“เสด็จแม่ องค์ชายใหญ่ป่วยเป็โรคประหลาดอันใดหรือ? แม้แต่หมอหลวงก็หาสาเหตุไม่ได้” มู่จื่อหลิงมิได้ร้อนรนไปกับนางด้วย ฮองเฮาไม่ยอมพูด ทว่านางมีเวลา ท้ายที่สุดผู้ที่ทุกข์ทรมานก็ยังเป็หลงเซี่ยวหลี
เห็นท่าทางอึกๆ อักๆ ของฮองเฮา ไทเฮาก็เปิดปากเอ่ยง่ายๆ “องค์ชายใหญ่ไม่รู้ว่าเป็อันใด เข้าไปใกล้ตัวสตรีไม่ได้”
แม้มู่จื่อหลิงจะรู้อยู่แล้ว แต่พอได้ยินไทเฮาพูดเช่นนี้ นางก็อยากหัวร่อนัก
นอกจากนางที่รู้ว่าเพราะเหตุใดหลงเซี่ยวหลีจึงเป็เช่นนี้ คนทั่วไปคงจะคิดไปว่าเหตุที่หลงเซี่ยวหลีเป็เช่นนี้ มิใช่เพราะััสตรีมากเกินไปหรือ ไทเฮาก็ไม่ทราบว่าอันใดเช่นกัน แต่วาจานี้ก็พูดได้อย่างรื่นหูเสียจริง
“เข้าไปใกล้ร่างกายสตรีไม่ได้? หม่อมฉันไม่เคยเห็นอาการเจ็บป่วยเช่นนี้มาก่อนเพคะ” มู่จื่อหลิงแสร้งทำทีไตร่ตรองพลางกล่าว
ยามนี้นางอยากเห็นท่าทางของฮองเฮาที่แบกใบหน้าแก่ๆ นั่นมาขอร้องให้นางไปรักษาหลงเซี่ยวหลียิ่งนัก
ดังคาด เมื่อฮองเฮาได้ยินคำพูดนี้ก็ร้อนรนขึ้นมา ยามนี้หาได้มีท่าทางมารดาแห่งใต้หล้าไม่
“หลิงเอ๋อร์ เ้าก็ช่วยไปตรวจดูเถิด โรคทางสมองที่เซี่ยวหนานเป็มาหลายปีเ้าก็รักษาหายได้ มิแน่ว่าครั้งนี้ก็รักษาได้” ฮองเฮากล่าวอย่างกระสับกระส่าย
ยามประสบเื่ราวต่างๆ นางมักจะสุขุมเยือกเย็น หากหลงเซี่ยวหลีมิใช่บุตรชายเพียงคนเดียวของนาง คาดว่านางคงไม่เสียกิริยาเช่นนี้ต่อหน้าคนทั้งหมด
“หม่อมฉันสามารถช่วยตรวจดูได้ แต่จะรักษาได้หรือไม่นั้นหม่อมฉันมิกล้ารับรอง” มู่จื่อหลิงแกล้งทำทีเป็กังวล
“หลิงเอ๋อร์พยายามเต็มที่ก็ดีแล้ว อายเจียจะไม่ทำให้เ้าลำบากใจ” แม้ไทเฮาจะกล่าวเช่นนี้ ทว่าในใจกลับมิได้คิดเช่นนี้ หากรักษาไม่หาย เ้าก็อย่าได้ฝันว่าจะจากไปได้
“หม่อมฉันจะต้องทุ่มเทสุดความสามารถเพคะ” มู่จื่อหลิงกล่าวอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน
ไทเฮาปากไม่ตรงกับใจ ในใจนั้นจะวางแผนอันใดอยู่นางมิอาจรู้ได้ และจะไม่บอกว่านางมีความมั่นใจถึงสิบส่วน หรือต่อให้ไม่มี นางก็ไม่เกรงกลัวว่าไทเฮาจะเล่นลูกไม้ใดอยู่เื้ั
หลงเซี่ยวหลีไม่เหมือนหลงเซี่ยวหนาน คาดว่าไทเฮาและฮองเฮานั้นไม่อยากให้เขาเกิดเื่ มิเช่นนั้นคงไม่เรียกนางเข้ามาด้วยตนเอง
“อายเจียล้าแล้ว พวกเ้าไปดูก่อนเถิด” ไทเฮาโบกมือให้ฮองเฮาพามู่จื่อหลิงไปดูหลงเซี่ยวหลี
บุตรชายของฮ่องเต้ ไม่ว่าใครนางก็ไม่ไปใส่ใจให้มากนัก เพียงแต่ฮองเฮาเป็คนที่ได้รับความคาดหวังจากนางมากที่สุดในบรรดาสนมชายา และยามนี้หลงเซี่ยวหลีก็ยังมีประโยชน์กับนางอยู่บ้าง หากรักษาได้ก็ช่างเถิด แต่รักษามิได้นางก็ไม่เสียหาย แล้วยังมีโอกาสจัดการมู่จื่อหลิงอีกด้วย
-
ฮองเฮาพามู่จื่อหลิงไปที่ตำหนักของหลงเซี่ยวหลี ยังไม่ทันเข้าไปใกล้ ก็มีเสียงโกรธจัดของหลงเซี่ยวหลีลอยออกมา “แค่หมอไร้น้ำยากลุ่มหนึ่ง เปิ่นหวงจื่อจะเก็บไว้ทำอันใดกัน”
มู่จื่อหลิงรู้ว่าหลงเซี่ยวหลีฆ่าคนอีกแล้ว นางไม่สนใจว่าฮองเฮาจะอยู่ด้วย วิ่งขึ้นไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ใช้เท้าเตะประตูที่ปิดสนิทให้เปิดออก
คนรอบข้างถูกการกระทำนี้ของมู่จื่อหลิงทำให้ตกตะลึง พวกเขานึกไม่ถึงว่าฉีหวางเฟยจะกล้าหาญเช่นนี้
ในตำหนัก หลงเซี่ยวหลีที่กำลังจะแทงดาบลงก็ชะงักลง จ้องมองไปทางผู้บุกรุกที่ถีบประตูผู้นั้นอย่างดุร้าย
หลงเซี่ยวหลีเห็นมู่จื่อหลิงตรงหน้า ดวงตาก็สว่างวาบ เอ่ยปากออกมาอย่างมิทันรู้ตัว “มู่จื่อหลิง...อุ๊ก!”
ยังไม่ทันพูดจบหลงเซี่ยวหลีก็อาเจียนออกมาอย่างหมดสภาพ ราวกับว่าสิ่งของในท้องนั้นถูกอาเจียนออกมาจนหมดแล้ว เหลือแค่เพียงน้ำย่อย
ในยามปกติหากมู่จื่อหลิงได้เห็นฉากนี้ในใจต้องยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่นเป็แน่ ทว่าตอนนี้จะอย่างไรนางก็มิอาจดีใจได้ ทั้งั์ตาและในใจต่างก็แสบร้อนน้อยๆ
นางยกเท้าก้าวเข้าไปอย่างเชื่องช้า
ในอากาศคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหม็นเปรี้ยวจากคราบอาเจียนของหลงเซี่ยวหลีและกลิ่นคาวเืเข้มข้น มู่จื่อหลิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกปั่นป่วนในท้อง
แม้นางจะเพิ่งช่วยชีวิตหมอที่ใจนไม่รับรู้สิ่งใดภายใต้ดาบของหลงเซี่ยวหลี แต่ก่อนหน้าก็มีสองสามคนที่ถูกเขาฆ่าไปแล้ว แต่ละคนทั่วทั้งร่างอาบไปด้วยโลหิต นอนอย่างไร้ลมหายใจบนพื้นอันเย็นเยียบ
แม้ตนเองจะเป็หมอ เห็นการเกิดการตายมาจนชินแล้ว แต่ฉากนี้ก็ยังทำให้มู่จื่อหลิงหวาดกลัวจนผงะถอยหลัง
คนพวกนี้แม้จะไม่ถูกนางฆ่าตาย แต่ก็ตายเพราะนาง
นางรู้ว่าเพราะเื่นี้ผู้ที่ตายภายใต้เงื้อมมือหลงเซี่ยวหลีมิได้มีเพียงแค่เท่านี้ ทว่ายามนี้ก็ไม่สามารถคืนชีพมาได้แล้ว ตอนนี้ทำได้เพียงหยุดยั้งการสังหารหมู่ของหลงเซี่ยวหลีเท่านั้น
นี่เป็ครั้งแรกที่นางลงโทษคนเลวแล้วรู้สึกเสียใจ
นางไม่คิดว่าหลงเซี่ยวหลีจะโเี้เช่นนี้ หาญกล้าฆ่าคนในวังอย่างโจ่งแจ้งตามอำเภอใจ เขาสามารถกวัดแกว่งดาบปลิดชีพคนไร้ความผิดเหล่านี้ตามใจชอบ ไร้ซึ่งความปรานี ตาไม่กะพริบเสียด้วยซ้ำ
หลงเซี่ยวหลีที่ยังอาเจียนอยู่ด้านข้างเห็นมู่จื่อหลิงเดินเข้ามา ก็รีบร้อนพูดว่า “อย่า...เ้าอย่าเข้ามา...อุ๊ก!”
แม้หลงเซี่ยวหลีจะปรารถนาให้มู่จื่อหลิงเข้าใกล้เขา ทว่าก็ไม่อยากให้นางเข้ามาใกล้ สองสามวันมานี้เขาถูกทรมานจนแทบเสียสติแล้ว
ไม่ว่าจะเห็นสตรีหรือได้กลิ่นชาดกลิ่นแป้งของพวกนางเขาก็จะอ้วกออกมาไม่หยุด เขาคิดมาตลอดว่าเป็เพราะร่างกายของสนมพวกนั้นมีปัญหาจนทำให้เป็เช่นนี้อย่างกะทันหัน
มู่จื่อหลิงได้สติกลับมาจากความเศร้าสลด ชะงักฝีเท้าลง จึงเห็นหลงเซี่ยวหลีอาเจียนอย่างหมดสภาพอยู่ตรงนั้น การใช้ชีวิตใน่สองสามวันมานี้ทำเอาเขาผอมลงไปถึงหนึ่งรอบ นางมิได้เห็นใจแม้แต่น้อย ในดวงตากลับปรากฏกระแสโทสะระลอกหนึ่ง
ยามนี้นางเคียดแค้นเสียจนอยากใช้มีดพันเล่มแล่เนื้อหลงเซี่ยวหลี หากไม่ใช่เพราะ้าหยุดการฆ่าคนของเขา นางคงไม่ถอนพิษให้หลงเซี่ยวหลีโดยง่ายแน่
ฮองเฮาผู้ตามมาที่หลังเมื่อเห็นฉากนี้เข้าก็ไม่ได้รู้สึกอันใดเลยแม้แต่น้อย เสมือนว่าคุ้นเคยกับความโเี้ของหลงเซี่ยวหลี
ราวกับคนตายที่นอนอยู่บนพื้นเหล่านี้ต่อให้ตายก็ไม่สาสมกับความผิด นางไม่มองร่างของพวกเขาต่อแม้แต่เสี้ยววินาที สายตาของนางจับจ้องไปที่หลงเซี่ยวหลีที่กำลังอาเจียน เต็มไปด้วยความกังวลใจ
“หวงเอ๋อร์” ฮองเฮาเรียกออกมาอย่างปวดใจ แต่ก็ไม่กล้าก้าวขึ้นไปด้านหน้า
“อุ่ก...ออกไป ออกไปให้หมด” หลงเซี่ยวหลีอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว คำรามออกมา
“เสด็จแม่เสด็จออกไปก่อนเถิด เหลือหม่อมฉันไว้จะสะดวกกว่า” มู่จื่อหลิงกล่าวอย่างเรียบเฉย สองแม่ลูกหน้าเนื้อใจเสือคู่นี้ทำให้นางอับจนวาจาจริงๆ ชีวิตคนตั้งมากมายบทจะฆ่าก็ฆ่า
ฮองเฮามิได้ปฏิเสธ นางอยากจะก้าวไปข้างหน้าดึงมือมู่จื่อหลิง แต่ถูกมู่จื่อหลิงหลบเลี่ยงอย่างคาดไม่ถึง แต่ ณ ขณะนี้ฮองเฮานั้นไม่สนใจที่จะโมโหแล้ว กำชับกับมู่จื่อหลิงว่า “หลิงเอ๋อร์ เ้าจะต้องรักษาเซี่ยวหลีให้หาย”
“หม่อมฉันจะพยายามเพคะ!” มู่จื่อหลิงยังคงกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
หากมิใช่เพราะหลงเซี่ยวหลีฆ่าคนส่งเดช นางคงไม่มารักษาหลงเซี่ยวหลีจนหายด้วยความปรารถนาดีแน่
แต่จะดีกว่าถ้าหลงเซี่ยวหลีจดจำบทเรียนครั้งนี้ไว้ ทำแค่พอเหมาะพอควร มิเช่นนั้นครั้งหน้านางคงมิได้วางยาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และคงไม่มาถอนพิษให้เขาอย่างใจดีเช่นนี้
ฮองเฮาพยักหน้า ไม่ได้ถามต่อให้มากความ พาคนทั้งกลุ่มออกไป
หลังจากที่ฮองเฮาจากไป มู่จื่อหลิงหาที่นั่งที่ไกลจากหลงเซี่ยวหลีที่สุด นำเชือกสีแดงออกมาให้หมอนำไปมัดมือของหลงเซี่ยวหลี
แม้จะสามารถนำยาแก้พิษให้หลงเซี่ยวหลีได้ในทันที แต่นางยังต้องแสร้งทำท่าทีเสียหน่อย กลั่นแกล้งเขาอีกสักครั้ง มิเช่นนั้นหากรักษาหายในทันทีก็จะเด่นชัดจนเกินไป หลังจากหลงเซี่ยวหลีสติแจ่มใสขึ้น ก็ยากที่จะรับรองได้ว่าเขาจะไม่สงสัยตนเอง
มู่จื่อหลิงใส่ยาแก้พิษไว้บนเชือก เพียงแค่หลงเซี่ยวหลีััโดนก็จะไม่เป็ไรแล้ว แต่ว่าฤทธิ์ของยาก็จะมิได้ออกอย่างรวดเร็วเพียงนั้น
ยามนี้นางอยู่ห่างจากหลงเซี่ยวหลีอย่างน้อยสิบเมตร ต่อให้้าจับชีพจรจริงๆ ก็จับไม่ได้ นางมิใช่เทพเซียนเสียหน่อย
ท่านหมอเองก็มิกล้ารับเชือกแดงจากมู่จื่อหลิง ยังคงนอนคว่ำอยู่กับพื้นไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว มู่จื่อหลิงรู้ว่ายามนี้ไม่มีใครอยากเข้าใกล้หลงเซี่ยวหลี ด้วยกลัวว่าความผิดเล็กๆ เพียงความผิดเดียว ชีวิตน้อยๆ ก็อาจจะรักษาไว้ไม่อยู่
“องค์ชายใหญ่ ยามนี้เปิ่นหวางเฟยต้องจับชีพจรท่าน หวังว่าท่านจะให้ความร่วมมือ เปิ่นหวางเฟยต้องพยายามรักษาท่านจนหายดี” มู่จื่อหลิงไร้ทางเลือก ตอนนี้ในที่แห่งนี้มีเพียงนางที่พูดได้และกล้าพูด
ยามนี้มู่จื่อหลิงอยู่ไกลจากหลงเซี่ยวหลีนัก หลงเซี่ยวหลีจึงค่อยๆ สงบลง
ได้ยินเสียงมู่จื่อหลิงจึงเงยหน้ามองไปทางนาง หัวใจของเขานั้นก็สั่นไหวอย่างอดไม่ได้ คนงามเช่นนี้ได้แต่มองกินไม่ได้ เขาจึงยิ่งทุกข์ทรมานมากขึ้นไปอีก
“น้องสะใภ้สามสามารถรักษาโรคประหลาดของเปิ่นหวงจื่อได้จริงหรือ” หลงเซี่ยวหลีถามอย่างไม่อยากเชื่อ
หากสตรีผู้นี้รักษาเขาหายได้จริงๆ เขาก็ขอสาบาน ไม่ว่าต้องใช้วิธีใดก็ต้องเอาตัวนางมาให้ได้
เขารู้ว่าหลงเซี่ยวอวี่ไม่เคยแตะต้องสตรีผู้นี้เป็แน่ แทนที่จะปล่อยให้นางเดียวดายไปทั้งชีวิต มิสู้เขาช่วยนางสักหน เขาจะทำให้มู่จื่อหลิงกลายเป็ผู้หญิงของเขา
“เปิ่นหวางเฟยจะพยายามอย่างสุดความสามารถ หวังว่าก่อนรักษาเสร็จองค์ชายใหญ่จะไม่ทำให้หมอเหล่านี้ลำบากใจ” มู่จื่อหลิงยังคงพูดถ้อยคำพวกนี้ นางไม่รับรู้ความคิดสกปรกภายในใจหลงเซี่ยวหลีในยามนี้เลยแม้แต่น้อย
หลงเซี่ยวหลีแค่นเสียงเย็นอย่างไม่ยินยอม “หึ หมอไร้น้ำยากลุ่มหนึ่ง วันนี้เปิ่นหวงจื่อจะไว้ชีวิตสุนัขอย่างพวกเ้าชั่วคราว”
เห็นหลงเซี่ยวหลีเอ่ยปากแล้ว มู่จื่อหลิงก็สั่งหมอไปมัดเชือกสีแดงให้หลงเซี่ยวหลี แม้ท่านหมอจะอกสั่นขวัญแขวน แต่ยามนี้นอกจากฟังคำสั่งแล้วเขาจะยังทำอันใดได้อีก อีกอย่างองค์ชายใหญ่ก็พูดแล้วว่าจะไม่เอาชีวิตพวกเขาชั่วคราว
หลังจากท่านหมอมัดเชือกแดงให้หลงเซี่ยวหลีแล้ว มู่จื่อหลิงก็หาที่นั่งทรุดตัวนั่งลงไป ปิดตาลงแสร้งทำท่าจับชีพจรอย่างเชื่อมั่นในประสบการณ์ของตนเองประเดี๋ยวส่ายศีรษะ ประเดี๋ยวพยักหน้า ทำเอาใจของคนที่ดูอยู่กระเด้งกระดอนไปกับนางด้วย
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน มู่จื่อหลิงจึงลืมตาขึ้นมา
“เป็อย่างไร” หลงเซี่ยวหลีถามอย่างไม่รอช้า ท่านหมอที่อยู่ด้านข้างเองก็อยากจะรู้อย่างกระวนกระวาย ฉีหวางเฟยดูออกจริงๆ หรือ นางมีความรู้การแพทย์จริงๆ ใช่หรือไม่
“องค์ชายใหญ่เพียงแค่หมกมุ่นในกามารมณ์มากเกินไป การเร่งร้อนสำเร็จความปรารถนา ทำให้ไฟราคะย้อนกลับมาทำร้ายจึงมีอาการเช่นนี้ ขอให้วันหน้าสำรวมมากขึ้น และเปิ่นหวางเฟยเองจะเขียนเทียบยาให้ กินสองสามวันก็ฟื้นคืนกลับมาดังเดิม” มู่จื่อหลิงพูดอย่างไม่ช้าไม่เร็ว
มู่จื่อหลิงทำสีหน้าปกติหนักแน่นว่าเป็เพราะหลงเซี่ยวหลีมักมากในกาม มิอาจอดกลั้นจึงกลายเป็เช่นนี้ นางพูดเป็ช่องเป็ฉาก ราวกับเป็เช่นนี้จริงๆ ทำให้ผู้อื่นหาข้อสงสัยไม่ได้
เนื่องจากคนในที่นี้ล้วนรู้นิสัยของหลงเซี่ยวหลี แม้พวกเขาจะมิเคยได้ยินไฟราคะย้อนกลับอันใดมาก่อน ทว่ายามนี้ฉีหวางเฟยสามารถรักษาองค์ชายใหญ่ได้ ชีวิตเล็กๆ ของพวกเขาก็รักษาเอาไว้ได้แล้ว หาได้กล้าคิดอันใดให้มากความไม่
ตอนนั้นพวกเขาล้วนคิดว่าองค์ชายใหญ่เป็โรคฮวาหลิว [1] แต่อาการนั้นไม่เหมือนโรคฮวาหลิวอย่างสิ้นเชิง โรคที่เห็นสตรีก็จะอาเจียนออกมาเช่นนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน
“จริงหรือ? เช่นนั้นเ้าก็รีบสั่งยาเถิด” หลงเซี่ยวหลีถามอย่างตื่นเต้น
เขามิได้โกรธเคืองมู่จื่อหลิงที่กล่าวว่าหมกมุ่นในตัณหาเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากเป็เื่ที่ไม่สามารถปฏิเสธได้
ตอนนี้ที่เขาได้ยินก็คือโรคของเขาสามารถรักษาได้ ขอแค่รักษาได้ ไหนเลยที่เขาจะไปสนใจอะไรขนาดนั้น ยามนี้เขาก็เริ่มคิดเพ้อฝันไปแล้ว
มู่จื่อหลิงเห็นท่าทางตื่นเต้นของหลงเซี่ยวหลี ในใจก็เต็มไปด้วยความรังเกียจ ช่างเป็สุนัขที่เลิกกินอุจจาระไม่ได้จริงๆ แผลยังไม่ทันหาย ก็คิดจะะโเสียแล้ว
“องค์ชายใหญ่ สิ่งที่เปิ่นหวางเฟยพูดไปเมื่อครู่มิใช่เพียงความเร่งเร้าของกิจระหว่างชายหญิงเท่านั้น แต่เื่อื่นๆ ก็เช่นกัน ไม่อย่างนั้นต่อให้สั่งยาอีกก็คงไร้ผลแล้ว” มู่จื่อหลิงกล่าวเตือนอีกครั้งด้วย ‘ความปรารถนาดี’
ขณะนี้เองหลงเซี่ยวหลีจึงได้ฟัง แม้เขาจะรีบเร่ง แต่เขาก็ยังต้องพยายามควบคุมตนเองให้ได้
สตรีผู้นี้ร้ายกาจจริงๆ ด้วย เพียงแค่จับชีพจรก็หาสาเหตุของโรคได้แล้ว ยามนี้หลงเซี่ยวหลีนั้นจินตนาการไปจนถึงวันที่มู่จื่อหลิงยอมจำนนต่อเขาแล้ว
หากหลงเซี่ยวหลีรู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ล้วนเป็มู่จื่อหลิงบันดาลให้ก็ไม่รู้ว่าเขาจะยังพูดคุยกับนางดีๆ อยู่หรือไม่
-------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] โรคฮวาหลิว เป็โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในจีนยุคโบราณ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้