หนิงมู่ฉือร้อนใจยิ่งนัก เมื่อเห็นว่าแม้นางจะขู่แล้ว ม้าก็ยังไม่เดินเร็วขึ้น นางจึงลงจากม้าด้วยความโมโห จูงสายบังเหียนม้าจ้ำไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ทว่าเ้าม้ากลับไม่ยอมทำตาม
นางเอ่ยเสียงดังใส่เ้าม้าอย่างร้อนใจ “ได้ เ้าไม่ไปใช่หรือไม่ เช่นนั้นข้าไปเองก็ได้” นางโยนสายบังเหียนทิ้ง สะพายห่อผ้าแล้วก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยความแค้นใจ ในดวงตาคลอไปด้วยน้ำตาขณะพึมพำออกมา “เ้าม้าบ้า รังแกข้า!”
เ้าม้ามองตามแผ่นหลังของหนิงมู่ฉือ เงยหน้าส่งเสียงร้องฮี้ ก่อนจะเดินตามมาอย่างไม่ช้าไม่เร็วเช่นเดิม
นางเหลือบมองข้างหลัง พบว่าเ้าม้าเดินตามนางมา มันราวกับกำลังหยอกนางเล่นอยู่ นางจึงถอนหายใจออกมาด้วยความจนปัญญา เดินไปลูบแผงคอมัน “เ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน...เ้าบรรพบุรุษ”
เ้าม้าก้มหน้ากินหญ้า มันโยนหญ้าใส่ตัวนางไม่หยุด นางเห็นเช่นนั้นถือหญ้าเหล่านี้เอาไว้ในมือพลางมองเ้าม้าอย่างตกตะลึง “ความหมายของเ้าคือจะให้ข้ากินหญ้าเหล่านี้ แต่ดูจากอากาศเช่นนี้ คงกินได้แค่หญ้าแห้งๆ เท่านั้นแหละ”
นางก้มหน้ามองผืนหญ้า ก่อนจะพบต้นหญ้าต้นหนึ่งที่นางคุ้นตายิ่ง หมาฉื่อเสี่ยน[1]!
นางคุกเข่าลงเด็ดสมุนไพรที่เพิ่งค้นพบขึ้นมา ก่อนจะใช้มือตีที่ศีรษะตัวเองไม่แรงนักทีหนึ่ง “์ไม่ทอดทิ้งคนที่ไร้หนทางจริงๆ!”
นางมองต้นหมาฉื่อเสี่ยนด้วยความดีใจ ก่อนจะหยิบตะกร้าใบเล็กๆ ออกมา เด็ดสมุนไพรใส่ลงไปในตะกร้า นางแหงนมองท้องฟ้าเมื่อพบว่าเวลานี้เริ่มจะเย็นแล้ว นางอดเอ่ยอย่างร้อนใจไม่ได้ว่า “ฟ้ามืดแล้ว อยู่ในป่าเช่นนี้ไม่ปลอดภัย”
นางจูงม้าไปที่ลำธารสายเล็กๆ ก่อนจะพบว่าฝั่งตรงข้ามมีกระท่อมหลังเล็กๆ หลังหนึ่ง ซึ่งมีควันลอยออกมาจากบนหลังคา นางดีใจเป็ที่สุด หากอีกใจหนึ่งก็กลัวว่าคนในนั่นจะไม่ต้อนรับนาง ถ้าเป็เช่นนั้นจะทำอย่างไร นางจึงแกล้งทำหน้าตาให้ดูน่าสงสาร
นางเดินข้ามลำธารที่หนาวเหน็บจนเสียดแทงเข้าไปถึงกระดูก เมื่อกระเผลกมาถึงภายในบริเวณกระท่อม นางมองการตกแต่งภายในบริเวณกระท่อมอย่างดีใจ
เป็กระท่อมทรงเตี้ย ด้านหน้าปลูกต้นหัวไชเท้าเอาไว้ ด้านหลังคือูเา ด้านหน้าคือลำธาร ช่างเป็กระท่อมที่บรรยากาศโดยรอบเงียบสงบยิ่งนัก
นางมองมือที่หนาวจนเริ่มเปลี่ยนเป็สีแดง จึงรีบเอามือมาประสานกันตรงหน้าอกเพื่อให้มันอบอุ่นขึ้น ทว่าที่นางคิดไม่ถึงคือ เ้าม้าที่นางพามาด้วยจู่ๆ จะเดินเข้าไปกัดกินหัวไชเท้าที่ปลูกอยู่หน้ากระท่อม
นางเห็นเช่นนั้นก็ใยิ่งนัก รีบะโออกมา “เ้าทำอะไรของเ้าเนี่ย!”
เมื่อสิ้นเสียง สตรีผู้หนึ่งในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ หยาบๆ สีฟ้าอมเขียวก็เดินออกมา สตรีนางนั้นมองมาที่นาง ตาโตด้วยความใ ก่อนจะหยิบไม้กวาดจากข้างตัวขึ้นมาไล่ฟาดนางพร้อมกับะโด่าไปด้วย “เ้าหัวขโมย! กล้ามาขโมยของถึงในบ้านเชียวหรือ!”
นางรีบหลบด้วยสีหน้าใ “ฮูหยิน ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าแค่บังเอิญผ่านมาทางนี้เท่านั้น!”
สตรีผู้นั้นหยุดมือ ก่อนจะะโเข้าไปในกระท่อม “ฟูจวิน[2] มีขโมยเข้ามา ท่านรีบออกมาดูเร็ว ใช่คนเดียวกับเมื่อคืนวานที่ท่านเจอหรือไม่”
นางเห็นชายรูปร่างกำยำผู้หนึ่งเดินออกมาจากในกระท่อม ในมือถือเคียวออกมาด้วย นางมองชายผู้นั้นพร้อมกับยิ้มแหย “พี่ชาย ฟังข้าอธิบายก่อน ข้าถูกม้าตัวนี้พามาที่นี่”
เมื่อสี่ตาประสานกัน ชายผู้นั้นส่ายหน้าก่อนจะวางเคียวในมือลง เขามองนางอย่างระแวดระวังพร้อมกับเดินเข้ามาหา “ดูจากการแต่งตัวของเ้า ดูแล้วไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา เพิ่งจะปีใหม่เหตุใดถึงมายังที่ห่างไกลผู้คนเช่นนี้ แถวนี้มีแต่โจรมีแต่ขโมย เ้าไม่กลัวว่าตัวเองจะได้รับอันตรายหรือ”
ผู้เป็ภรรยามองขากระเผลกของผู้บุกรุก ดูจากลักษณะท่าทางแล้ว ไม่เหมือนขโมยแม้แต่น้อย นางจึงวางไม้กวาดในมือลง หนิงมู่ฉือเห็นเช่นนั้นรีบวิ่งตรงเข้าไปหาผู้เป็ภรรยา ก่อนจะเอ่ยขอร้อง “ฮูหยิน นี่ก็เย็นมากแล้ว ข้าไม่มีที่ให้ไปจริงๆ ขอร้องท่าน ให้ข้าพักอยู่ที่นี่สักคืนได้หรือไม่ ข้าสามารถช่วยท่านทำงานบ้านได้ พอพรุ่งนี้เช้าข้าก็จะรีบไปทันที”
ผู้เป็ภรรยาเป็คนจิตใจดีมีเมตตา เมื่อแน่ใจว่าสตรีตรงหน้าไม่ได้จะมาขโมยของ อีกทั้งท่าทางก็ดูน่าสงสาร จึงดึงแขนเสื้อผู้เป็สามีไปอีกทาง
ผู้เป็สามีถอนหายใจออกมาก่อนจะพยักหน้าอนุญาต หนิงมู่ฉือเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มอย่างดีใจ ก่อนจะถูกผู้เป็ภรรยาจูงมือพาเดินเข้าไปด้านในกระท่อม ผู้เป็ภรรยามองหนิงมู่ฉืออย่างขอโทษพร้อมกับเอ่ย “ขอแม่นางอย่าได้ถือสาการกระทำเมื่อสักครู่ของพวกเราเลย ข้าไม่ขอปิดบัง ฐานะของพวกเรายากจนมาก อีกทั้ง่นี้ขโมยขโจรก็ชุกชุม เช่นนั้น…”
หนิงมู่ฉือมองสภาพน่าสงสารและลำบากลำบนของสองสามีภรรยาคู่นี้แล้ว ชูมือที่ถือต้นสมุนไพรหมาฉื่อเสี่ยนขึ้น นางยิ้มพร้อมกับเอ่ยว่า “ไม่เป็ไร เช่นนั้นเดี๋ยวคืนนี้ข้าจะเป็คนทำอาหารเอง จะได้ให้พวกท่านลองชิมฝีมือของข้า และถือเป็การขอบคุณพวกท่านด้วย”
นางเดินไปที่ห้องครัว ล้างทำความสะอาดต้นสมุนไพรหมาฉื่อเสี่ยน นางมองในโอ่งซึ่งมีแป้งสาลีเพียงน้อยนิดพร้อมกับถอนหายใจออกมา
นางสับต้นสมุนไพรหมาฉื่อเสี่ยนส่วนหนึ่งให้เป็ชิ้นเล็กๆ ก่อนจะนำไปผสมกับแป้งสาลี ใส่เครื่องปรุงรสลงไปแล้วนำไปนึ่งในลังถึง ส่วนที่เหลือนางนำไปลวกในน้ำเกลือ จากนั้นถึงค่อยนำขึ้นมาโรยด้วยเครื่องเทศต่างๆ
ต้นสมุนไพรหมาฉื่อเสี่ยนยังไม่ทันจะนึ่งเสร็จทั้งห้องครัวก็อวลไปด้วยกลิ่นหอม โดยเฉพาะกลิ่นหอมจากเครื่องปรุงรสของหนิงมู่ฉือ ความจริงแล้วถ้าให้ผู้เป็ภรรยาเป็คนทำก็จะส่งกลิ่นหอมเช่นกัน แต่ไม่ใช่หอมกลิ่นเครื่องปรุงรสเช่นนี้ ในบ้านที่แม้แต่ข้าวสารยังไม่มี แล้วจะไปหาเครื่องปรุงรสมาจากที่ใด มีอย่างมากก็แค่เกลือ
เมื่อได้กลิ่นหอม ผู้เป็ภรรยาอดลอบกลืนน้ำลายไม่ได้ แม้แต่เด็กน้อยสามขวบที่นางอุ้มอยู่ยังมองไปทางลังถึงอย่างรอคอย
หนิงมู่ฉือเห็นเด็กน้อยตาโตมองมาทางนาง แลดูน่ารักยิ่งนัก นางจึงอดเอามือไปหยอกล้อเล่นด้วยไม่ได้ เด็กน้อยหัวเราะออกมาอย่างน่ารักน่าชัง
ครั้นผู้เป็สามีเห็นหมั่นโถวกลมๆ มีสีเขียวของต้นสมุนไพรหมาฉื่อเสี่ยนผสมอยู่ก็ตาโตด้วยความตกตะลึง มองหนิงมาฉืออย่างไม่อยากจะเชื่อ “ฝีมือการทำอาหารของแม่นางช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก ลำพังแค่กลิ่นก็หอมราวกับอาหารจากสรวง์แล้ว”
หนิงมู่ฉือยิ้มเก้อเขิน ผู้เป็สามียัดหมั่นโถวใส่ปาก ก่อนจะยกนิ้วโป้งเชยชมนาง “นี่เป็หมั่นโถวที่อร่อยที่สุดเท่าที่ข้าเคยกินมาเลย อร่อยยิ่งกว่าเนื้อสัตว์เสียอีก”
ขณะที่ทุกคนกำลังทานอย่างเอร็ดอร่อยอยู่นั้น ข้างนอกมีเสียงดังของผู้คนมากมาย หนิงมู่ฉือมองออกไปด้านนอก พบว่ามีคนหลายคนในชุดสีดำถือโคมไฟกำลังตรงมาทางนี้
นางได้ยินเสียงเคาะประตู ก่อนที่ประตูจะถูกผลักเปิดเข้ามาโดยคนผู้หนึ่งซึ่งมีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง
[1] หมาฉื่อเสี่ยน คือคุณนายตื่นสาย
[2] ฟูจวิน เป็คำที่ภรรยาในสมัยโบราณใช้เรียกสามี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้