เล่มที่ 1 บทที่ 1 หนังสือลาตาย
ข้าชื่อหลินเฟย เป็ผู้ที่ทะลุมิติมา
ทว่าเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ที่ทะลุมิติมากอบกู้โลก หรือไม่ก็ทะลุมิติมาผจญกับาวังหลวงแล้ว เื่ของข้านั้นมิอาจเทียบเทียมได้เลย...
กว่าสิบปีที่ทะลุมิติมายังพิภพหลัวฝูแห่งนี้ เื่ที่ข้าทำมีเพียงสองอย่างเท่านั้น...
อย่างแรก เมื่ออายุได้แปดปี ข้าสามารถแต่งกลอนมากกว่าสิบบทในอึดใจเดียว เดิมทีก็แค่คิดจะแก้เผ็ดฟูจื่อ* ที่ชอบตีข้าเท่านั้น แต่ผู้าุโแห่งสำนักเวิ่นเจี้ยนดันผ่านมาเห็นเข้า ก็ใแทบสิ้นสติ ได้แต่อ้อนวอนขอให้ข้าเข้าร่วมเป็ศิษย์สำนัก
(* ฟูจื่อ หมายถึง อาจารย์)
อย่างที่สองก็คือ วันที่ข้าถูกพบว่ามีเส้นปราณบกพร่อง ซึ่งชั่วชีวิตนี้ไม่อาจบำเพ็ญได้ และในคืนนั้นเองข้าก็ถูกผู้าุโของสำนักไล่ให้ไปหอดาบ
ผ่านไปแค่พริบตาเดียวก็อยู่ที่นั่นมาเป็สิบปีแล้ว...
จะว่าไป สิบกว่าปีที่ผ่านมาก็ไม่เลวไปเสียทีเดียว กินดีอยู่ดีทุกวัน อะไรที่ควรได้ก็ไม่เคยขาดตกบกพร่อง ไปที่ใดก็มีแต่คนให้ความเคารพ แม้แต่ศิษย์สายตรงเจอหน้าข้า ยังต้องเรียกข้าว่าศิษย์พี่อย่างนอบน้อม
งานประจำวันก็มีเพียงทำความสะอาดง่ายๆ หากมีเวลาว่างก็รื้อเอาคัมภีร์เคล็ดวิชาดาบมาอ่านเล่น เพราะถึงอย่างไรเส้นปราณของข้าก็บกพร่องอยู่ดี ชีวิตนี้อย่าหวังจะฝึกได้ถึงขั้นย่างชี่เลย และการแอบฝึกวิชาด้วยแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
‘น่าเสียดายที่ชีวิตอันแสนสุขเช่นนี้ ดูเหมือนกำลังจะจบสิ้นแล้ว...’
สามปีก่อน พิภพหลัวฝูเริ่มเกิดความไม่สงบขึ้น เทพเซียนถือกำเนิดขึ้น ขณะที่เหล่ามารก็ฟื้นคืนชีพ เขตดินแดนหวงห้ามต่างๆ ดูเหมือนจะนัดแนะกันจนมีสำนักมากมายกำเนิดขึ้นมา ทั้งวังฉุนหยาง สำนักฉางเซิง รวมถึงหุบเขาปู้เหล่า ความอาฆาตที่สั่งสมมานับหมื่นปีปะทุออกมาราวกับูเาไฟะเิ เกิดการเข่นฆ่าจนเืหลั่งไหลดั่งสายน้ำ สามปีมานี้พิภพหลัวฝูกว่าครึ่งได้ถูกทำลายจนสิ้นไปหมดแล้ว
หลายวันก่อนอาจารย์ที่สมควรตายของข้าซึ่งก็คือท่านเ้าสำนัก คงจะเกิดมโนธรรมในใจกระมัง ถึงขนาดลอบย่องมาที่หอดาบ แล้วยัดยันต์สวีคงให้ข้าเสียตั้งหลายใบ บอกว่าหากเกิดเื่ไม่คาดฝันให้ใช้มันเพื่อหนีเอาตัวรอดเสีย...
‘ตาเฒ่านั่นดูท่าจะเลอะเลือน’ หากเกิดเื่ขึ้นมาจริงๆ คนที่เส้นปราณบกพร่องเช่นข้าจะหนีรอดเพราะเพียงยันต์ไม่กี่ใบได้อย่างไร...
ช่างเถอะ ในตอนนี้ที่ยังพอมีเวลาอยู่ รีบเขียนหนังสือลาตายไว้จะดีกว่า อย่างน้อยข้าก็เป็ผู้ทะลุมิติมา จะตายจากไปเงียบๆ ได้อย่างไร...
‘หนังสือลาตายของผู้ทะลุมิติ’
…………………………
“ที่แห่งนี้คือหอดาบอย่างนั้นหรือ? ข้าตายไปแล้วนี่นา แล้วมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรล่ะ?”
หลินเฟยพยายามลืมตา หากแต่พบว่าสิ่งแรกที่เห็นกลับเป็หอดาบ ในขณะที่หลินเฟยยังมึนงง ภาพความทรงจำมากมายก็หลั่งไหลเข้ามาในหัว กินเวลาไปถึงหนึ่งก้านธูป* เต็มๆ หลินเฟยถึงได้สติ
(*หนึ่งก้านธูป หมายถึง การนับเวลา คือเวลาที่ก้านธูปหนึ่งได้เผาไหม้จนหมด)
“บ้าเอ๊ย ทะลุมิติอีกแล้วหรือ?”
‘ใช่ ทะลุมิติอีกแล้ว’
แต่ยังดี ครั้งนี้ไม่ถือว่าประหลาดเกิน ยังคงเป็พิภพหลัวฝูและสำนักเวิ่นเจี้ยนเหมือนเดิม แค่ห้วงเวลาต่างกันนับหมื่นปี อีกทั้งยังคงทะลุมิติมาอยู่ในร่างชายหนุ่มที่ชื่อหลินเฟยเหมือนกัน แต่หลินเฟยคนนี้กลับเป็ศิษย์สำนักในของหุบเขาอวี้เหิง ซึ่งเป็หนึ่งในสิบสองหุบเขาของสำนักเวิ่นเจี้ยน
“แปลกจัง ตอนนั้นศิษย์สำนักเวิ่นเจี้ยนทุกคนตายในาเหวทมิฬหมดแล้วนี่ แม้แต่ข้าที่รอดมาได้ สุดท้ายก็ยังตายไปพร้อมกับยวนหวงเ้าแห่งเหวทมิฬเลย แต่ทำไมพอผ่านมาหมื่นปี สำนักเวิ่นเจี้ยนยังคงอยู่ล่ะ ใครกันเป็ผู้รับสืบทอด?”
‘หรือตอนนั้นตาเฒ่าจะแอบซ่อนแผนอื่นไว้?’
ไม่สิ ก่อนที่ตาเฒ่าจะมุ่งสู่เหวก็เตรียมใจตายไว้แล้วแถมยังจับมือลาตายกับข้าอยู่เลย ตอนที่คุยกันยังบอกตำแหน่งที่ตั้งขุมทรัพย์ลับทั้งเจ็ดแห่ง เรียกได้ว่าฝากฝังทุกอย่างของสำนักเวิ่นเจี้ยนไว้หมดแล้ว หากมีแผนอื่นจริงๆ ไม่มีทางที่ตาเฒ่าจะไม่บอก…
แต่ว่าถ้าไม่ใช่แผนของตาเฒ่า แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นกับสำนักเวิ่นเจี้ยนตอนนี้มันคืออะไรกันแน่?
“จับได้สักทีนะ หลินเฟย เ้าช่างกล้านัก แอบฝึกเคล็ดวิชาดาบที่หอดาบจริงๆ ด้วย” ขณะที่หลินเฟยกำลังครุ่นคิดอยู่ จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งลอยมาจากด้านหลัง
“หื้อ?” หลินเฟยมีท่าทีไม่พอใจนักดูไม่ค่อยพอใจ เ้านี่มันศิษย์ของผู้าุโคนใดกัน ช่างไร้มารยาทเสียจริง เอาแต่ะโโหวกเหวกในหอดาบแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน หากมีเวลาจะต้องให้อาจารย์ของเ้านี่สั่งสอนเสียหน่อยแล้ว
‘ไม่ใช่สิ…’
ลืมไปสนิทเลยว่าข้าทะลุมิติมา ตอนนี้มันหมื่นกว่าปีให้หลังแล้ว ตอนนี้ข้าไม่ใช่หัวโจกของหอดาบที่ใครๆ ต่างต้องยำเกรงอีกแล้ว
“คิดว่าข้าไม่รู้เหรอ ครั้งก่อนที่แพ้กระบี่พิฆาตเซียนมารของข้า เ้าคงจะแอบหนีมาศึกษาวิชาดาบอีกล่ะสิเป็ไง ฝึกอยู่ครึ่งวัน คิดวิธีเอาชนะข้าได้หรือยัง” คนที่เข้ามาอายุประมาณยี่สิบกว่าได้ หน้าตาถือว่าไม่เลว แต่รอยยิ้มค่อนข้างน่ารำคาญ ดูหลงตัวเองไปหน่อย
“กระบี่พิฆาตเซียนมาร” เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลินเฟยถึงได้สังเกตเห็นว่าจุดที่ฟนขึ้นมามีของสองสิ่งอยู่ด้วยจริงๆ
สิ่งแรกคือหนังสือลาตายที่ตัวเองเขียนไว้เมื่อหมื่นปีก่อน อีกสิ่งคือคัมภีร์กระบี่พิฆาตเซียนมาร
หนังสือลาตายยังไม่เท่าไรนัก สำหรับอักษรจีนแบบย่อของจีนแห่งพิภพหลัวฝูแล้ว ก็เหมือนอักษร์ ต่อให้เก็บไว้ที่หอดาบเป็หมื่นปี ก็คงไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไร
แต่ว่ากระบี่พิฆาตเซียนมาร…
จากความทรงจำจากเ้าของร่าง ดูเหมือนจะเป็หนึ่งในห้าสุดยอดวิชาสามกระบี่ห้าเคล็ดวิชาของสำนักเวิ่นเจี้ยน หากไม่ได้รับอนุญาตจากเ้าสำนัก แค่เหลือบตาดูแม้เศษเสี้ยวก็ถือว่าผิดแล้ว โทษสถานเบาคือถูกกักบริเวณสำนึกผิดเป็เวลาสิบปี ส่วนสถานหนักคือถูกขับออกจากสำนัก
“...” ชั่วขณะนั้นหลินเฟยรู้สึกอยากจะร้องไห้ก็ไม่ใช่ จะหัวเราะก็ไม่เชิง หลินเฟยคนก่อนช่างขยันทิ้งปัญหาไว้ให้จริงๆ อยู่ดีไม่ว่าดี ดันแอบมาฝึกเคล็ดวิชาดาบ ถ้าแอบฝึกวิชาทั่วไปก็ยังไม่เท่าไร แต่ดันเลือกกระบี่พิฆาตเซียนมารเสียได้ เ้าวิชานี่ถ้าเป็สำนักเวิ่นเจี้ยนเมื่อหมื่นปีก่อน มันก็แค่วิชาของพวกที่เพิ่งเข้าสำนักแค่แอบฝึกวิชาพื้นๆ เท่านั้น แต่ดันต้องมาแบกหม้อดำ*ให้แบบนี้ เ้านั่นก็จริงๆ เลย…
(*หม้อดำ หมายถึง ความผิดของผู้อื่นที่ต้องแบกรับแทน)
“ขอดูหน่อยว่าครั้งนี้จะแก้ตัวอย่างไร แอบเข้ามาฝึกเคล็ดวิชากระบี่พิฆาตเซียนมารแบบนี้ ได้เตรียมอาหารแห้งไว้เก็บตัวสำนึกผิดหรือยัง”
คนพูดมีใบหน้าที่ระบายไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสะใจ จากความทรงจำของหลินเฟยคนก่อน ถึงรู้ว่าคนตรงหน้านั้นคือใคร คนคนนี้มีชื่อว่าซ่งเทียนสิง เป็ศิษย์สายนอกเหมือนกับเขา แต่ทั้งคู่ผิดใจกันเพราะภารกิจของสำนัก มีเื่กระทบกระทั่งกันอยู่บ่อยๆั้แ่ตอนอยู่สำนักนอกจนมาถึงสำนักใน คนหนึ่งฝากตัวเข้าหุบเขาอวี้เหิง ส่วนอีกคนก็ฝากตัวเข้าหุบเขาเทียนสิง
ซ่งเทียนสิงโชคดีกว่าที่สามารถสร้างคุณความดีให้หุบเขาเทียนสิง ทำให้ได้รับสืบทอดวิชาหนึ่งในสามกระบี่ห้าเคล็ดวิชา ซึ่งก็คือกระบี่พิฆาตเซียนมาร พอฝึกวิชาสำเร็จก็ชอบมาหาเื่เขา กระบวนท่าเดียวก็เอาชนะหลินเฟยได้ แถมยังประกาศกร้าวอีกว่าทุกครั้งที่เจอจะอัดเขาให้ได้…
ที่แท้ก็รออยู่ที่นี่เอง...
น่าเสียดาย ถึงแม้จะชื่อหลินเฟยเหมือนกันแต่จะอัดข้าทุกครั้งที่เจอ ฟังดูเหมือนจะยากไปหน่อยนะ…
“ใครบอกว่าข้าแอบฝึก ?”
ซ่งเทียนสิงชะงัก ‘บ้าน่า ทำไมไม่เป็เหมือนกับทุกๆครั้งที่ผ่านมากันนะ?’
ตอนนี้เ้านี่ควรจะคุกเข่าขอร้องไม่ให้ไปรายงานสิ? จากนั้นข้าค่อยปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ปล่อยให้กอดขาร้องห่มร้องไห้สารภาพว่าจะปรับปรุงตัวใหม่ก่อนจะอบรมไปยกหนึ่ง จากนั้นเ้าหลินเฟยก็ต้องโขกหัวสำนึกบุญคุณ สุดท้ายข้าค่อยไปรายงาน แบบนี้สิถึงจะถูก...
‘แล้วทำไมถึงเป็แบบนี้ไปได้ เล่นเองเออเองแบบนี้ล่ะ?’
‘ไม่ได้ ข้าต้องทำอะไรสักอย่างเสียแล้ว’
---------------------------------------------------------------
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้