ในใจของจีอู๋ซวงยังคงคิดไตร่ตรองถึงเื่นี้
หลังสิ้นเสียง พลันเห็นอั้นจิ่วเงยหน้าขึ้นกล่าวว่า “เข้าจวนไท่จื่อในฐานะข้ารับใช้ เท่ากับนางเป็คนของนายท่าน ย่อมต้องแบ่งเบาความกังวลในการถอนพิษของเขา นั่นมิใช่เื่ที่แน่นอนอยู่แล้วหรือขอรับ?”
“ช่างไร้เดียงสานัก”
เมื่อได้ยินคำพูดของอั้นจิ่ว จีอู๋ซวงจึงกลอกตาใส่เขา “แม้ข้าจะไม่รู้ว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่เป็คนเยี่ยงไร แต่หลังจากพบกันมาสองสามครา ย่อมทราบว่านางมิใช่คนที่ควรไปมีเื่ด้วย หากนางได้เข้าจวนไท่จื่อจริง สิ่งแรกที่นางทำคงมิพ้นคิดว่าจะฆ่าพวกเ้าอย่างไรดี ยิ่งถ้ารู้ว่าข้ากับนายท่านของเ้าเป็พวกเดียวกัน เกรงว่านางก็คงไม่ปล่อยข้าไปง่ายๆ เช่นกัน”
จีอู๋ซวงลูบคางพลางเอ่ยปากอีกครั้ง “ทว่ามีอยู่ในมือย่อมดีกว่าไม่มี ได้ เ้าจงกลับไปบอกนายท่านของเ้า เื่นี้ข้ารู้ว่าควรจัดการเช่นไร”
อั้นจิ่วพยักหน้า ก่อนก้าวถอยหลังจากไป
จีอู๋ซวงนั่งคิดใคร่ครวญอยู่บนเก้าอี้ครู่หนึ่ง เขาคิดว่าเื่นี้นับวันยิ่งน่าสนใจนัก แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าคุณหนูตระกูลมู่ มู่อันเหยียนผู้นั้นจะมารับเงินในวันพรุ่ง... อา ช่างเถิดๆ ไม่คิดแล้ว พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่
ฮวาเหยียนในตอนนี้ไม่รู้สักนิดเลยว่าร่องรอยการเดินหมากของนางถูกเปิดเผยแล้ว และนางกำลังก้าวเข้าไปในกับดักที่ตี้หลิงหานวางเอาไว้ทีละก้าวๆ
...
ณ โรงน้ำชาซินเยว่
เช้าตรู่วันนี้ ั้แ่ที่ท้องนภาเพิ่งส่องแสงเรืองรอง มู่เสวียนเย่ก็จัดเตรียมสัมภาระเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขานอนไม่หลับทั้งคืน เอาแต่พลิกตัวไปมาขณะถือกุญแจสีทองอันเล็กไว้ในมือ ส่วนในหัวก็มีเพียงภาพรอยยิ้มงดงามของมู่เฉิงอิน
เขาไม่ใช่พวกใจเสาะ เมื่อตัดสินใจสิ่งใดได้ก็จะลงมือปฏิบัติทันทีโดยไม่รีรอ
ดังนั้นหลังจากที่ทราบเื่จากน้องหญิงว่าแม่นางมู่ได้มอบกุญแจทองที่เป็ของติดกายของนางให้กับเขา และขอนัดเพื่อพบหน้าอีกครั้ง เขาจึงมาที่นี่โดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
เขาเป็คนซื่อตรงและซื่อสัตย์ โตมาจนป่านนี้ไม่เคยทำเื่ใดให้รู้สึกผิดบาปในใจ แต่สำหรับแม่นางมู่เฉิงอิน เขากลับรู้สึกผิดต่อนางอย่างแท้จริง
และเมื่อท้องฟ้าทอแสงสว่าง เขาก็ตระเตรียมของจนเสร็จแล้วออกจากจวนไป
อย่างน้อยเขาก็ไม่อาจให้สตรีเป็ฝ่ายที่ต้องรอคอย
เขาจดจำเวลานัดได้ ซึ่งก็คือตอนใกล้เที่ยงวัน ดังนั้นเขาจึงไปแต่เช้า ทว่าโรงน้ำชาซินเยว่ยังไม่เปิดทำการ เขาจึงยืนรออยู่ที่หน้าประตู
ยืนนิ่งราวกับต้นซง [1] จนโรงน้ำชาเปิด
เขาเป็แขกคนแรกที่เข้าไปในโรงน้ำชา นั่งมาตลอดเช้าจนกระทั่งจำนวนคนในโรงน้ำชาเพิ่มขึ้นทีละน้อย และเวลาที่นัดกันไว้ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เขารู้สึกประหม่าอย่างอธิบายไม่ถูกจนเผลอดื่มชาไปเป็เหยือกโดยไม่รู้ตัว และเพราะนั่งอยู่นานแล้ว ดังนั้นจึงรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมาเล็กน้อย ชายหนุ่มลุกขึ้นก่อนจะเดินออกจากประตูไป
ว่าแล้วก็บังเอิญนัก เวลานี้มู่เฉิงอินเดินเข้ามาพร้อมกับสาวใช้พอดี เนื่องจากนางจองห้องส่วนตัวเอาไว้ จึงเดินตรงไปที่ห้องดอกโบตั๋นทันที ในตอนที่เข้าไปนั้น บนโต๊ะก็เต็มไปด้วยแตงผลไม้และของว่างแล้ว
“คุณหนู ดูเหมือนแม่นางเหยียนจะมาถึงก่อนแล้วนะเ้าคะ”
หลิงหลงแย้มรอยยิ้มน่ารัก
มู่เฉิงอินพยักหน้าและยิ้มตอบนางเช่นกัน “ไม่รู้ว่าน้องหญิงเหยียนไปที่ใดแล้ว พวกเรารอนางที่นี่กันเถิด”
“เ้าค่ะ”
หลิงหลงพยักหน้า
ทั้งสองเข้าไปในห้อง
เพิ่งนั่งลงได้สักพัก พวกนางก็ได้ยินเสียงฝีเท้ารีบร้อนและเป็กังวลมุ่งตรงมาทางนี้
“คุณหนู ข้าน้อยจะออกไปดูให้นะเ้าคะ เกรงว่าแม่นางเหยียนคงมาถึงแล้ว”
หลิงหลงยิ้มหวาน นางวิ่งไปที่ประตูแล้วเปิดมันออก
ทันทีที่มู่เสวียนเย่เดินมาถึงประตู ยังไม่ทันที่เขาจะยื่นมือออกไป ประตูก็ถูกเปิดจากด้านในเสียแล้ว เขายืนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ส่วนหลิงหลงผู้มาเปิดประตู ทีแรกใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่เมื่อพบว่าผู้ที่ยืนหน้าประตูเป็มู่เสวียนเย่ นางก็พลันใจนแข็งค้างไปทั้งตัว
เหตุใดท่านผู้บัญชาการมู่จึงมาอยู่ที่นี่ได้?
เนื่องจากหลิงหลงยืนอยู่หน้าประตู และมู่เสวียนเย่โดนขวางอยู่ตรงนั้น ด้วยเหตุนี้มู่เฉิงอินจึงไม่สามารถมองเห็นคนที่ยืนอยู่อีกฝั่งของประตูได้
“หลิงหลง เกิดอันใดขึ้นหรือ? เหตุใดจึงตื่นใเช่นนั้น?”
เมื่อมู่เฉิงอินเห็นว่าหลิงหลงที่เพียงเปิดประตูก็ยืนตะลึงแข็งทื่อ นางจึงเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย ก่อนจะลุกขึ้นเดินตามไปที่ประตู
“ผะ ผู้บัญชาการมู่...”
ในที่สุดหลิงหลงก็กลับมาได้สติ นางรีบเปิดปากพูด
ทว่ายามนี้มู่เฉิงอินที่เดินมาถึงหน้าประตูก็เห็นมู่เสวียนเย่แล้วเช่นกัน
ดวงตาสองคู่สบประสาน ฟ้าดินไร้ซึ่งเสียงใดขับขาน
พริบตานั้นราวกับสรรพสิ่งรอบตัวล้วนหายวับไปไม่มีอยู่จริง
เ้าสบตาข้า ข้าสบตาเ้า
มู่เฉิงอินไม่คาดคิดว่าคนที่ยืนอยู่ที่หน้าประตูจะเป็มู่เสวียนเย่ นางจึงยืนตกตะลึงนิ่งค้างไป วันนี้เสื้อผ้าอาภรณ์ของนางเป็สีม่วง นางยืนอยู่ตรงนั้น ผอมเพรียวราวกับดอกติงเซียง [2] ที่เบ่งบานท่ามกลางแสงแดด บอบบางและอ่อนโยนเป็อย่างยิ่ง
“แม่นางมู่ เ้ามาแล้ว”
เป็มู่เสวียนเย่ที่รู้สึกตัวและเอ่ยปากขึ้นมาก่อน
“อืม…”
มู่เฉิงอินยังคงมึนงงอยู่เล็กน้อย พลางพยักหน้าอย่างตื่นตะลึงด้วยไม่คาดคิดมาก่อนว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงประตูจะเป็ชายที่นางพึงใจให้ นางมึนงงเสียจนแม้แต่สมองก็หยุดนิ่งไปชั่วขณะ เป็เหตุให้ไม่ได้ยินสิ่งที่มู่เสวียนเย่พูด เพียงตอบรับไปคำหนึ่งด้วยความใเท่านั้น ยามนี้แก้มของนางแดงเปล่งปลั่งขึ้นมาทันที
“เข้าข้างในกันก่อนเถิด”
มู่เสวียนเย่กล่าว
หลิงหลงหลบร่างตนให้พ้นทาง ส่วนมู่เฉิงอินก็เอียงตัว หลีกทางให้เขาเข้ามาเช่นกัน
มู่เสวียนเย่พยักหน้าอย่างมีมารยาทให้มู่เฉิงอินและเดินเข้าไปในห้อง
ปฏิกิริยาตอบรับของหลิงหลงเองก็รวดเร็วเช่นกัน นางยื่นหัวออกไปมองซ้ายทีขวาที เมื่อไม่มีผู้ใดเห็น ใช้แรงผลักเพียงครั้งเดียวนางก็ปิดประตูได้แล้ว
มู่เสวียนเย่งุนงงไปครู่หนึ่ง แต่เขาก็เดินตามเข้ามาในห้อง ทั้งมีภรรยาตัวน้อย มู่เฉิงอินตามหลังเขามาเช่นกัน
ทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนจะหลบสายตาไปคนละทาง
“แม่นางมู่ เชิญนั่ง”
มู่เสวียนเย่กล่าว
“คุณชายมู่ เชิญนั่งเช่นกันเ้าค่ะ”
มู่เฉิงอินเองก็เอ่ยปาก หลังจากมู่เสวียนเย่พยักหน้า ทั้งสองก็นั่งลงพร้อมกัน
ภายในห้องเงียบสงัดนัก คนทั้งคู่ต่างไร้คำเอ่ย
มู่เสวียนเย่คิดจะเปิดปากกล่าวบางสิ่งสักหน่อย ทว่าเดิมทีเขาก็มิใช่คนพูดเก่ง มิหนำซ้ำยามนี้ต้องเผชิญหน้ากับสตรีที่เขามีใจให้ ทั้งยังรู้สึกผิดต่อนาง เขาจึงไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นบทสนทนาอย่างไรจริงๆ
อีกทั้งมู่เฉิงอินก็ยังไม่มีทีท่าตอบสนองอันใด ไยคุณชายใหญ่ตระกูลมู่จึงมานั่งอยู่ตรงข้ามนางได้เล่า?
ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไป ทั้งสองจึงยังเงียบนิ่งไร้วาจา
“คุณชายมู่ ท่านเองก็มาดื่มชาหรือเ้าคะ?”
มู่เฉิงอินเห็นว่าหากนางไม่เป็ฝ่ายเปิดปากก่อน เกรงว่าบุรุษที่นั่งอยู่อีกฝั่งก็คงไม่พูดเช่นกัน ใบหน้าของเขาเคร่งเครียด คล้ายว่าประหม่าเป็อย่างยิ่ง เมื่อคิดถึงนิสัยของมู่เสวียนเย่ นางทราบดีว่าเขาเป็คนไม่กล่าววาจามากความ ทั้งยังมีนิสัยเ็า สุดท้ายนางจึงเป็ฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนาก่อน สร้างความอบอุ่นพาให้บรรยากาศน่าอึดอัดใจเลือนหายไป
เมื่อได้ยินสิ่งที่มู่เฉิงอินกล่าว มู่เสวียนเย่พลันขมวดคิ้ว เขาเงยหน้าขึ้นตอบ “อืม”
จบแล้ว
ไม่มีคำใดเอ่ยต่อ
มู่เสวียนเย่มิใช่คนช่างเจรจา เพียงคำพูดเดียวก็ถือว่ามากเกินพอแล้ว
มู่เฉิงอินเม้มริมฝีปาก นางเหลือบมองเวลา คิดว่าน้องหญิงเหยียนน่าจะใกล้มาถึงแล้ว ทว่ายามนี้นางกลับได้พบคุณชายใหญ่ตระกูลมู่ ใจของนางยังคงเต้นอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่คุณชายใหญ่ตระกูลมู่เดินเข้ามาในห้อง หรือเพราะเขามีบางสิ่ง้าเอ่ยกับนาง?
“คุณชายมู่ ท่านมีเื่อยากกล่าวกับเฉิงอินหรือเ้าคะ?”
มู่เฉิงอินถามขึ้นอีกครั้ง
“อืม”
มู่เสวียนเย่เองก็พยักหน้าอีกหนเช่นกัน
มู่เฉิงอินเหลือบมองหลิงหลง “หลิงหลง เ้าไปเฝ้าที่หน้าประตู อีกสักพักเมื่อข้าเรียก เ้าค่อยเข้ามา”
“เ้าค่ะๆ ข้าน้อยทราบแล้ว คุณหนูใหญ่ค่อยๆ สนทนากับคุณชายมู่เถิดนะเ้าคะ”
หลิงหลงได้สติกลับมาตั้งนานแล้ว แม้นางจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆ คุณชายใหญ่ตระกูลมู่ถึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้ แต่เมื่อนึกถึงใจของคุณหนูใหญ่ โอกาสที่ได้ติดต่อกับคุณชายใหญ่ตระกูลมู่เป็การส่วนตัวเช่นนี้ ย่อมเป็เื่ยากเสียยิ่งกว่ายาก ดังนั้นนางจึงรีบพยักหน้าตอบรับ และวิ่งไปเฝ้าที่หน้าประตูห้องทันที
ทันทีที่หลิงหลงจากไป ทั้งสองคนก็ถูกทิ้งให้อยู่ในห้องตามลำพัง
“แม่นางมู่”
เชิงอรรถ
[1] ต้นซง หมายถึง ต้นสน
[2] ดอกติงเซียง 丁香花 (Dīng xiāng huā) หมายถึง ดอกไลแล็ก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้