“ตึง ตึง ตึง”
เสียงระฆังดังขึ้นสามครั้ง
ระฆังของแคว้นเชินนั้นเสียงดังกังวาน กึกก้องเสียจนได้ยินพร้อมกันทั้งเมือง
เสียงตึงๆ ดังขึ้นคล้ายกับลอยเอื่อยๆ รื่นหูอยู่ในอากาศ ฟังแล้วราวกับเสียงพระสวดก็ไม่ปาน
เหล่าบัณฑิตที่กำลังเรียนอยู่ต่างพากันเงยหน้าขึ้น แล้วหลับตาฟังครู่หนึ่งด้วยใบหน้าเคลิบเคลิ้ม
เล่าลือกันว่าระฆังนี้คือสิ่งที่องค์หญิงทรงประดิษฐ์ขึ้น เสียงของมันสามารถดังกังวานไปได้ไกลไม่รู้จบ
แคว้นเชินนั้นฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล
สำนักการศึกษาก็เป็เลิศ
ชื่อเสียงโด่งดังไปทั้งใต้หล้า
การศึกษาของแคว้นเชิน บ้านเรือนของแคว้นซี อาวุธของแคว้นจิง สามสิ่งนี้นับเป็ตำนานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้าผืนนี้
หากมนุษย์หนึ่งคนเกิดมาหนึ่งชาติ แล้วได้เห็นหนึ่งในสามสิ่งนี้ก็นับว่าได้เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่แล้ว ซ้ำย่อมเป็ที่อิจฉาและเลื่อมใสในหมู่ผู้คน
หนึ่งในสามสิ่งนั้น การศึกษาของแคว้นเชินนับว่ามีชื่อเสียงที่สุด
ทว่าสำนักศึกษาเชินนั้นไม่ใช่ว่าใครก็สามารถสอบเข้าได้ ด้วยสำนักเชินนั้นนับว่าคือสำนักระดับดีเลิศที่สุดของแคว้น
แต่ถึงกระนั้นนอกจากสำนักเชินแล้ว ในแคว้นเชินก็ยังมีสำนักน้อยใหญ่แห่งอื่นอีกมากมาย
ว่ากันว่าในแคว้นเชินนี้แม้แต่พ่อค้าหาบเร่ก็ล้วนมีวัฒนธรรม
“น้องชาย เ้าเคยเรียนหนังสือรึ คำว่า ‘ชา’ บนแผงนี่เขียนได้น่ามองเหลือเกิน” ชายวัยกลางคนพุงโตในชุดผ้าไหมยกถ้วยขึ้น พร้อมดื่มไปถามไป
เด็กหนุ่มที่ยกน้ำชามานั้นสวมเสื้อผ้าซีดเก่า แค่มองก็รู้ว่าผ่านการซักมาหลายครา ซ้ำตรงชายแขนเสื้อก็มีรูเล็กๆ แต่เช่นนั้นเขาก็นับว่ารูปงามนัก ยามยิ้มออกมาก็ดูจริงใจ ฟันขาวคิ้วโก่ง ช่างทำให้คนเห็นแล้วนึกชมชอบ
ทว่าเด็กหนุ่มยังไม่ทันได้ตอบ คำถามนั้นก็ถูกชายชราสวมผ้าเนื้อหนาข้างกายเขาแย่งตอบเสียแล้ว “ไอ้เ้าเด็กเวรลู่มันจะเอาเวลาไหนไปเรียนหนังสือกัน แค่แผงชานี่ก็วิ่งวุ่นกันพอแล้ว”
ชายวัยกลางคนได้ยินเช่นนั้นก็เห็นด้วย เขาเพียงแต่เห็นว่าเ้าหนุ่มนี่รูปงามนัก จึงได้หลงคิดว่าอาจจะเป็บัณฑิต แต่แม้แคว้นเชินจะนับว่ามีการศึกษาเป็เลิศ ทว่าก็คงไม่ถึงกับว่าในถิ่นทุรกันดารเช่นนี้จะมีบัณฑิตโผล่มาได้กระมัง
“พี่ชายของข้าเขียนอักษรได้งามนัก” เสียงเล็กๆ ของเด็กสาวกล่าวขึ้น
ต่อมาก็เห็นเด็กหญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องเก็บชา
คนทั้งแผงชาที่นั่งอยู่ก็พลันพากันนิ่งเงียบ
ดินแดนทุรกันดาร แผงชา เด็กหนุ่มหน้าตาหมดจด เดิมทีก็ทำให้ชายวัยกลางคนนั้นทึ่งพอแล้ว
นี่เป็ครั้งแรกที่เขาเลือกใช้เส้นทางนี้ในการเดินทางไปค้าขาย
ที่นี่คือชายแดนของแคว้นเชินที่ติดกับแคว้นจิง เหล่าพ่อค้าไม่น้อยก็เลือกสัญจรเส้นทางนี้ เพราะสินค้าธรรมดาของแคว้นเชิน เช่น ผ้าไหม ชา และเครื่องปั้น เมื่อนำไปขายที่แคว้นจิงแล้วได้ราคาดีนัก เมื่อถึงแคว้นจิงก็สามารถนำพวกอาวุธของแคว้นจิงกลับไปขายต่อได้ ไม่ว่าจะขายให้แคว้นเชินหรือแคว้นซีก็ล้วนแต่ทำเงินได้ก้อนโต
ขอเพียงแค่มีความกล้า เื่เงินนั้นก็ไม่นับว่าต้องกังวลอะไร
เมื่อก่อนนั้นเส้นทางนี้นั้นมีโจรชุมนัก ถึงขั้นเรียกได้ว่ามีแต่ทางไปไร้ซึ่งทางกลับ มีเพียงแต่ต้องจนปัญญาแล้วจริงๆ ผู้คนจึงจะยอมสัญจรบนเส้นทางนี้ คนส่วนใหญ่สู้ยอมอ้อมผ่านแคว้นซีเสียยังดีกว่าต้องผ่านเส้นทางนี้
ทว่าสองปีมานี้ เส้นทางนี้กลับสงบขึ้นมาก
เดิมทีแม้เหล่าโจรพวกนั้นดูเหมือนจะหายตัวไป แต่ความจริงแล้วก็ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่แค่เลิกออกปล้น หันมาประกาศตัวเป็ผู้เก็บค่าผ่านทางแทน
ดูว่าใครลำเลียงสินค้าเท่าใดก็เก็บเงินเท่านั้น
แม้จะเข้าเนื้ออยู่บ้าง ทว่าคำนวณดูก็ยังนับว่าทำเงินได้อยู่ อีกทั้งสามารถวางใจได้ว่าตลอดทางนั้นจะไม่ถูกปล้น อีกทั้งหากมีโจรเข้ามาจี้ปล้นจริง กลุ่มพ่อค้าก็ไม่จำเป็ต้องลงมือเอง เหล่าผู้เก็บค่าผ่านทางนั้นจะเป็คนคอยจัดการให้แทน
อีกทั้งบนเส้นทางยังมีแผงชาอยู่หลายร้านให้เหล่าคนสัญจรได้แวะพักผ่อน หากเทียบปัจจุบันกับอดีตแล้ว สถานที่แห่งนี้นับว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว
ดังนั้นบัดนี้จึงไม่ใช่เพียงชาวแคว้นเชินที่ใช้เส้นทางนี้ แต่ชาวแคว้นซีเองก็เริ่มสัญจรด้วยเส้นทางสายนี้เช่นกัน
ในทุกๆ วันทั้งเกวียนทั้งรถม้าจึงไหลมาไม่ขาดสาย
ดังนั้นแผงชาแห่งนี้จึงไม่ได้มีเพียงชายชราสวมผ้าเนื้อหยาบที่ออกมาหางานจากหมู่บ้านใกล้ๆ เท่านั้น ทั้งยังมีแขกอีกสามโต๊ะที่ดูคล้ายชายวัยกลางคนร่างท้วมคนเมื่อครู่ที่เดินทางมาจากแดนไกล
เด็กหนุ่มใบหน้าคมสันจนทำให้คนที่ผ่านมาเห็นล้วนตาเป็ประกาย
ทว่าเด็กสาวนั้นกลับให้พวกเขาราวกับกำลังได้มองงานฝีมือชั้นเอก นางงดงามราวกับหยกสลักจากแดน์ที่ทั้งประณีตและวิจิตรนัก
ยามเห็นใบหน้าน้อยๆ นั้นก็ราวกับว่าพวกเขาได้หลุดเข้าไปอยู่ในแดนเซียน แล้วพบกับเซียนน้อยนางหนึ่งก็ไม่ปาน
ชายพุงโตวัยกลางคนที่สวมชุดผ้าไหมนั้น ถึงกับพูดจาติดๆ ขัดๆ ไปครู่หนึ่ง
“นางเป็น้องสาวเ้าหรือ” ชายวัยกลางคนมองเด็กหนุ่มที่กำลังยกชามาด้วยดวงตาร้อนผ่าว
เหล่าแขกที่นั่งอยู่ด้านนอกสุดนั้น เมื่อมาถึงก็เพียงนั่งลงดื่มชาเงียบๆ ไม่ได้กล่าวอะไร เมื่อเห็นเด็กสาวปรากฏตัวก็พลันหันมาสบตากัน
อาลู่รู้สึกจนใจเล็กน้อย จึงได้แต่พยักหน้า
เด็กหนุ่มจึงยื่นมือหวังจะจับตัวน้องสาวที่กำลังจะออกไปข้างนอกให้กลับมา ทว่าในมือก็พลันเหลือเพียงความว่างเปล่า
เฉินโย่วน้อยนั้นวิ่งสับขาสั้นๆ ของนางหนีไปซะแล้ว ซ้ำยังวิ่งเร็วนัก
“น้องสาวยังเล็กจึงได้ซนนัก ทำให้พวกท่านต้องมาเจอเื่น่าขันแล้ว” อาลู่มือหนึ่งเติมน้ำชา พร้อมกลับกล่าวไป
“คำพูดของแม่หนูนั่นช่างน่าสนใจไม่เบา เ้าหนุ่ม เ้าเขียนอักษรเป็จริงรึ กระนั้นหากเ้าเต็มใจก็ติดตามพวกข้าไปทำการค้าดีหรือไม่ พวกข้านั้นเป็คนจากตระกูลหูของแคว้นเชิน” ชายวัยกลางคนพูดถึงตระกูลหู ใบหน้าเต็มไปด้วยความยโส แม้ว่าแท้จริงแล้วเขานั้นจะเป็เพียงครอบครัวสายย่อยจากตระกูลหูก็ตาม
คนอื่นๆ ที่นั่งอยู่เมื่อได้ยินชายร่างท้วมพูดถึงตระกูลหู ก็สูดปากกันออกมาทีหนึ่ง
แม้แต่ชายชราสวมผ้าเนื้อหยาบที่อยู่หมู่บ้านใกล้เคียงก็อดจะถามขึ้นมาด้วยความใไม่ได้ “กระดาษหู ตระกูลหูงั้นรึ”
ชายร่างท้วมพยักหน้าด้วยความสำรวมอย่างภาคภูมิ
ตระกูลหูนั้นคือตระกูลที่เลื่องชื่อที่สุดในแคว้นเชิน เป็พ่อค้ากลุ่มแรกจากราชวงศ์ ได้ยินว่าพวกเขานั้นเป็ผู้สนับสนุนฮองเฮา อีกทั้งภายใต้การแนะนำขององค์หญิงผู้ทรงพระปรีชาสามารถ จึงทำให้ตระกูลหูนั้นผลิตกระดาษหูที่สามารถสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาแทนที่ม้วนไม้ไผ่ ผ้าไหม และหนังแกะที่ใช้สำหรับเขียนอักษรกันก่อนหน้าได้ ทำให้ตระกูลหูนั้นเลื่องชื่อขึ้นมา กระทั่งชายชราในหมู่บ้านห่างไกลก็ยังรู้จักตระกูลหู
มือนิ่งๆ ของอาลู่นั้นยังคงถือหม้อเหล็กอย่างมั่นคง แล้วค่อยๆ เติมชาให้เหล่าแขกในร้านต่อไป ก่อนจะส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“ข้ายังมีน้องชายน้องสาวที่ต้องดูแล มิอาจเดินทางไกลได้ ขอบคุณนายท่านหูที่เล็งเห็นความสามารถ ข้าขออวยพรให้ท่านเดินทางไกลอย่างปลอดภัย ได้รับสมบัติพัสถานกลับมาเป็เท่าทวี เมื่อถึงยามนั้นข้าขอต้อนรับท่านกลับมาเป็แขกที่แผงชาของข้าอีกครั้ง แล้วข้าจะเป็คนรินชาให้ท่านเอง”
ชายร่างท้วมเมื่อได้ยินเด็กหนุ่มกล่าวเช่นนั้นก็พลันฉีกยิ้ม เขาชอบให้คนเรียกตนว่านายท่านหูนัก ในใจกลับยิ่งรู้สึกว่าเ้าเด็กหนุ่มนี่ช่างฉลาดเฉลียวเสียจนทำให้คนนึกชอบพอจริงๆ
“ย่อมต้องมาแน่”
เด็กหนุ่มนั้นพูดจาได้ดีนัก ทว่าสายตาคนส่วนใหญ่ก็ยังคงจับจ้องไปที่แม่หนูน้อยคนนั้นอยู่ดี
แม่หนูน้อยนั้นหน้าตางดงามนัก เพียงแต่ผมบนศีรษะนั้นยังออกจะดูสั้นไปเสียหน่อย ซ้ำยังชี้โด่ชี้เด่
ชาวแคว้นเชินนั้นนับว่ามีรูปลักษณ์เป็เลิศ ดังนั้นยามอยู่ในแคว้นมองไปทางใดก็เจอแต่คนรูปงาม จึงทำให้ผู้คนรู้สึกเจริญอาหารขึ้นไม่น้อย
ทว่าอยู่ดีๆ ก็มีเด็กหญิงหน้าตาหมดจดโผล่มากลางสถานที่ทุรกันดารเช่นนี้ ออกจะน่าประหลาดใจนัก
แต่ดูจากสีหน้าชายชราแล้ว แม่หนูน้อยนี่คงจะเป็น้องสาวของเ้าเด็กหนุ่มจริงๆ
เด็กหญิงตัวน้อยเมื่อหลบเงื้อมมือของพี่ชายพ้นก็เป่านกหวีดขึ้นทีหนึ่ง ครู่ต่อมาก็เห็นเ้าม้าสีนิลปลอดตลอดร่างวิ่งมาหยุดลงตรงหน้าแผงขายชา อาลู่ที่บัดนี้กลายมาเป็หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนแล้ว กระทั่งงูเหลือมั์ เสือตัวโต หรือาาหมูป่าตัวมโหฬารเขาก็ล้วนแต่เคยสังหาร ทว่ายามอยู่ต่อหน้าน้องสาวตัวน้อยของตน เขากลับจนปัญญานัก
ได้แต่ะโไล่หลังตามไปว่า “เ้าอย่าไปเถลไถลที่ไหนเชียว มิเช่นนั้นพี่จะให้น้าหลัวตีเ้าเสีย”
“รับทราบแล้วเ้าค่ะ” เสียงใสๆ ของเด็กหญิงดังแว่วมา ทว่าร่างของนางนั่นกลับหายลับไปไกลเสียแล้ว
เหล่าลูกค้าที่มาดื่มชาที่นั่งอยู่นอกสุดก็พากันจากไปเช่นกัน
ชายที่เรียกตนเองว่านายท่านหูนั้นเมื่อเห็นว่าคนอื่นๆ เดินจากไปไกลแล้ว จึงได้กล่าวกลับอาลู่เสียงเบาขึ้นว่า “นี่ๆ เหล่าคนที่นั่งอยู่ในร้านเมื่อครู่ บนร่างพวกเขานั้นมีอาวุธ ดูท่าแล้วย่อมไม่น่าจะเป็คนดี ข้าเห็นว่าพอน้องสาวเ้าจากไป คนพวกนั้นก็ดูท่าว่าจะตามนางไป เ้าตามไปดูนางสักหน่อยเถิด”
อาลู่ฟังแล้วก็ส่ายหน้า “ขอบคุณนายท่านหูมาก ทว่าท่านคงจะเพิ่งสัญจรบนเส้นทางนี้เป็ครั้งแรกใช่หรือไม่ ถนนเส้นนี้นั้นปลอดภัยนัก ปลอดภัยเสียยิ่งกว่าในเมืองเสียด้วยซ้ำ น้องสาวข้าก็ใช้เส้นทางนี้อยู่ทุกวัน นางย่อมไม่เป็ไรแน่ ม้าของท่านดูเหมือนว่าเท้าขวาของมันยังไม่ได้หุ้มให้แข็งแรง มาเถิด ข้าจะช่วยดูให้ท่านเอง...”
ชายร่างท้วมคิดว่าตนเองนั้นคงเป็ห่วงไปเอง ทว่าเ้าเด็กหนุ่มนี่บอกว่าเท้าของม้าเขายังไม่ได้หุ้มให้แน่น เขาก็รีบเร่งไปดู พบว่ามันมีปัญหาจริงๆ ด้วยวิธีการหุ้มกีบม้านี้เป็วิธีที่องค์หญิงคิดขึ้น องค์หญิงนั้นมีพร์เป็เลิศที่สามารถคิดค้นอะไรเช่นนี้ได้ ทว่ากลับไม่ค่อยแข็งแรง ซ้ำยังหลุดง่ายนัก
ทุ่งหญ้าสีเขียวขจี ท้องฟ้าสีคราม เมฆสีขาว และอินทรีที่บินร่อนอยู่
ม้าสีนิลตัวโต บนหลังยังมีเด็กหญิงนั่งโคลงไปมา
นอกจากนี้ยังคนกลุ่มหนึ่งกำลังล้อมเข้ามา คนกลุ่มนั้นก็คือเหล่าคนที่นั่งดื่มชาอยู่โต๊ะริมสุด
เฉินโย่วน้อยนั่งอยู่บนหลังม้า แสงตะวันเริ่มแผดเผา ทว่านางนั้นกลับไม่ได้ดำเพราะอาบแดด กลับกลายเป็ยิ่งอาบแดดก็จะยิ่งขาวขึ้น นางนั้นไม่ได้รังเกียจที่จะอาบแดด เพียงแต่รังเกียจความล่าช้าเท่านั้น นางจึงได้กล่าวเสียงหนักขึ้นมาว่า “พวกท่านกำลังขวางทางข้าอยู่”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้