ก่อนหน้านี้่สารทฤดูที่คนอื่นๆ พากันขึ้นเขาไปล่าสัตว์แลกเงิน เขาก็ไม่อยู่ ไม่เช่นนั้นบ้านของพวกนางก็คงไม่ตกอยู่ในสภาพที่ไม่เหลือเงินสักแดงเดียวเช่นนี้หรอก ยามนี้เป็โอกาสสุดท้ายก่อนหิมะจะถล่มปิดทางขึ้นูเา เขาก็ยังไม่อยู่บ้านอีก!
“พี่เสี่ยวเตา พี่รองของข้าออกจากบ้านไปแล้ว พวกท่านไปกันเองเถอะ”
ลู่เสี่ยวหมี่แก้มป่อง ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวออกมา ท่าทางเหมือนหนูใน่สารทฤดูที่พยายามจะขโมยเสบียงไปให้ได้เต็มกระพุ้งแก้มไม่มีผิด ทำเอาคนที่รุมล้อมอยู่หน้าบ้านหัวเราะอย่างขบขัน
“น้องสาวอย่าโกรธไปเลย เดี๋ยวพี่จะล่ากระต่ายหิมะมาให้เ้าเย็บเป็ถุงมือ”
ก่อนหน้านี้ลู่เสี่ยวหมี่ถูกคนสกุลลู่ตามใจจนมีนิสัยซุกซนหยิ่งยโส จึงไม่เป็ที่ชอบพอของคนในหมู่บ้าน มาวันนี้นางเกิดป่วยหนัก ทั้งยังสูญเสียมารดาไป กลับกลายเป็รู้ความ รู้จักดูแลจัดการบ้าน ดูแลบิดาและพี่ชายแล้ว ดังนั้นคนในหมู่บ้านจึงเริ่มสงสารแม่นางน้อยที่ไร้มารดาคนนี้ขึ้นมา ยามปกติจึงเอาใจใส่ดูแลนางไม่น้อย
เรือนสกุลหลิวอยู่ถัดกันหลังจากเรือนสกุลลู่ ย่อมต้องใกล้ชิดกันเป็พิเศษ เสี่ยวเตาเห็นเสี่ยวหมี่เป็เหมือนน้องสาวแท้ๆ ของตน จึงไม่รู้สึกว่าการยกขนกระต่ายหิมะสองตัวให้นางเป็เื่ใหญ่อะไร
เดิมทีลู่เสี่ยวหมี่คิดจะปฏิเสธ แต่จู่ๆ ก็นึกไปถึงเฝิงเจี่ยนที่ห้องพักฝั่งตะวันออก จึงรีบรับคำทันที
“ขอบคุณพี่เสี่ยวเตาเ้าค่ะ ข้าไม่คิดจะเอามาทำถุงมือหรอก เพียงแต่ที่บ้านมีแขกมาพัก ข้าคิดจะทำเสื้อผ้าให้แขกสวมใส่ ท่านเองก็รู้ พี่รองของข้าแต่ละวันเอาแต่วิ่งตะลอนไปทั่ว คิดจะหวังให้เขาไปล่ากระต่ายหิมะให้ข้าสักสองตัว ไม่สู้รอพี่เสี่ยวเตาจะแน่นอนเสียกว่า”
แม่นางน้อยพูดด้วยสีหน้าหงุดหงิดในตัวพี่ชายของตนเต็มที่ ทำเอาบรรดานายพรานหนุ่มน้อยหัวเราะร่า
“เช่นนั้นน้องสาว เ้ารออยู่ที่นี่ พวกเราขอตัวก่อน”
บรรดานายพรานหนุ่มน้อยโบกไม้โบกมือก่อนจะหมุนกายจากไป ต้นเหมันตฤดู กลางวันสั้น หากยังไม่รีบทำเวลาขึ้นเขา เกรงว่าฟ้ามืดแล้วคงยังไปไม่ถึงถิ่นล่าสัตว์ที่พวกชาวบ้านชอบออกล่าเป็ประจำ
ลู่เสี่ยวหมี่ปิดประตู เห็นว่าโอกาสสุดท้ายในการเก็บกักตุนเสบียงแลกเงินตราได้ผ่านพ้นไปแล้ว ก็อดรู้สึกซึมเศร้าไม่ได้
นางกลับไม่รู้เลยว่าประโยคเมื่อครู่ของนาง บรรดานายบ่าวแห่งเรือนพักฝั่งตะวันออกต่างได้ยินกันชัดเจนทุกประโยค อย่างไรเสียก็ล้วนเป็ผู้ฝึกยุทธ์ทั้งสิ้น ไม่มีใครที่หูตาไม่ว่องไว
เฝิงเจี่ยนวางตะเกียบในมือลง ปรายตามองเด็กน้อยชุดแดงไปทีหนึ่ง จากนั้นเอ่ยเรียบๆ ออกมาสองคำ “ไปเถอะ”
เด็กน้อยชุดแดงไม่พอใจเป็อย่างยิ่ง คิดจะโต้ตอบสักสองสามประโยค แต่ไม่รู้นึกอะไรขึ้นมาได้ สุดท้ายก็เดินกระแทกเท้าปึงปังกระชากประตูออกไป
บ่าวชราหัวเราะหึหึขึ้นหน้าไปเก็บชามและตะเกียบ ปากก็โน้มน้าวเสียงเบา “คุณชาย เกาเหรินก็นิสัยเช่นนี้แหละ ท่านอย่าได้ถือสาเอาความกับเขาเลย”
เฝิงเจี่ยนพยักหน้าเบาๆ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ หันกายไปหยิบตำราเพียงเล่มเดียวที่พกติดตัวมาด้วยตอนออกเดินทางมา ระหว่างเคลื่อนไหวกลับไม่ทันระวังกระเทือนไปถึงาแที่ขา ความเ็ปเสียดลึกจนทำให้เขาเผลอคำรามออกมา หน้าผากมีเม็ดเหงื่อผุดพราย
บ่าวชราไม่วางใจ กล่าวขึ้นว่า “คุณชาย จะให้ส่งข่าวไปที่ตระกูลหรือไม่ขอรับ ให้ส่งท่านหมอมา?”
เฝิงเจี่ยนขมวดคิ้วอดทนให้ความเ็ปผ่านพ้นไป แล้วจึงสั่นศีรษะ “ในเมื่อออกมาทัศนาจร ย่อมเป็ธรรมดาที่จะหนีเื่เช่นนี้ไม่พ้น ไม่ต้องส่งข่าวกลับไป จะได้ไม่เป็การแหวกหญ้าให้งูตื่น ถึงแม้หมู่บ้านบนเขานี้จะห่างไกล แต่ความสามารถของท่านหมอก็นับว่าไม่เลว”
บ่าวชราได้ยินเช่นนั้น ก็ปรากฏแววชื่นชมพาดผ่านดวงตา ทว่าวาบขึ้นอย่างรวดเร็วจนแทบจะจับสังเกตไม่ได้
“ขอรับ คุณชาย”
เพิ่งจะเลยยามบ่ายไปเล็กน้อย พี่ใหญ่ลู่ก็กลับมาจากเข้าเมือง เงินแปดร้อยอีแปะที่ก่อนหน้านี้ใช้เสบียงอาหารแลกมา ตอนนี้ถูกนำไปแลกเป็สมุนไพรสิบกว่าห่อ
ลู่เสี่ยวหมี่ปวดใจจนอดมุมปากกระตุกไม่ได้ ดวงตาทั้งคู่ดุจมีดแหลมคมตวัดฉับไปยังพี่สามของนาง พี่สามลู่มีชนักติดหลัง รีบหาข้ออ้างหลบเข้าไปแอบอ่านตำราในห้องพักของตนเอง
...
หม้อดินใบเล็กวางอยู่เหนือเตาไฟถูกปล่อยให้เดือดปุดๆ อยู่ประมาณหนึ่งชั่วยาม เมื่อรับประทานอาหารค่ำเสร็จในที่สุดวันนี้เฝิงเจี่ยนก็ได้ดื่มยาถ้วยแรก
ลู่เสี่ยวหมี่รู้สึกผิดยิ่งนัก ดีที่เฝิงเจี่ยนร่างกายแข็งแรงกำยำ ฝืนทนมาได้หนึ่งวันเต็มๆ โดยไม่ไข้ขึ้นไม่ร้องโอดโอย ไม่เช่นนั้นหากเขาเป็อะไรขึ้นมา พวกเขาสกุลลู่ชีวิตนี้ก็อย่าคิดเลยว่าจะได้อยู่อย่างเป็สุข
แต่สกุลลู่ก็ยากจนเช่นนี้เอง ไม่ใช่ว่าไม่ตั้งใจดูแลเฝิงเจี่ยนอย่างเต็มที่ ทว่ายามนี้ทำได้ดีที่สุดเพียงเท่านี้
ผ่านไปอีกหนึ่งค่ำคืน ครั้นตื่นขึ้นมาตอนเช้า ลู่เสี่ยวหมี่สังเกตเห็นว่าบนพื้นหิมะที่ปกคลุมอยู่เหนือลานบ้านมีรอยเท้าคนเดินผ่าน นางก็รู้ทันทีว่าพี่รองสกุลลู่กลับมาแล้ว นางจึงยื่นมือออกไปปั้นหิมะสองก้อน เดินดุ่มๆ ไปยังเรือนนอนฝั่งตะวันตก
เรือนหลักฝั่งตะวันออกเป็ห้องของบิดาลู่ ห้องพักฝั่งตะวันตกเดิมเป็ห้องของพี่ใหญ่ลู่และพี่รองลู่ ยามนี้ที่พักในเรือนฝั่งตะวันออกของพี่สามลู่ยกให้เฝิงเจี่ยนเข้าพักแทน พี่น้องทั้งสามคนจึงต้องเบียดเสียดกันบนเตียงหลังเดียวราวกับเด็กน้อย
ยามนี้ดวงตะวันเพิ่งจะพ้นขอบฟ้า อากาศด้านนอกหนาวเย็นเสียดกระดูก ยิ่งขับเน้นให้ความอบอุ่นในผ้าห่มชัดเจนนัก เป็่เวลาที่เหมาะแก่การหลับใหล สามหนุ่มสกุลลู่นอนซุกกันหลับฝันหวาน ลู่อู่ตะลอนๆ อยู่ด้านนอกหลายวัน กินนอนอย่างยากลำบาก เหนื่อยล้าเป็อย่างยิ่ง ยามนี้จึงนอนกรนดังทะลุเพดานอยู่ในห้องนอน
ลู่เสี่ยวหมี่ใจั์ ยัดก้อนหิมะเข้าไปในผ้าห่มของพี่รอง
ไหล่เปลือยเปล่าของลู่อู่ จู่ๆ ก็หนาวเย็นจนทำเอาเขาตัวสั่น ะโโหยงทันที
“เป็อะไรไป เกิดอะไรขึ้น?”
พี่ใหญ่ลู่และพี่สามลู่เองก็ใตื่นเพราะความเคลื่อนไหวนี้ พากันหันซ้ายหันขวาอย่างตื่นใ
ลู่เสี่ยวหมี่ยกมือเท้าสะเอว จิ้มนิ้วไปที่กล้ามแขนของพี่รองอย่างแรงด้วยความโมโหยิ่งกว่าเดิม
“ลู่อู่ พี่กินอาหารของที่บ้านจนมีร่างกายใหญ่โตเช่นนี้ แต่โตมากลับรู้จักเอาแต่ตะลอนไปทั่ว พลาดเทศกาลล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วงไม่พอ เมื่อวานนี้พวกพี่เสี่ยวเตาขึ้นเขาไปล่าสัตว์เป็วันสุดท้าย ท่านกลับไม่อยู่บ้าน! ไหนท่านว่ามาสิ พวกเราจะมีท่านเอาไว้ทำอันใดอีก ไม่สู้อยู่ข้างนอกนั่นแหละไม่ต้องกลับมาแล้ว!”
“แหมๆ น้องสาวตัวน้อย เ้าอย่าโกรธเลยนะ” ลู่อู่ถูกน้องสาวบริภาษก็ไม่โกรธ เพียงกล่าวขออภัยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ตอนเทศกาลล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วง ข้าถูกอาจารย์สั่งให้ไปทำธุระ กลับมาไม่ทันจริงๆ แต่พี่รองไม่ได้ไม่สนใจครอบครัวนะ สองสามวันนี้ข้าและท่านอาจารย์ไปบุกรังโจรมา เดิมทีเงินสกปรกพวกนั้นต้องเอาไปแบ่งให้คนจรนอกเมือง แต่พี่แอบเก็บเอาไว้ส่วนหนึ่งสำหรับซื้อชุดใหม่ให้เ้า!”
พูดพลางยื่นมือไปหยิบถุงผ้าที่ใช้หนุนนอน รีบร้อนหยิบเอาเสื้อคลุมตัวยาวสีดอกท้อออกมาโบกสะบัดตรงหน้า “น้องสาวเ้าดูสิ นี่คือผ้าดิ้นอย่างดีเชียวนะ สีสันสดใส เ้าสวมแล้วต้องงดงามมากแน่ๆ”
ลู่เสี่ยวหมี่พยายามอดทนอย่างถึงที่สุด แล้วกลืนก้อนเืที่แทบจะกระอักออกมากลับลงคอไป “พี่รอง ครบรอบร้อยวันของท่านแม่ยังมาไม่ถึงเลย ท่านแน่ใจหรือว่าข้าจะสวมสีแดงดอกท้อได้?”
“เอ่อ...” พี่รองลู่อึ้งไป แล้วจึงรับคำเสียงเบาว่า “ข้าลืมไปเลย...”
ครั้งนี้ไม่ต้องให้เสี่ยวหมี่ลงมือ พี่ใหญ่ลู่และพี่สามลู่พากันยกหมัดขึ้น ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะรื้อฟื้นความทรงจำให้เ้ารองผู้ชาญฉลาด
ลู่เสี่ยวหมี่เองก็ไม่ห้ามทัพ ยืนกอดอกชมดูเื่สนุก
สุดท้ายยังไม่ทันได้ชมดูนานนัก ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูบ้านมาแต่ไกล
ลู่เสี่ยวหมี่รีบไปเปิดประตู พวกพี่ใหญ่ลู่เองก็รีบสวมอาภรณ์เดิมตามกันออกมา มาเคาะประตูแต่เช้าเช่นนี้ คิดอย่างไรก็คงไม่มีทางเป็ป้าแก่แม่หม้ายมาสนทนาล้อเล่นด้วย
เป็จริงดังคาด เมื่อเปิดประตูก็มีพรานหนุ่มเจ็ดแปดคนพุ่งตัวเข้ามา นำโดยหลิวเสี่ยวเตานั่นเอง
ไม่รอให้สามพี่น้องสกุลลู่เอ่ยปาก หลิวเสี่ยวเตาก็เอ่ยปากเสียงดังอย่างตื่นเต้นขึ้นมาก่อน “รีบไปดูกับข้าเร็วเข้า แขกของบ้านเ้าล่าหมีดำกับเสือได้”
พี่น้องสกุลลู่พากันใจนสูดลมหายใจเข้าลึก ถึงแม้จะบอกว่าชื่อหมู่บ้านเขาหมีของพวกเขามีคำว่าหมีอยู่ แต่หลายปีมานี้น้อยครั้งนักจะมีคนล่าหมีดำได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเสือเลย ่นี้เป็่ก่อนที่บรรดาสิงสาราสัตว์จะจำศีล จึงเป็่ที่สัญชาตญาณสัตว์กำลังดุร้ายที่สุด หากไม่ใช่พรานผู้ชำนาญการสี่ห้าคนรวมกลุ่มกัน คงไม่มีใครกล้าออกล่า
“แขกของบ้านข้า...” ลู่เสี่ยวหมี่สีหน้าสับสน รีบโบกมือแก้ไขความเข้าใจผิด “พี่เสี่ยวเตา แขกบ้านข้าได้รับาเ็ เดินเหินไม่สะดวก พวกท่านเข้าใจผิดไปแล้วกระมัง?”
“ไม่น่าจะเป็ไปได้นะ ผู้สูงส่งท่านนั้นเดินออกมาจากประตูบ้านเ้าจริงๆ...”
เหล่านายพรานหนุ่มเองก็สับสนไม่น้อย ดีที่เพียงไม่นานก็มีใครอีกคนเดินตามเข้ามา
เป็เด็กน้อยชุดแดงข้างกายเฝิงเจี่ยน ยามนี้บนบ่าเขากำลังแบกกวางแดงตัวใหญ่เข้ามา กวางแดงตัวนี้ใหญ่โตกำยำเป็อย่างมาก แทบจะบดบังร่างน้อยๆ ของเขาจนมิด หากมองจากไกลๆ คล้ายว่ากวางแดงตัวนี้กำลังเคลื่อนไหวด้วยตัวของมันเอง
ลู่เสี่ยวหมี่ใจนคางร่วงแทบถึงพื้น มิน่าเล่าเมื่อคืนนี้ถึงรู้สึกเหมือนจะขาดอะไรไป ที่แท้เพราะไม่เห็นเด็กน้อยชุดแดงนี่เอง
เด็กน้อยชุดแดงโยนกวางแดงตัวใหญ่ลงบนพื้น จากนั้นก็กวาดตามองทุกคนตรงนั้นที่มองมาอย่างอึ้งๆ เขากลอกตาตวาดว่า “ยังไม่รีบไปแบกเหยื่อที่ล่าได้หน้าหมู่บ้านเข้ามาอีก รอให้ผู้อื่นขโมยไปอยู่หรือ?”
“อา ได้ๆ”
พี่น้องสกุลลู่ทั้งสามคนรวมถึงพวกหลิวเสี่ยวเตาในที่สุดก็ดึงสติกลับมาได้ พากันวิ่งไปราวกับผึ้งแตกรัง เหลือไว้แต่เพียงลู่เสี่ยวหมี่ที่มองสำรวจเด็กน้อยชุดแดงขึ้นๆ ลงๆ สุดท้ายก็ถามออกมาว่า “เด็กน้อย เ้าได้รับาเ็หรือไม่? จะให้ข้าไปเรียกลุงสามปี้มาหรือไม่?”
คล้ายว่าเด็กน้อยจะคิดไม่ถึงว่าประโยคแรกที่นางเอ่ยออกมาจะเป็เพราะความห่วงใย จึงส่ายหน้าอย่างเอียงอาย หมุนกายกลับไปยังเรือนพักฝั่งตะวันออก
เพียงไม่นานพวกเขาก็พากันขนเหยื่อที่ล่าได้กลับมาเต็มคันรถ ตามมาด้วยบรรดาชาวบ้านที่ติดตามมาชมเื่สนุก ทั้งเด็กคนแก่รวมแล้วก็หลายสิบคน
ลู่เสี่ยวหมี่เดินเข้าไปดูเสือขนสีเหลืองทอง หมีดำขนาดใหญ่เท่าูเาลูกย่อมๆ กวางแดงตัวใหญ่กำยำ หมูป่าหนึ่งตัว กระต่ายหิมะและไก่ป่าอีกกองใหญ่ นางตื่นเต้นจนดวงตาเป็ประกาย
เดิมทีนางยังกลุ้มใจอยู่ว่าจะบำรุงร่างกายของเฝิงเจี่ยนที่าเ็สาหัสขนาดนั้นด้วยอะไร ให้ดื่มแค่ยาต้มจะใช้ได้ที่ไหนกัน? เมื่อครู่ที่นางเข้าไปหาเื่พี่รองของตนก็เพราะตั้งใจจะบีบให้เขาขึ้นเขา คิดไม่ถึงว่าเด็กน้อยของเฝิงเจี่ยนจู่ๆ จะกลายเป็ยอดมนุษย์ แบกสัตว์ป่าที่ล่าได้กลับมาด้วยสภาพราวกับจะเปล่งรัศมีออกมาจากร่างได้
คนในหมู่บ้านต่างพากันแปลกใจ วิพากษ์วิจารณ์กันไม่หยุด “เสือตัวนี้ขนงามจริงๆ ต้องขายได้ราคาดีแน่นอน!”
“นั่นน่ะสิ เ้าดูอุ้งตีนหมีดำนี่ใหญ่โตแค่ไหน เกรงว่าดีหมีก็คงจะใหญ่ไม่น้อย สัตว์อื่นๆ ยังไม่ต้องพูดถึง แค่สองตัวนี้อย่างน้อยก็ต้องขายได้หลายตำลึงเงินแล้ว”
ภรรยานายพรานหลายคนเห็นหมูป่าแล้วตาลุกวาว เนื้อเสือเนื้อหมีล้วนไม่เหมาะจะทำอาหาร แต่หมูป่านั้นเนื้อหนังทั้งร่างของมันสามารถนำมาทำกินได้ทุกส่วน โดยเฉพาะหากเอามาทำน้ำมันหมู กลิ่นหอมหวนยิ่งกว่าน้ำมันจากพืชเป็สิบเท่า
พวกเด็กๆ ยิ่งชอบอกชอบใจจนพากันปรบไม้ปรบมือไม่หยุด คนในหมู่บ้านต่างใกล้ชิดสนิทสนมกัน ปกติหากล่าสัตว์ดีๆ มาได้ ก็มักจะมาทำอาหารกินร่วมกันในหม้อใหญ่ให้ครึกครื้นไปทั้งหมู่บ้าน
ลู่เสี่ยวหมี่เองก็คิดถึงจุดนี้เช่นกัน แต่เหยื่อพวกนี้ผู้ติดตามของเฝิงเจี่ยนเป็คนหามาได้ นางไม่กล้าทำอะไรโดยพลการ
ตอนที่กำลังคิดเช่นนี้อยู่นั่นเอง บ่าวชราของเฝิงเจี่ยนก็เดินออกมาจากห้องพักฝั่งตะวันออก
บ่าวชราผมขาว รูปร่างผอมบาง คล้ายว่าจะไม่ทานทนต่ออากาศหนาว เขาสวมเสื้อคลุมบุฝ้ายหนาหนัก ท่าทางเคลื่อนไหวของเขาให้ความรู้สึกราวกับบัณฑิตอยู่หลายส่วน ทำเอาคนในหมู่บ้านพากันละสายตาออกจากเหยื่อที่ล่ามาได้มายังชายชราคนนี้แทน
ชายชรายิ้มเรียบเรื่อย ประสานมือขึ้นคารวะทุกคน จากนั้นก็หันไปมองลู่เสี่ยวหมี่ “แม่นางลู่ คุณชายของเราบอกว่าพักรักษาตัวอยู่ที่นี่อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสองสามเดือน คงต้องลำบากแม่นางจัดหาอาหารและของใช้จำเป็อื่นๆ ให้ อีกทั้งพวกเรายังออกจากบ้านมาอย่างรีบร้อน จึงไม่ได้พกเงินติดตัวมา เหยื่อที่ล่ามาได้เหล่านี้แม่นางจัดการได้ตามสมควร เงินที่แลกมาได้หากไม่เพียงพอ ก็รีบบอกให้เกาเหริน [1] ขึ้นเขาไปล่ามาใหม่ได้”
เชิงอรรถ
[1] เกาเหริน(高仁)เกา แปลว่า สูง เหริน แปลว่า คุณธรรม พ้องเสียงกับคำว่า เกาเหริน(高人)ซึ่งแปลได้ว่า คนที่มีรูปร่างสูง หรือจะเป็คำยกย่องว่า ผู้สูงส่ง ซึ่งใช้เรียกผู้มีวิชาหรือวรยุทธ์สูงส่ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้