เมื่อเสียงของมู่เฉิงอินลดลง เสียงร้องของเสี่ยวไป๋ก็ยิ่งน่าอนาถมากขึ้นไปอีก ราวกับว่ามันเจ็บจนทนไม่ไหว ดั่งจิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก
มู่เสวียนเย่ “...”
ถึงเขาจะเป็คนใจกว้าง แต่ยามนี้กลับอดทำสีหน้าทะมึนไม่ได้
เมื่อจ้องเขม็งไปที่หมาป่าตัวน้อยนี้ เกรงว่าใจจริงของมันคงเริงร่ายิ่งนัก
“มันแกล้งทำ ข้ามิได้ใช้แรงเลยสักนิด”
มู่เสวียนเย่อ้าปากกล่าวอย่างผู้บริสุทธิ์ ทว่ามู่เฉิงอินกลับมองเขาด้วยใบหน้าบูดบึ้ง “เข้าใจแล้วเ้าค่ะ พี่เย่”
มู่เสวียนเย่ “...”
เหตุใดเขาจึงรู้สึกว่าสตรีตรงหน้าไม่เชื่อเขา ดูสายตาของนาง ราวกับมองเด็กน้อยที่กำลังหาเื่อย่างไร้เหตุผลเล่า?
มู่เสวียนเย่ยังคงดิ้นรนที่จะอธิบาย ทว่าทันใดนั้นหลิงหลงก็วิ่งเข้ามา บอกว่าถึงเวลารับอาหารกลางวันแล้ว มู่เสวียนเย่จึงทำได้เพียงกลืนวาจากลับลงท้องไป ทั้งสามคนเดินออกจากสวนดอกซิ่งไปที่ห้องอาหารด้วยกัน
“พี่หญิงมู่ ท่านมานั่งนี่สิเ้าคะ”
เมื่อฮวาเหยียนเห็นว่ามู่เฉิงอินกลับมาพร้อมกับพี่ใหญ่ของนาง มือน้อยจึงรีบโบกเรียกพวกเขา เมื่อมองให้ดีก็พบว่าเสี่ยวไป๋นอนอิงแอบอยู่ในอ้อมอกของพี่หญิงมู่อย่างออดอ้อน ทั้งยังหรี่ตาเป็สุข สีหน้าของฮวาเหยียนมืดครึ้มลงทันที เ้าหมาป่าตัวน้อยนี่...
รอจนกระทั่งมู่เฉิงอินเดินมาถึงตรงหน้า ฮวาเหยียนไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆ ก็ยื่นมือคว้าคอของเสี่ยวไป๋และโยนมันออกจากห้องอาหารทันที
“เอ๋งงงง...”
หมาป่าที่น่าสงสารแผดเสียงหอนแหวกอากาศ ลอยละล่องออกไปจนไกลลิบ
มู่เฉิงอินตกตะลึง นิ่งค้างไม่มีปฏิกิริยาใดตอบสนองกลับมาเลยสักนิด เสี่ยวไป๋ถูกฮวาเหยียนโยนออกไปแล้ว จนกระทั่งนางได้สติกลับมา ก็ได้ยินเพียงเสียงร้องไห้อันน่าสลดและร่างเงาสีขาวที่ลอยไกลออกไปบนท้องฟ้าเท่านั้น
มู่เฉิงอิน “...”
ทุกคน “...”
คุณหนูใหญ่ นี่มันไม่หยาบคายเกินไปหน่อยหรือ?
มู่เสวียนเย่เลิกคิ้ว ฉากนี้ทำให้เขาหายใจสะดวกขึ้นเล็กน้อย
“น้องหญิงเหยียน เสี่ยวไป๋ นี่...”
เหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้มู่เฉิงอินร้อนรนแล้ว นางรีบเร่งจะออกจากห้องอาหาร ด้วยกลัวว่าเสี่ยวไป๋จะเป็อันใดขึ้นมา
“ท่านป้ามู่ ไม่เป็ไรหรอกขอรับ เสี่ยวไป๋แตกต่างจากสัตว์เลี้ยงทั่วไป มันย่อมไม่เป็ไรแน่ ท่านแม่ของข้ามักจะฝึกมันเช่นนี้เสมอขอรับ”
เมื่อเห็นว่ามู่เฉิงอินกำลังจะร้องไห้ หยวนเป่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที
“เสี่ยวไป๋ กลับมา”
หยวนเป่าะโจนเสียงดังออกไปด้านนอก เสี่ยวไป๋ที่ถูกเหวี่ยงกระเด็นเมื่อครู่พลันกระดิกหางและย่างเท้าก้าวเล็กๆ มาปรากฏตัวที่ประตูอีกครั้ง
หงิงๆ
คิ้วของเสี่ยวไป๋ราวกับกำลังเต้นระบำ มันสั่นหัวไปมาอย่างอิ่มเอมใจ
มู่เฉิงอินเห็นแล้วประหลาดใจยิ่ง เสี่ยวไป๋มหัศจรรย์ขนาดนี้เชียวหรือ?
...
ไม่มีคนจากครอบครัวรองมาร่วมทานอาหารมื้อนี้ มู่เอ้าเทียนพึงพอใจมู่เฉิงอินเป็อย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าเขานับนางเป็ส่วนหนึ่งในครอบครัวของตนแล้ว อาหารมื้อนี้รับประทานอย่างอิ่มอกอิ่มใจ หลังมื้ออาหารผ่านไป แม้มู่เสวียนเย่จะไม่อยากจากไปที่ใด แต่อย่างไรก็ต้องไปปฏิบัติหน้าที่ต่อ สุดท้ายจึงทำได้เพียงต้องขอตัวลา
มู่เฉิงอินและฮวาเหยียนสนทนากันอยู่ในห้องอาหาร ยิ่งคุยกันมากเท่าไรก็ยิ่งถูกคอมากขึ้นเท่านั้น เพียงรู้สึกว่าพวกนางพบกันช้าเกินไป
ในจวนตระกูลมู่เปี่ยมด้วยบรรยากาศของความปรองดอง ทว่าภายนอกกลับเต็มไปด้วยห่าฝนพายุและโลหิต ข่าวลือเื่ที่เกิดขึ้นในโรงน้ำชาซินเยว่ถูกแพร่กระจายออกไป
ฉู่หลิวซวงใช้เวลาไม่นานก็ตื่นขึ้นจากอาการสลบ หลังฟื้นคืนสติ ก็เห็นได้ชัดว่านางโมโหมากเพียงใด!
นางหนีออกจากโรงน้ำชาซินเยว่ด้วยความอับอาย โดยมีฉู่รั่วหลานตามมาตลอดทาง ระหว่างทางนั้นใบหน้าของฉู่หลิวซวงเ็าเป็อย่างยิ่ง จนเกือบเป็สีหน้าเ็ากระหายเื ทุกสิ่งที่นางลำบากทำมาทั้งหมด ทุกความพยายามที่นางลงแรงมานานปี ทว่าภายใต้การต่อสู้ในวันนี้ ทุกสิ่งล้วนสูญสิ้นว่างเปล่า กลายเป็ความอัปยศที่ไม่อาจลบล้างไปจากชีวิตของนางได้!
ต่อจากนี้ไป หากมีคนกล่าวถึงจวิ้นจู่หลิวซวง พวกเขาต้องนึกถึงเื่ที่เกิดขึ้นในวันนี้แน่
ฉู่หลิวซวงน้ำตาไหลจนแทบจะกลายเป็สายเื นางเกลียด เกลียดยิ่งนัก
“มู่อันเหยียน ข้าจะไม่มีวันยกโทษให้เ้า ไม่มีวันยกโทษเป็อันขาด! ความอัปยศในวันนี้ ข้าจะให้เ้าชดใช้คืนเป็สิบเท่า!”
ฉู่หลิวซวงกัดฟันกรอด กัดจนฟันเกือบแตก! เวลานี้ดวงตาของนางแดงก่ำเป็สีเื ผมของนางยุ่งเหยิง ใบหน้าซีดเซียวราวกับผีก็ไม่ปาน ด้วยรูปลักษณ์ที่ชั่วร้ายนี้ ทำฉู่รั่วหลานอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นขึ้นมา
“ใช่แล้ว น้องหญิง พวกเราปล่อยนางไปไม่ได้จริงๆ”
ฉู่รั่วหลานพยักหน้าอย่างหนักแน่นข้างหลังนาง
“เ้าตามข้ามาด้วยเื่อันใด?”
เมื่อได้ยินเสียงของฉู่รั่วหลาน ฉู่หลิวซวงพลันหันศีรษะกลับมาคำรามใส่นาง ดวงตาสีแดงเืราวกับจะกินคน ทำให้ฉู่รั่วหลานใ แต่สุดท้ายก็เปิดปากตอบกลับอย่างไม่พอใจว่า "น้องหญิง เหตุใดเ้าต้องตะคอกใส่ข้าด้วย ข้ามิใช่คนที่ทำให้เ้าเสียหน้า อีกทั้งข้าเองก็ไม่รู้จะไปที่ใด เื่ที่เกิดขึ้นในวันนี้หากแพร่ไปถึงพระกรรณของเสด็จพ่อ เกรงว่าข้าคงกินไม่หมดจนต้องห่อกลับ [1] เป็แน่”
ฉู่รั่วหลานบ่นด้วยความขุ่นเคือง
ฉู่หลิวซวงอารมณ์เสียคุกรุ่น ในใจปรารถนาจะฆ่าคนเป็อย่างยิ่ง
นางจับจ้องลูกพี่ลูกน้องผู้โง่เขลาตรงหน้าและไม่กล่าววาจาอยู่เป็นาน ทั้งแววตาก็ดำมืดลง
“จะ เ้ามองอันใด?”
ฉู่รั่วหลานถูกดวงตาของฉู่หลิวซวงจ้องเสียจนรู้สึกอึดอัด จึงอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นและเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เ้าอยากแก้แค้นหรือไม่?”
จู่ๆ ฉู่หลิวซวงก็ถามขึ้น
“แก้แค้น? จะหาผู้ใดมาแก้แค้นเล่า? ข้าไม่ใช่เ้า มิอาจปลุกเส้นชีพจรลมปราณให้ตื่นได้ และไม่สามารถเอาชนะมู่อันเหยียนได้ ข้าจะแก้แค้นได้อย่างไร?”
ฉู่รั่วหลานกล่าวอย่างหงุดหงิด
มุมปากของฉู่หลิวซวงหยักโค้งจนเกิดเป็รอยยิ้มเ็ามืดมน แม้นางจะรำคาญลูกพี่ลูกน้องที่อกใหญ่ไร้สมองผู้นี้ ทว่าถ้ามิใช่เพราะอีกฝ่ายมีข้อดีที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ นางก็จะไม่แม้แต่ชายตาแลเป็แน่ สตรีผู้นี้ช่างโง่งมเหลือเกิน
“เช่นนั้นหลังจากนี้เ้าวางแผนไว้ว่าอย่างไร? วันนี้นับว่าเ้าได้สูญเสียทุกสิ่งอย่าง ไม่แน่ว่าทันทีที่กลับไปถึงวังหลวง ฮ่องเต้อาจจัดแจงให้เ้าแต่งออกไปยังดินแดนห่างไกลเลยก็เป็ได้”
“ว่าอย่างไรนะ? มิได้เป็อันขาด!”
เมื่อได้ยินคำพูดของฉู่หลิวซวง ฉู่รั่วหลานพลันใกลัวเป็อย่างยิ่ง ทว่าหลังจากคิดอย่างรอบคอบแล้ว ลูกพี่ลูกน้องของนางก็กล่าวได้มีเหตุผลนัก นางจึงกังวลมากขึ้นไปอีก “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี? น้องหญิงหลิวซวง โปรดช่วยข้าคิดหาวิธี ข้าชอบบุตรชายใหญ่ของตระกูลมู่ และ้าจะแต่งงานกับเขา
หลิวซวง รอจนข้าสามารถแต่งให้มู่เสวียนเย่ได้สำเร็จ เช่นนั้นข้าก็จะกลายเป็พี่สะใภ้ของมู่อันเหยียน ถึงตอนนั้นข้าย่อมมีวิธีจัดการนาง!”
ฉู่รั่วหลานกล่าว
เมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ย ฉู่หลิวซวงพลันด่านางว่าโง่งมในใจ ทว่าบนใบหน้ากลับมิได้มีทีท่าเยาะเย้ยแม้แต่น้อย
“น้องหลิวซวง ช่วยข้าคิดหาวิธีหน่อยเถิด เมื่อถึงเวลาข้าย่อมล้างแค้นให้เ้าแน่”
ฉู่รั่วหลานไว้ใจและพึ่งพาฉู่หลิวซวงเป็อย่างยิ่ง นางถือว่ายามนี้อีกฝ่ายคือกระดูกสันหลังชิ้นสำคัญ และลืมไปนานแล้วว่าเหตุที่นางต้องอับอายขายหน้าในโรงน้ำชาซินเยว่ ทั้งหมดล้วนเป็เพราะความคิดของลูกพี่ลูกน้องของนางผู้นี้
เวลานี้สตรีทั้งสองยืนอยู่ในตรอกเล็กๆ ไร้คนเดินผ่าน สภาพแวดล้อมชื้นแฉะ มีตะไคร่น้ำขึ้นหนาบนผนัง เนื่องจากพระอาทิตย์ย้อนแสง องคาพยพทั้งห้าจึงดูเ็ายิ่งนัก
ฉู่หลิวซวงก้มศีรษะลง ผมยาวที่กระจัดกระจายบนแก้มปิดบังการแสดงออกอันชั่วร้ายของนาง
นางโน้มกายเข้าไปหาฉู่รั่วหลานและกระซิบว่า “เื่นี้ ข้ามิสามารถช่วยเ้าได้ มู่เสวียนเย่ผู้นั้น นอกจากมู่เฉิงอินก็ไม่ยอมแต่งให้ผู้ใด ทั้งสองเป็ดั่งกาวที่ติดกันจนสนิท โดยเฉพาะอย่างยิ่งมู่เสวียนเย่ยังกล่าวออกมาด้วยตนเอง ‘ตลอดชีวิตไม่คิดรับอนุ’ เกรงว่าความปรารถนาของเ้าคงมิอาจทำให้สำเร็จได้”
“เป็เยี่ยงนั้นได้ที่ใด? ข้าจะแต่งงานกับเขา! ข้าจะไม่แต่งกับผู้อื่นตลอดชีวิต!”
ฉู่รั่วหลานกระทืบเท้าด้วยความโมโห
พริบตาต่อมานางก็ได้ยินฉู่หลิวซวงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแ่เบาว่า “นอกเสียจากใต้หล้านี้จะไม่มีมู่เฉิงอิน... แต่เห็นได้ชัดว่าไม่อาจเป็จริงได้ มู่เสวียนเย่กับมู่เฉิงอินกำลังจะแต่งงานกันในเร็วๆ นี้ใช่หรือไม่? ลูกพี่ลูกน้อง ข้ารู้สึกไม่ใคร่สบายนัก ต้องขอตัวกลับก่อนแล้ว”
เชิงอรรถ
[1] กินไม่หมดจนต้องห่อกลับ 吃不了,兜着走 (chī bù liǎo dōu zhe zǒu) หมายถึง อาหารที่รับประทานไม่หมดจึงฉวยโอกาสห่อเก็บไว้ในเสื้อคลุมนำออกไป เปรียบเทียบกับการก่อเื่หรือทำให้เกิดเื่ไม่ดีจนต้องแบกรับผลที่ตามมา มักใช้สำหรับตักเตือนผู้อื่นว่าจะทำเื่ใดอย่าลืมคำนึงถึงผลที่ตามมา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้