มาสอนบ่อยหรือ?
ฝันหวานไปแล้ว!
แววตาของศิษย์ที่เข้าเรียนมองเฉิงชิงประหนึ่งมองคนโง่
“วันนี้เ้ามาเข้าร่วมการสอบเข้าศึกษาสินะ? ถึงแม้ความรู้ของศิษย์พี่เมิ่งนั้นดียิ่ง แต่ยังคงต้องกังวลเกี่ยวกับการเตรียมตัวสอบเข้ารับราชการของตนเองอีก ไหนเลยจะมีเวลามาสอนบ่อย นี่เป็เพราะว่าสถานศึกษามีกฎให้ศิษย์พี่ในห้องเจี่ยต้องผลัดกันมาสอนสามครั้งในทุกเดือน ฉะนั้นในหนึ่งเดือน ศิษย์พี่เมิ่งก็จะมาสอนสามครั้ง แบ่งให้ห้องอี่ ปิ่ง และติง… ถึงแม้ว่าสถานศึกษาจะแบ่งศิษย์ออกเป็ห้องเจี่ย อี่ ปิง และติงสี่ห้องนี้ แต่ทุกระดับก็ยังจะแบ่งเป็ห้องแยกย่อยไปอีก ศิษย์พี่เมิ่งจะจับได้สอนห้องใดนั้นก็ไม่อาจบอกได้แน่ชัด บางห้องดวงไม่ดี จะกี่เดือนผ่านไปก็ไม่เคยเวียนมาถึง!”
เฉิงชิงคิดคำนวณอย่างเงียบงัน พอแบ่งแยกย่อยก็ไม่พอกับความ้า เช่นนั้นความน่าจะเป็ก็ค่อนข้างน้อย ไม่แปลกเลยที่ด้านนอกห้องเรียนจะมีศิษย์มานั่งกันมากมายเช่นนี้
บางคนโบกไม้โบกมือแสดงความคิดเห็นไม่พึงพอใจกับการจัดสรรของสถานศึกษา
“ห้องอี่และปิ่งสองห้องนี้ย่อม้าให้ศิษย์พี่เมิ่งไปสอน แต่ไม่รู้ทำไมห้องติงถึงมาร่วมด้วย คนกลุ่มนั้นแม้แต่การสอบเพื่อเป็บัณฑิตถงเซิงก็ยังไม่เคยสอบ ฟังการสอนของศิษย์พี่เมิ่งช่างเสียเปล่าโดยแท้ ไม่ต่างกับการใช้มีดฆ่าโคไปฆ่าไก่[1]!”
“ข้าก็ว่าจริง พวกเราที่อยู่ห้องปิ่งควรรวมตัวไปประท้วงสถานศึกษา ไม่สู้เอาโอกาสของห้องติงมาให้พวกเรา”
หลายคนยิ่งเอ่ยก็ยิ่งตื่นเต้น ใบหน้าและลำคอแดงก่ำราวกับ้าจะไปหาคนมาทะเลาะด้วย เฉิงชิงรีบก้าวเท้าเดินจากไปอย่างเงียบเชียบ
พอคนพวกนั้นรู้ตัว ย่อมต้องย้ายเป้าหมายมาที่นาง เพราะหากเฉิงชิงสอบเข้าสถานศึกษาผ่าน นางต้องเข้าศึกษาในห้องติงที่ในสายตาของหลายคนๆ เห็นว่าไม่คู่ควรที่จะฟังการสอนของเมิ่งไหวจิ่น
มองดูระดับพวกนี้แล้วน่าสนใจนักหรือ
ถงเซิงไม่ถือเป็วุฒิที่แท้จริง สอบผ่านซิ่วไฉต่างหากที่เมื่อพบขุนนางแล้วไม่ต้องคุกเข่า เป็บัณฑิตที่ได้รับการยอมรับจากเหล่าขุนนาง
เมื่อไม่มีวุฒิซิ่วไฉก็จะเป็เพียงแค่บัณฑิตสำรอง วิ่งห้าสิบก้าวหัวเราะเยาะหนึ่งร้อยก้าว[2] มีสิทธิอะไรมาดูถูกห้องติง!
แต่เดี๋ยวก่อนนะ ลานกว้างแล้วก็กลุ่มอาคารเรียนหายไปไหนเสียแล้ว นางเดินมาถึงที่ไหนกัน?
ด้านหน้าปกคลุมไปด้วยพุ่มดอกไม้ ทว่าถัดไปด้านหลังมีศาลาตั้งอยู่หลังหนึ่ง สภาพพื้นที่ค่อนข้างสูง เฉิงชิงตัดสินในเข้าไปสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบ
เมื่อห่างจากศาลาไม่มากแล้วก็พลันได้ยินเสียงคน โชคดีจริงๆ นางจะได้หาคนมาถามทาง
เฉิงชิงมุ่งหน้าไปอย่างยินดี แต่กลับได้ยินเสียงคนในศาลาหัวเราะกันเกรียวกราว
“อวี๋ซาน ทางบ้านเ้าตัดเงินเดือนเ้าจริงหรือ?”
“หุบปาก!”
แม้น้ำเสียงของอวี๋ซานจะเต็มไปด้วยความหงุดหงิด แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับไม่เกรงกลัว ทั้งยังเยาะเย้ยอวี๋ซานว่า้ายืมเงินเพื่อใช้ชีวิตอยู่ต่อไปหรือไม่
“งานชุมนุมวรรณกรรมในเดือนหน้า เ้าต้องเอาไปอย่างน้อยสักหลายสิบตำลึงนะ อวี๋ซาน เ้า้ายืมเงินข้าหรือไม่?”
“พูดได้ถูกต้อง หากแม้แต่เศษเงินยังไม่มี นั่นก็จะขายหน้าผู้คนเกินไปแล้ว!”
เหตุใดถึงเจอพวกอวี๋ซานได้นะ?
เฉิงชิงยืนลังเลอยู่ที่เดิม หรือเดินหน้าขึ้นไปถามทางดี พวกอวี๋ซานไม่แน่ว่าจะบอก แต่ก็คงไม่คิดร้ายอะไรกับนาง คิดจะหันหน้าเดินไปและแสร้งแสดงท่าทีหวาดกลัวคนพวกนี้
“หากอวี๋เสี่ยนเงินขาดมือ ค่าใช้จ่ายของเขาข้าจะออกให้ทั้งหมด”
น้ำเสียงนี้ เฉิงชิงฟังแล้วคุ้นหูนัก
ภายในศาลาก็มีเสียงคนเดาะลิ้น “เฉิงกุย เ้าช่างมีน้ำใจเสียจริง!”
โอ้ ที่แท้ก็คือเฉิงกุย เฉิงชิงล้มเลิกความคิดที่จะถามทางโดยสิ้นเชิง
เสียงของเฉิงกุยดังมาจากที่สูง “หากไม่ใช่เพราะข้า อวี๋ซานจะ… เป็เพราะเื่ภายในบ้านของข้าที่ไปพัวพันถึงอาเสี่ยน ตัวข้าย่อมร่วมทุกข์กับอาเสี่ยน”
“ข้าไม่ได้ขาดเงิน ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ต้องมาสงสารข้า!”
พออวี๋ซานตอบกลับก็เรียกเสียงหัวเราะในทันที
เด็กหนุ่มกลุ่มนี้ต่างรู้สึกว่าเองช่างมีน้ำใจ เอ่ยระบายความโกรธเกรี้ยวแทนอวี๋ซาน ทั้งที่จริงแล้วสนุกสนานเป็อย่างมาก
เฉิงชิงไม่คิดจะไปยุ่งกับเด็กหนุ่มกลุ่มนี้แล้ว คิดจะหันหลังกลับ แต่ด้วยไม่ชำนาญพื้นที่จึงไปเหยียบกิ่งไม้แห้งเข้า ภายในศาลาพลันมีคนสาดส่ายสายตามองหา “ผู้ใดอยู่ด้านล่าง? อ้า เป็เ้า!”
แต่ละคนทยอยกันชะโงกศีรษะออกมาดู แล้วก็พบกับใบหน้าของเฉิงชิง
อวี๋ซานะโอย่างแปลกใจ
“เฉิงชิง เ้าแอบฟังพวกข้าคุยกันหรือ!”
เฉิงชิงไร้คำพูด “คุณชายสามอวี๋ หากพวกเ้าจะคิดแผนลับอะไรก็ควรจะไปในห้องที่มิดชิดกว่านี้ เสียงก็ไม่ต้องดังขนาดนั้น ข้าเดินมาถึงตรงนี้ ถูกบังคับให้ต้องฟังพวกเ้าพูดคุยกัน พวกเ้าคิดว่าข้ายินยอมนักหรือ?”
บนใบหน้าเฉิงชิงเต็มไปด้วยความรังเกียจ อวี๋ซานโกรธจนแทบกระอักเืออกมา
สีหน้าของเฉิงกุยสับสน
ในสายตาของเขา เฉิงชิงเป็พวกอายุยังน้อยแต่เ้าแผนการ ทั้งยังมีความประสงค์ร้ายต่อบ้านรอง หลังจากนี้หากเขามาศึกษาอยู่ที่สถานศึกษาเดียวกัน หมายความว่าอาจมีความวุ่นวายตามมาไม่รู้จบ… แต่เมิ่งไหวจิ่นก็บอกแล้วว่าเฉิงชิงสามารถสอบผ่านได้ เช่นนั้นเฉิงชิงก็ย่อมสอบเข้าสถานศึกษาได้เป็แน่ เฉิงกุยคิดมาถึงตรงนี้ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
“ในเมื่อได้ยินว่าพวกข้าคุยกันก็ควรจะรีบเดินจากไป หากยังเสนอตัวอยู่ตรงนี้ก็ถือว่าเ้าแอบฟัง!”
อคติที่อวี๋ซานมีต่อเฉิงชิงนั้นฝังลึก ยิ่งเมื่อครู่เฉิงกุยเพิ่งบอกว่าจะร่วมทุกข์ไปกับเขา ในเวลาเช่นนี้เฉิงกุยไม่สะดวกจะเปิดปาก ดังนั้นจึงย่อมต้องเป็หน้าที่ของอวี๋ซาน
เฉิงชิงมองออกแล้ว คุณชายสามอวี๋ผู้นี้เป็ไม้ตีผ้า[3]อันหนึ่ง
เมื่อคิดถึงคำขอโทษอันสูงค่าที่เ้าเมืองอวี๋เพิ่งมอบให้มา เฉิงชิงก็ไม่อยากจะทะเลาะกับไม้ตีผ้า หมุนตัว้าจะเดินจากไป อวี๋ซานก็รีบเดินลงจากศาลา หวังจะไปดึงตัวอีกฝ่าย
“เ้าเด็กนี่ช่างไร้การสั่งสอน หากเ้าสอบเข้าสถานศึกษาได้จริง พวกข้าก็ถือว่าเป็ศิษย์พี่ของเ้า ศิษย์พี่ยังไม่เอ่ยคำ เ้าก็กล้าที่จะไปหรือ? ที่นี่ยังมีญาติผู้พี่เฉิงกุยของเ้ายืนอยู่ เ้าลืมไปแล้วหรือว่าตัวเ้าเองก็แซ่เฉิง ยังไม่รีบทักทายอีก”
ระหว่างอวี๋ซานเอ่ยคำก็คว้าแขนของเฉิงชิงไว้
เขาพอมองออกว่าร่างกายของเฉิงชิงบอบบาง แต่ไม่คิดว่าแขนจะผอมลีบเช่นนี้ ราวกับว่าเพียงออกแรงสักหน่อยเขาก็จะสามารถหักแขนนี้ได้
อวี๋ซานตกตะลึง ส่วนเฉิงชิงก็โกรธจัด
“ถึงจะไร้ค่า แต่เ้าก็ยังเป็ผู้ศึกษาตำราของอริยบุคคล สุภาพชนขยับปากไม่ขยับมือ อวี๋ซาน เ้าใช้กำลังรังแกผู้อ่อนแอ พวกเ้าทั้งกลุ่ม… ้าจะรังแกข้าไปถึงเมื่อไรกัน?!”
นางโง่เองที่แอบฟังพวกเขาพูดคุยกัน พอจะจากไปก็ไม่อนุญาต นางหงุดหงิดที่อวี๋ซานลงไม้ลงมือยื้อยุด ในชั่วขณะนั้นจึงเอ่ยถ้อยคำรุนแรง แม้แต่คุณชายสามอวี๋ก็ไม่เรียกแล้ว
เฉิงกุยรีบเดินเข้ามาใกล้ในทันที
“อวี๋ซาน เ้าปล่อยเขาก่อน เฉิงชิง พวกเราไม่ได้มีเจตนาร้าย ต่างก็เป็คนในตระกูลเฉิงด้วยกันทั้งนั้น หลังจากนี้ต้องไปมาหาสู่กันไม่น้อย สิ่งไม่ดีก่อนหน้าก็ลืมมันไปให้หมดเถิด!”
เฉิงชิงยิ้มอย่างเ็า เื่ที่ใส่ร้ายนางว่าทุจริตตอนสอบเข้า แม้เฉิงกุยจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่หลังจากนั้นเขาจะไม่ได้ยินแม้แต่น้อยเลยหรือ?
ผู้ที่ได้เปรียบก็สามารถทำตัวใจกว้างเอ่ยว่าให้ละทิ้ง ‘สิ่งไม่ดี’ ก่อนหน้าไป ส่วนผู้ที่เสียเปรียบหากกล้าไม่ให้ความร่วมมือก็จะกลายเป็มองข้ามความหวังดีของผู้อื่น เดิมทีเฉิงกุยก็ไม่ได้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนาง
เฉิงชิงไม่ตอบกลับ อวี๋ซานก็ยังคงไม่ปล่อยแขนเขา เฉิงชิงเตะไปยังข้อเท้าของอีกฝ่ายอย่างโเี้ อวี๋ซานเจ็บจนต้องปล่อยมือ
ทุกคนไม่คิดว่านิสัยของเฉิงชิงจะแข็งกร้าวเช่นนี้ ขนาดบุตรชายเ้าเมืองยังกล้ายกขาเตะ ชั่วขณะนั้นภายในศาลาเงียบสนิทไร้เสียงใดๆ ใบหน้าของอวี๋ซานก็เผยจิตใต้สำนึกที่อยากจะยกมือขึ้นต่อยคน เฉิงกุยะโ “อวี๋ซานหยุดมือ” แต่ร่างกายกลับซื่อสัตย์กว่าริมฝีปาก ยื่นนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ
แววตาของเฉิงชิงเต็มไปด้วยความโกรธ หากอวี๋ซานกล้าลงมือ นางก็ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็บุตรชายเ้าเมืองหรือไม่ ถึงจะตบตีไม่ชนะ แต่นางก็จะทำให้อวี๋ซานเต็มไปด้วยรอยแผล!
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
บริเวณพุ่มดอกไม้ไม่ไกล มีคนผู้หนึ่งยืนเอามือไพล่หลังอยู่ตรงตรอกทางเข้า ใบหน้าดั่งหยกบนศีรษะประดับกวาน สูงชะลูดดุจต้นไผ่ ถ้าไม่ใช่เมิ่งไหวจิ่นแล้วจะเป็ผู้ใดได้อีก?
อวี๋ซานไม่ได้เอามือลง แต่ก็ไม่ได้เพิกเฉยต่อหน้าเมิ่งไหวจิ่น เขาเลิกคิ้วขึ้น สีหน้าหยิ่งยโส
“ศิษย์พี่เมิ่ง นี่คือบุญคุณความแค้นส่วนตัวของพวกข้า เกี่ยวอะไรกับท่านด้วย!”
[1] มีดฆ่าโคไปฆ่าไก่ หมายถึงลงทุนลงแรงมากเกินความจำเป็
[2] วิ่งห้าสิบก้าวหัวเราะเยาะหนึ่งร้อยก้าว หมายถึงผู้ที่หัวเราะเยาะผู้ที่มีความผิดหรือข้อบกพร่องมากกว่าตน ทั้งที่ตนเองก็มีความผิดหรือข้อบกพร่องนั้นเช่นเดียวกันเพียงแต่น้อยกว่าเล็กน้อย
[3] ไม้ตีผ้า หมายถึงคนที่โง่มาก มีความคิดไม่ซับซ้อน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้