หนิงมู่ฉือเดินตามหลังจ้าวซีเหอไปอย่างเงียบๆ เดิมทีนางคิดจะเอ่ยขอบคุณเขา ทว่าพอเห็นเขามีสีหน้าบูดบึ้ง นางจึงไม่กล้าเอ่ยวาจาใดออกมา
ลมหนาวพัดมา ทำให้นางหนาวเข้าไปถึงกระดูก นางรวบรวมความกล้าเอ่ยกับจ้าวซีเหอซึ่งมีสีหน้าบึ้งตึง “ซื่อจื่อ ขอบคุณท่านมากเ้าค่ะ!”
ที่คาดไม่ถึงคือจ้าวซีเหอจะหันขวับกลับมาจ้องนางเขม็ง ก่อนจะก้าวตรงเข้ามาคว้าแขนนาง แล้วจูงพาออกเดินไปข้างหน้า “หากเ้าคิดจะขอบคุณข้าจริง เ้าก็ควรจะเข้าใจคำพูดที่ข้าเคยพูดกับเ้าไปก่อนหน้านี้!”
นางตกตะลึงนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะก้มหน้างุดอย่างน้อยใจ
จ้าวซีเหอเห็นท่าทางเช่นนั้นก็ยิ่งโมโห ออกแรงลากหนิงมู่ฉือแล้วพาเดินไปข้างหน้าอย่างไร้ปรานี หนิงมู่ฉือทนไม่ไหวจึงสะบัดแขนออก
จ้าวซีเหอหันมามองพร้อมกับเอ่ยว่า “ต้องให้ข้าพูดกับเ้าอีกกี่รอบว่าอย่าหาเื่ใส่ตัว เ้ารู้หรือไม่ว่าวันนี้เ้าเกือบจะเอาชีวิตน้อยๆ ของเ้าไม่รอดแล้ว!”
หนิงมู่ฉือน้ำตาไหลอาบแก้ม กล่าวโต้กลับจ้าวซีเหอ “ก็ข้าไม่ทราบนี่เ้าคะว่าเหตุใดพวกนางถึงทำเช่นนี้กับข้า!”
“ข้าก็บอกเ้าไปแล้วนี่ว่าอย่าใกล้ชิดกับพระสนมเต๋อเฟย พระสนมซูเฟยเห็นเ้าเป็เป้าเล่นงานก็เพราะเ้าใกล้ชิดกับพระสนมเต๋อเฟยนี่แหละ!” จ้าวซีเหอะโตอบกลับ
หนิงมู่ฉือชะงักไป จ้าวซีเหอจึงเอ่ยต่อว่า “เ้าคิดว่าเ้ายังเป็คุณหนูแห่งจวนแม่ทัพอยู่หรืออย่างไร เ้าถึงไม่รู้จักหัดถ่อมตัว เ้านี่ช่างไม่รู้เื่ราวเลยจริงๆ!” จ้าวซีเหอกล่าวจบแล้วถึงค่อยรู้สึกเสียใจทีหลัง เห็นหนิงมู่ฉือมีสีหน้าเศร้าสร้อย เขายิ่งรู้สึกปวดใจ
หนิงมู่ฉือไม่คาดคิดว่าจ้าวซีเหอจะพูดกับนางเช่นนี้ ซึ่งทั้งหมดก็ต้องโทษตัวนางเอง นางยิ้มอย่างขมขื่นขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ซื่อจื่อสั่งสอนได้ถูกต้องเ้าค่ะ!”
จ้าวซีเหอเห็นท่าทางเศร้าสร้อยของหนิงมู่ฉือก็รู้สึกรวดร้าวในใจ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะปลอบนางอย่างไรดี จึงได้แต่จูงพาเดินไปข้างหน้าทั้งอย่างนั้น
หนิงมู่ฉือนึกถึงตอนที่พระสนมเต๋อเฟยตบหน้านาง อีกฝ่ายคงจะตบเพื่อปลุกให้นางตื่น แท้ที่จริงแล้วจิตใจของคนเรานั่นยากที่จะหยั่งถึง
จ้าวซีเหอยังคงจ้ำไปข้างหน้าไม่หยุด ส่วนหนิงมู่ฉือก็ได้แต่เดินตามหลังอยู่เงียบๆ ทันใดนั้นเองจ้าวซีเหอพลันหยุดฝีเท้า หันมาเอ่ยกับหนิงมู่ฉือ “เ้าต้องจำเอาไว้ว่าตอนนี้เ้าติดหนี้บุญคุณข้าสองครั้งแล้ว”
หนิงมู่ฉือซึ่งมีสีหน้าหม่นหมองกล่าวตอบอย่างเกรงอกเกรงใจ “บุญคุณที่ซื่อจื่อช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ข้าจะจดจำไปตลอดชีวิต ไม่มีวันลืมเ้าค่ะ”
ครั้นขึ้นไปบนรถม้า ทั้งสองต่างนั่งเงียบ ไม่มีใครกล่าววาจาใดออกมา เมื่อถึงตำหนักอ๋อง ทั้งสองก็ลงจากรถม้า หลายวันมานี้หนิงมู่ฉือได้รับความใอย่างมาก กลับถึงตำหนัก ลงจากรถม้า นางเดินกลับห้องไปทันที ไม่แม้แต่จะหันหลังมองจ้าวซีเหอสักแวบเดียว
จ้าวซีเหอถอนหายใจออกมา ก่อนจะเดินตามไป เมื่อเดินตามมาทัน เขาก็กระชากตัวนางเข้ามาในอ้อมกอด จากนั้นโน้มหน้าลงไปประทับริมฝีปากด้วย หนิงมู่ฉือดิ้นขลุกขลักไปมา พยายามขัดขืนสุดแรง
ฉู่เมิ่งเอ๋อร์ที่เดินนำน้ำแกงไปให้จ้าวซีเหอที่เรือนผ่านมาเห็นเหตุการณ์นี้เข้าพอดี ถ้วยน้ำแกงพลันร่วงหลุดจากมือตกลงบนพื้น น้ำแกงหกเลอะเทอะ เศษถ้วยแตกกระจัดกระจายเต็มพื้นไปหมด ทว่านางก็ไม่สนใจ หมุนตัวเดินจากไปด้วยน้ำตาอาบแก้ม
หนิงมู่ฉือผลักจ้าวซีเหอออก ใบหน้าไม่พอใจอย่างยิ่ง เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเ็า “บุญคุณที่ซื่อจื่อช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ข้าจะจดจำเอาไว้ไม่มีวันลืม แต่ขอท่านได้โปรดให้เกียรติข้าด้วย!”
จ้าวซีเหอไม่คาดคิดว่าหนิงมู่ฉือจะเอ่ยอย่างเ็าเช่นนี้กับเขา สีหน้าเขาพลันเปลี่ยนไป เอ่ยรอดไรฟันว่า “ได้ ถือว่าข้าช่วยคนผิด หากรู้ว่าเ้าจะแล้งน้ำใจเช่นนี้ ข้าคงไม่ช่วยเ้า!”
หนิงมู่ฉือหมุนตัวเดินจากไป จ้าวซีเหอเหลือบมองฉู่เมิ่งเอ๋อร์ที่วิ่งกลับเรือนไปผาดหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาะโไล่หลังหนิงมู่ฉือ “ถ้าเ้าไป หลังจากนี้ก็อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก!”
หนิงมู่ฉือชะงักฝีเท้า หันหน้าไปเอ่ยกับจ้าวซีเหอทั้งน้ำตา “ซื่อจื่อ ท่านรังเกียจข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือเ้าคะ”
“ใช่!” จ้าวซีเหอตอบโดยไม่มองหน้าหนิงมู่ฉือ เขาใช้เท้าเตะก้อนหินแถวนั้นอย่างแรง ก่อนจะเดินกลับไปที่เรือนของตัวเองด้วยสีหน้าบึงตึง
หนิงมู่ฉือยืนอึ้งอยู่ที่เดิม นางยิ้มอย่างขมขื่นขณะมองแผ่นหลังของจ้าวซีเหอที่ค่อยๆ เดินจากไปไกลเรื่อยๆ “ได้ ถึงอย่างไรก็ใกล้จะครบหนึ่งปีอยู่แล้ว ถึงเวลาที่ข้าต้องทำตามสัญญาและถึงเวลาที่ข้าต้องคืนความสงบให้แก่ตำหนักอ๋องเสียที”
ทันใดนั้นเองนางรู้สึกเหมือนโลกหมุน จึงยกมือขึ้นนวดขมับ นางมองพระอาทิตย์ที่ส่องแสงร้อนแรงมายังศีรษะนาง ฉับพลันนั้นนางรู้สึกเวียนศีรษะอย่างรุนแรง แล้วนางก็เป็ลมล้มลงไป
หลินมู่ที่ผ่านมาเห็นรีบวิ่งเข้าไปช่วยอย่างร้อนใจ เขาอุ้มหนิงมู่ฉือขึ้นมา ก่อนจะวิ่งกลับไปยังที่พักของตัวเอง
จ้าวซีเหอกลับถึงห้องก็ไม่พูดไม่จา ฉีอันเห็นจ้าวซีเหอมีสีหน้าเ็าดุจน้ำแข็งก็ไม่กล้ากล่าววาจาใดออกมา จ้าวซีเหอเอ่ยสั่งด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยวว่า “ไปเอาสุราร้อยบุปผามาให้ข้า!”
ฉีอันมองจ้าวซีเหออย่างเป็ห่วงพร้อมกับเอ่ยถาม “ซื่อจื่อ ท่านไม่เป็ไรใช่หรือไม่ขอรับ!”
จ้าวซีเหอสะบัดแขนฉีอันที่จับข้อศอกเขาเอาไว้ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงกรุ่นโกรธ “ข้าบอกให้ไปเอาสุราร้อยบุปผามาอย่างไรเล่า!”
ฉีอันมองจ้าวซีเหออย่างไม่วางใจครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบวิ่งออกไปข้างนอกเรือน เขาสั่งข้ารับใช้ให้ไปนำสุราร้อยบุปผามาที่ห้องของจ้าวซีเหอสองไห
จ้าวซีเหอหยิบสุราร้อยบุปผาไหหนึ่งขึ้นมาดึงฝาออก ก่อนจะยกกรอกปาก กลิ่นของสุราช่างเหมือนกับกลิ่นตัวของหนิงมู่ฉือไม่มีผิดเพี้ยน จึงทำให้เขานึกถึงท่าทางเมื่อครู่ของนางขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เขาปาไหสุราลงพื้นด้วยความเกรี้ยวกราด
ฉีอันรู้สึกใยิ่งนัก รีบเอ่ยถามออกมาทันทีว่า “ซื่อจื่อ ท่านเป็อันใดไปขอรับ!”
จ้าวซีเหอะโใส่หน้าฉีอันอย่างไม่เคยเป็มาก่อน “ออกไป!”
ฉีอันรีบวิ่งออกไปทันทีเมื่อได้ยิน
หนิงมู่ฉือลูบด้านหลังศีรษะที่ปวดตุบๆ ขณะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา แล้วก็ต้องพบว่า นางอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ นางลุกขึ้นนั่งโดยพลัน มองไปที่หลินมู่ซึ่งมีสีหน้าเรียบเฉย
“หลินมู่ ที่นี่คือที่ใด” นางถามอย่างสงสัย
หลินมู่เห็นหนิงมู่ฉือฟื้นแล้ว รีบเดินเข้าไปหาด้วยความเป็ห่วง “คุณหนู ดีขึ้นหรือยังขอรับ ตอนที่ข้าน้อยพบคุณหนู ท่านเป็ลมอยู่ที่สวน ข้าน้อยจึงพาท่านมาพักที่บ้านส่วนตัวของข้าน้อยนอกตำหนักอ๋องขอรับ”
นางเลิกผ้าห่มออกอย่างร้อนใจ ลงจากเตียงพลางเอ่ย “ไม่ได้ ข้าต้องกลับไป ข้าต้องกลับไปทำอาหาร”
หลินมู่มีสีหน้าเ็าทันทีที่ได้ฟัง “คุณหนู ท่านคิดว่าท่านคือแม่ครัวจริงๆ ไปแล้วหรืออย่างไรขอรับ! ท่านลืมไปแล้วหรือว่าท่านต้องอยู่ที่ตำหนักอ๋องเพื่อการใด!”
หลินมู่แย่งเอาจดหมายมาจากอกของหนิงมู่ฉือแล้วปาลงพื้นตรงหน้านางอย่างแรง “คุณหนู ท่านต้องอย่าลืมนะขอรับว่าท่านแม่ทัพตายอย่างไร ท่านต้องไม่ลืมว่าคนสกุลจ้าวคือศัตรูของพวกเรา!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้