจับผู้ทุจริตได้จะได้นำตัวไปทันที!
ไม่ต้องถอดเสื้อผ้าตอนตรวจร่างกาย?
ในใจเฉิงชิงยินดีเป็อย่างมาก
ความลับเื่เพศเป็สิ่งที่นางกลัวว่าจะถูกเปิดเผยที่สุด ถ้าเพียงแค่ตรวจร่างกาย นางก็มีวิธีปิดบังแล้ว
ข้อมูลมีประโยชน์ที่สอบถามมาได้จากเมิ่งไหวจิ่นทำให้เฉิงชิงอารมณ์ดีมาก เมื่อกลับไปยังตรอกหยางหลิ่วก็เพียงรอสถานศึกษาติดทำเนียบเกียรติยศในวันพรุ่งนี้ ยามค่ำคืนนางก็อ่านอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย นางหลิ่วกลัวว่านางจะเสียสายตา ถึงแม้ภายในบ้านจะไม่ได้มั่งมีนัก แต่ก็จุดเทียนไขขนาดใหญ่หลายเล่มไว้ในห้องของเฉิงชิง กลับอำเภอหนานอี๋ได้สามเดือน พวกนางหลิ่วไม่เพียงละทิ้งท่าทางสตรีของตระกูลขุนนาง ยามปกติขณะที่เฉิงชิงอ่านตำราอย่างตั้งอกตั้งใจ นางหลิ่วก็จะนำบุตรสาวทั้งสามมาเย็บปักหาเลี้ยงชีพ มารดาและบุตรสาวทั้งสี่ต่างมือเท้าคล่องแคล่ว เงินที่ได้จากการเย็บปักหาเลี้ยงชีพก็เพียงพอสำหรับใช้จ่ายประจำวัน
แต่ว่าค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเรียนของเฉิงชิงหลังจากนี้จะเพิ่มมากขึ้น ถึงแม้สถานศึกษาจะไม่เก็บค่าเล่าเรียน แต่ก็ยังต้องซื้อพู่กัน หมึกและตำรา ค่าใช้จ่ายทุกครั้งที่ไปสอบเข้ารับราชการก็เยอะมาก แม้กระทั่งพื้นฐานที่สุดอย่างตอนสอบระดับอำเภอที่ต้องหาเชิญบัณฑิตหลิ่นเซิงมาเป็ผู้รับรองก็ต้องจ่ายเงินจำนวนหนึ่ง…
ขณะที่เฉิงชิงกำลังสอบถาม นางหลิ่วก็ไม่ได้อยู่ว่าง เฉิงชิงเรียนหนังสือก็ยากลำบากมากพอแล้ว นางหลิ่วไม่อาจนำความกดดันเื่การเงินไปเพิ่มให้อีก เฉิงชิงไม่ให้นางนำเสื้อผ้าเครื่องประดับไปจำนำ นางหลิ่วก็รับปากแล้ว แต่ก็มีแผนของตัวเองเป็การส่วนตัว
หากรอถึงวันที่ไม่มีเงินให้ใช้จ่ายจริง ต่อให้เป็โรงรับจำนำก็ต้องไป!
นางหลิ่วปวดใจที่เฉิงชิงต้องมาแบกภาระมากมายเกินไปทั้งที่อายุยังน้อย เฉิงชิงเองก็ปวดใจที่นางหลิ่วและพี่สาวทั้งสามต้องมาทำงานเย็บปักไม่หยุดหย่อน การสอบเข้ารับราชการไม่อาจเกียจคร้านได้ นางเองก็ต้องคิดหาวิธีการไปหาเงินมาก้อนหนึ่ง
ภายในห้อง ระหว่างเฉิงชิงกำลังท่องตำราคัดอักษร นางหลิ่วและบุตรสาวทั้งสามก็ทำงานเย็บปักอยู่เงียบๆ ด้านข้าง
บุตรสาวคนโตแยกเส้นด้ายก็ทำผิดพลาดซ้ำไปซ้ำมา เฉิงชิงมองไปแวบหนึ่ง แล้วจึงหยุดพู่กันเอ่ยถามนางว่า
“พี่ใหญ่ ดูเหมือนท่านมีเื่ในใจนะ”
บุตรสาวคนโตรู้สึกผิด “น้องชาย พี่รบกวนการเรียนของเ้าหรือ?”
“เดิมข้าก็เขียนจนเมื่อยแล้ว อยากจะพักผ่อนสักหน่อย พี่ใหญ่ ใบหน้าของท่านเต็มไปด้วยความกังกล หรือว่ากังวลแทนข้ากัน?”
เฉิงชิงไม่ได้โกหก คัดอักษรครบหนึ่งชั่วยามพอดี ข้อมือจึงล้าจริงๆ
บุตรสาวคนโตพยักหน้าอย่างลังเล “พรุ่งนี้สถานศึกษาก็จะติดทำเนียบเกียรติยศแล้ว ข้ากลัวว่าเ้าจะถูกเื่ราวก่อนหน้านี้กระทบจิตใจ”
ท่านปู่ห้ากล่าวว่าจะตัดสินใจแทนน้องชาย เ้าเมืองอวี๋ก็ส่งคนมามอบของขวัญขออภัยดังคาด แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทางบ้านรองกลับไม่มีท่าทีใดๆ เลย พรุ่งนี้สถานศึกษาจะประกาศรายชื่อแล้ว บุตรสาวคนโตยังคงกลัวว่าบ้านรองจะทำเื่เลวร้ายอีก
เฉิงชิงคิดแล้วกล่าวว่า “ไม่สู้พรุ่งนี้พี่ใหญ่ไปสถานศึกษากับข้าด้วยกัน เมื่อเห็นด้วยตาตนเองแล้วจะได้วางใจได้”
แววตาของบุตรสาวคนโตเปล่งประกาย “ข้าไปได้หรือ?”
ท่านย่าเคยกล่าวว่านั่นคือสถานที่ศึกษาถ้อยคำของอริยบุคคล สตรีไปแล้วไม่เหมาะสม แต่น้องชายกลับบอกว่านางสามารถไปได้ นางควรฟังผู้ใดดีเล่า?
“แน่นอนว่าย่อมไปได้ มีข้าไปด้วย มีอะไรต้องกลัวกัน? ยามนี้ครอบครัวเรายากจน ไม่จำเป็ต้องหลีกเลี่ยงธรรมเนียมต้องห้าม ขนาดพวกคุณหนูตระกูลใหญ่เ่าั้ยังออกนอกประตูไปจุดธูปขอพร ไปเทศกาลโคมไฟได้เลย ไม่เห็นมีใครจะประณามพวกนาง… พี่ใหญ่ หากครอบครัวพี่เขยในอนาคตจะไม่พอใจด้วยเื่เล็กแค่นี้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายจู้จี้จุกจิกหรอก ข้าจะเป็คนแรกที่ไม่เห็นด้วยเื่แต่งงานเอง”
แม้แต่เฉิงชิงในยามนี้ก็มิอาจหลุดพ้นจากพันธนาการของมารยาททางศักดินา แต่ในขอบเขตที่นางพอทำได้ เฉิงชิงก็ปรารถนาให้นางหลิ่วและพี่สาวทั้งสามสามารถมีชีวิตอยู่กันอย่างมีความสุขบ้าง
นางหลิ่วจ้องเฉิงชิงเขม็ง เด็กคนนี้พูดมาได้อย่างไรว่าไม่ต้องหลีกเลี่ยงธรรมเนียมต้องห้ามเลยแม้แต่น้อย อะไรคือไม่พอใจครอบครัวว่าที่พี่เขยของบุตรสาวคนโตในอนาคต นั่นคือครอบครัวของลุงฝั่งแม่ ญาติทางสายเืของบุตรสาวคนโต หากบุตรสาวคนโตคิดออกนอกลู่นอกทางก็คงเป็เพราะเฉิงชิงยุยงเป็แน่!
เฉิงชิงแกล้งทำเป็ไม่เห็นแววตาตักเตือนของนางหลิ่ว
แม้นางจะไม่ได้ตั้งใจจู้จี้จุกจิก แต่ก็พอจะมีลางบอกเหตุจริงๆ
ทั้งครอบครัวกลับมาหนานอี๋ได้สามเดือนกว่าแล้ว ตระกูลฉีกลับไม่มีท่าทีใดๆ มาโดยตลอด
เฉิงชิงสงสัยว่าอีกฝ่ายไม่เพียงไม่้ายอมรับการแต่งงาน แม้แต่ความเป็ญาติกับบ้านนางก็ไม่อยากจะรับแล้ว
คดีของเฉิงจือหย่วนยังไม่สรุป ครอบครัวของนางก็เหมือนกับหนูที่ตกไปอยู่ในส้วม คนธรรมดาย่อมหนีห่าง ที่จริงแล้วเฉิงชิงเข้าใจได้ แต่บุตรสาวคนโตจะดีจะร้ายอย่างไรก็เป็หลานสายนอกของตระกูลฉี จะสั่งให้สาวใช้คนหนึ่งมาเยี่ยมแสดงความห่วงใยสักครั้งก็ไม่ใช่เื่ยาก สามเดือนมานี้กลับไม่มีความเคลื่อนไหว เฉิงชิงก็ไม่กอดความหวังใดๆ เกี่ยวกับตระกูลฉีแล้ว
ที่บุตรสาวคนโตมีเื่หนักใจก็อาจจะเกี่ยวกับเื่นี้ด้วย
ตระกูลฉีอาจจะยังรอดูว่าราชสำนักจะตัดสินโทษเฉิงจือหย่วนเช่นไรกระมัง?
หากเฉิงจือหย่วนไร้ความผิด การแต่งงานของบุตรสาวคนโตและญาติผู้พี่ตระกูลฉีก็อาจจะถูกจัดขึ้นได้ตามปกติ… แต่หากถึงยามนั้น นางย่อมไม่ยินยอมที่จะให้พี่สาวคนโตออกเรือนไปยังตระกูลฉี ยามนี้นางยังไม่กล้ากล่าวคำพูดนี้ หากพูดออกไปนางหลิ่วอาจจะอยากทุบตีคน เฉิงชิงตัดสินใจว่าจะรอดูไปก่อน รอตระกูลฉีแสดงท่าที!
เมื่อได้ยินว่าเฉิงชิงจะพาบุตรสาวคนโตไปดูประกาศรายชื่อ บุตรสาวคนที่สามก็อยากจะลองดูบ้าง เฉิงชิงจึงสัญญากับนางในทันทีว่าครั้งต่อไปจะพาพี่สามออกจากบ้าน
พี่สาวทั้งสามล้วนมีรูปโฉมงดงาม พาไปคนเดียวยังพอได้ ถ้าพาไปสองคนเฉิงชิงเกรงว่าจะดึงดูดพวกมากตัณหาให้เข้ามา
ที่จริงแล้วนางหลิ่วเอาใจบุตรทั้งสี่เม่ต่างกัน เมื่อบุตรสาวคนโตได้ยินว่าสามารถไปดูประกาศรายชื่อได้ก็ดีใจ นางหลิ่วเองก็ไม่ได้ขัดขวาง เพียงแต่กำชับให้นางต้องสวมหมวกคลุมหน้า
วันที่สองอากาศแจ่มใส เฉิงชิงตื่นแต่เช้า บุตรสาวคนโตเองก็แต่งตัวเสร็จแล้ว
ครั้งนี้เฉิงชิงเลือกที่จะนั่งเรือไป
สายลมจากแม่น้ำในยามเช้าพัดผ้าโปร่งคลุมหน้าของบุตรสาวคนโตขึ้น งดงามจนชวนทอดถอนใจ บุตรสาวคนโตจิตใจเบิกบาน
เฉิงชิงเมื่อเห็นพี่สาวคนโตดีใจ ตนเองก็พลอยอารมณ์ดีไปด้วย
ทั้งสองคนนั่งเรือมาตลอดทางจนถึงใต้ตีนเขา แต่กลับมาเช้าเกินไป ตรงจุดประกาศของสถานศึกษามีผู้คนห้อมล้อมอยู่ไม่น้อย ต่างรอสถานศึกษาประกาศทำเนียบเกียรติยศ
เฉิงชิงไปที่ไหนผู้คนก็ล้วนหลีกทางให้ ทุกคนไม่ยินดีที่จะคบหากับนาง
พอบุตรสาวคนโตเห็นดังนั้นก็ร้อนใจ เฉิงชิงกลับปลอบโยนนาง
“ไม่เป็ไรหรอกพี่ใหญ่ สิบปีพากเพียรตรากตรำไม่มีผู้ใดรู้ ยามสอบผ่านชื่อเสียงเป็ที่เลื่องลือ ข้าไม่รีบ”
ชีวิตที่ต้องอดทนพากเพียรเรียนสิบปีนั้นนานเกินไป เฉิงชิงรอไม่ไหวแล้ว
แต่ยามนี้คือปีแรก เฉิงชิงยังพอรอได้
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ในสุดก็มีคนของสถานศึกษาลงจากเขามาติดประกาศรายชื่อ ครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมสอบเข้าศึกษาเกือบหนึ่งร้อยคน แต่ผู้ที่ถูกรับเลือกมีไม่ถึงสิบคน และชื่อของเฉิงชิงก็อยู่หนึ่งในนั้น
“น้องชาย เ้าสอบผ่านแล้ว!”
บุตรสาวคนโตน้ำตาคลอเบ้า สีหน้าเต็มไปด้วยความยินดี
บิดาเฉิงจือหย่วนจากไปอย่างกะทันหัน เสาหลักภายในครอบครัวล้มลง เื่ราวหลังจากนั้นล้วนพัฒนาไปในทางเลวร้าย การที่เฉิงชิงสอบเข้าสถานศึกษาผ่านถือว่าเป็เื่น่ายินดีเื่แรกภายในครอบครัว!
เฉิงชิงเองก็ดีใจ ทุกการเริ่มต้นย่อมยากลำบากน่ะนะ หลังจากใช้เวลาไปสามเดือนกว่า นับได้ว่านางได้ย่างก้าวสู่การสอบเข้ารับราชการเป็ก้าวแรกแล้ว
[1] บัณฑิตหลิ่นเซิง คือผู้ที่สอบได้คะแนนในระดับดีที่สุดในการสอบระดับสำนักศึกษา
[2] ถูกงูกัดครั้งเดียวกลัวเชือกบ่อน้ำไปสิบปี หมายถึงการที่โดนอะไรสักอย่างทำร้ายจนทำให้เข็ดขยาดสิ่งนั้นไปอีกนาน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้