ในค่ำคืนที่น้ำค้างลงหนัก ณ พื้นที่รกร้างทางใต้ซึ่งห่างออกไปหลายสิบลี้จากเมืองหลวง ขบวนคนและรถม้าที่ยิ่งใหญ่หยุดนิ่ง คนรับใช้ผู้นำขบวนะโลงจากรถม้า วิ่งไปหยุดข้างรถม้ากลางขบวนก่อนเอ่ยถามออกไป
“ท่านผู้นำตระกูลจะหยุดพักที่นี่หรือขอรับ”
เสียงชายคนหนึ่งดังออกมาจากรถม้าตอบว่า “อืม” เพียงหนึ่งคำ
“แต่สถานที่นี้ห่างจากเมืองหลวงเฟิ่งเทียนไม่ไกลแล้ว อีกหนึ่งชั่วยามพวกเราจะเดินทางเข้าสู่ตัวเมือง กลางคืนน้ำค้างลงหนัก จะค้างแรมที่นี่จริงหรือขอรับ”
คนรับใช้มองไปรอบๆ รู้สึกอยู่ตลอดว่าเวลานี้ไม่ควรอยู่ที่นี่ แต่ผู้เป็นายซึ่งอยู่ในรถม้ายังคงสั่งเช่นเดิม
“ไม่เป็ไร พักชั่วคราวแล้วกัน พรุ่งนี้เช้าค่อยเร่งเดินทางต่อ หลานเหอ ให้ทุกคนพักผ่อน ทว่าระวังตัวอยู่ตลอดด้วย!”
“ขอรับ!”
หลานเหอถอยออกไป บอกคนอื่นๆ ในขบวนให้ลงจากรถม้าเพื่อพักผ่อน พื้นที่ทุรกันดารเช่นนี้ นอกจากเสียงของม้าก็ไม่มีเสียงใดอีก ผู้คนในขบวนพากันรายล้อมรอบรถม้าเพื่อพักผ่อน ในขณะที่อีกส่วนยังคงยืนใกล้ๆ และกวาดตามองไปรอบๆ คอยเฝ้าระวัง
ผ่านไปราวๆ ครึ่งโฉ่วสือ [1] ไกลออกไปมีเงาดำเคลื่อนผ่านป่าลึก ทันใดนั้นก็มีดวงตาสีเขียวปรากฏขึ้นรอบขบวนรถม้า ในบรรดาดวงตาเ่าั้มีจุดสีม่วงสองจุดเด่นขึ้นมา
เมื่อม้าส่งเสียงร้อง ทุกคนพลันตื่นจากความง่วงงุน พร้อมกับคว้าอาวุธขึ้นมาแล้วล้อมรถม้าเอาไว้
“พวกมันคืออสูร!” มีคนะโขึ้น
ใบหน้าของหลานเหอเต็มไปด้วยความสับสน กำดาบยาวในมือไว้แน่น
คนอื่นๆ ก็ไม่ต่างกัน
“เหตุใดจึงมีอสูรมากมายปรากฏขึ้นที่เมืองหลวงเฟิ่งเทียนเช่นนี้ ปกติพวกมันไม่เคยเป็ฝ่ายคิดทำร้ายมนุษย์ก่อนมิใช่หรือ!”
“ถึงขั้นนี้แล้วยังพูดจาไร้สาระอะไรอีก!” หลานเหอะโใส่ทุกคน “อย่าเพิ่งบุ่มบ่าม รอดูสถานการณ์ก่อน…”
ก่อนที่จะพูดจบก็ได้ยินเสียงกรีดร้องจากรอบนอกรถม้าเสียแล้ว
“ท่านผู้นำตระกูลเห็นท่าจะไม่ดีขอรับ อสูรเ่าั้โจมตีพวกเราแล้ว!”
“อย่าตระหนกเกินไป รีบจุดไฟเร็วเข้า หลานเหอ เ้าเอาหลานเยียน [2] ออกไปจุด!” ชายบนรถม้ายังคงมีท่าทีสงบนิ่ง น้ำเสียงไร้ความใ
หลานเหอดึงถังไม้ขนาดเล็กออกจากเอว ใช้เปลวไฟจุดไปที่ไส้ตรงกลาง เปลวเพลิงสีน้ำเงินพวยพุ่งไปบนท้องนภาส่องประกายอยู่นานไม่จางหาย
ในเวลาที่หลานเยียนลอยเด่นเหนือผืนฟ้าก็มีเงาดำปรากฏขึ้น ลำแสงสีม่วงสองสายพุ่งเป็ทางยาวเข้าไปใกล้รถม้า
ผู้คุ้มกันตอบสนองอย่างรวดเร็ว ะโขึ้นรถม้าเพื่อหยุดยั้งเอาไว้
ห่างออกไปหลายสิบลี้ ณ เมืองหลวงเฟิ่งเทียน ร่างทั้งสี่ปรากฏขึ้นที่ลานกลางชิงหลิ่วถังเกือบจะพร้อมกัน
“ูเาชุ่ยอวิ๋นทางตอนใต้ นั่นน่าจะเป็หลานเยียนของตระกูลหลานที่ใช้ขอความช่วยเหลือ ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน!” แสงสีฟ้ากระจายทั่วผืนนภายามราตรี จิ่วฟางเทียนฉีขมวดคิ้วจนเป็ตัวอักษรชวน (川)
“ตระกูลหลานหรือ แต่พวกเขาน่าจะเดินทางเข้าเมืองจากทางเหนือมิใช่หรือ แล้วมาปรากฏตัวทางใต้ได้อย่างไร” อูิโยวสงสัย
“ไปดูกัน!”
หลิ่วเฉิงเฟิงจะวิ่งออกไป แต่หลิ่วไป๋เจ๋อทัดทานไว้ก่อน
“ท่านพ่อไม่อยู่คฤหาสน์ เ้าต้องอยู่”
“มีสิทธิ์อะไรมาสั่งข้า”
“เฉิงเฟิงฟังคำข้า!”
หลิ่วเฉิงเฟิงสะบัดมือหลิ่วไป๋เจ๋อออก และเอ่ยด้วยความโกรธ
“หลิ่วไป๋เจ๋อ ท่านอย่าใช้ความเป็พี่มากดดันข้า เื่ของข้าไม่ต้องให้ท่านมายุ่ง ท่านไม่มีสิทธิ์!”
หลิ่วไป๋เจ๋อ้าเอ่ยพูดต่อ แต่อูิโยวคว้าแขนเสื้อเขาไว้จากด้านหลัง
“ปล่อยเขาไป เขาไม่ใช่เด็กแล้ว!”
ด้วยความจนใจทั้งสี่คนก็ออกเดินทางตรงไปยังูเาชุ่ยอวิ๋น ทันทีที่ออกจากประตูเมืองพวกเขาก็พบกับอูิเยี่ยและอูิหลิงที่กำลังมุ่งไปที่นั่นเช่นกัน
“ท่านพี่ใหญ่ ท่านพี่หญิง!”
“ไม่ใช่เวลามามากความ รีบไป!”
ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็เดินทางมาถึงถิ่นทุรกันดารซึ่งเป็ที่ตั้งของขบวนรถม้า ก่อนจะมองสภาพการณ์ได้อย่างชัดเจน ก็ได้ยินเสียงนกหวีดไม้ดังมาจากป่าทึบ เมื่อเหล่าอสูรได้ยินเสียงนั้นก็พากันหันหลังหายเข้าไปในป่าอย่างไร้ร่องรอย
ในขบวนรถม้ามีหลายคนที่ได้รับาเ็แต่ไม่มีผู้เสียชีวิต อูิโยวและอูิหลิงรีบเข้าไปทำการรักษา ขณะที่อูิเยี่ยและจิ่วฟางเทียนฉีรุดเข้าป่าทึบเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
หลิ่วเฉิงเฟิงตามหลิ่วไป๋เจ๋อไปยังรถม้า เมื่อหลานเหอเห็นว่ามีคนมาก็เข้าไปหาทั้งคู่ด้วยสภาพสะบักสะบอม
“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ ไม่ทราบว่าพวกท่านเป็คุณชายคุณหนูจากตระกูลใดหรือ”
ขณะที่หลิ่วเฉิงเฟิงกำลังจะเอ่ยปากพูด หลิ่วไป๋เจ๋อก็แทรกขึ้นก่อน
“ในรถม้าไม่ใช่ท่านผู้นำตระกูลหลาน!”
น้ำเสียงของหลิ่วไป๋เจ๋อหนักแน่น
หลานเหอเงยหน้าขึ้นปรากฏแววตื่นใ คุณชายเบื้องหน้ามีลักษณะที่โดดเด่น เพียงแต่ดวงตาทั้งสองกลับปิดสนิท เขารีบสงวนท่าทีและเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“คุณชายล้อกันเล่นแล้ว ในรถม้าคือท่านผู้นำตระกูลหลานขอรับ”
“ข้าหลิ่วไป๋เจ๋อ ยามพูดสิ่งที่พูดคือความจริง ยามหัวเราะข้าก็หัวเราะ ข้าไม่เคยล้อเล่น!”
“คิกๆ” อูิโยวที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นซึ่งกำลังรักษาอาการาเ็ให้ผู้คน อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เ้าหลิ่วคนงี่เง่าพูดจาอะไรแบบนี้ก็เป็ด้วย น่าจะพัฒนาให้ก้าวหน้าได้นะ
อูิหลิงเหลือบมองเขาและตำหนิ “จริงจังหน่อย อย่าสร้างเื่!”
หลานเหอรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก คุณชายผู้นี้ไม่ได้หลอกลวง
“ด้านนอกคงเป็คุณชายหลิ่วจากชิงหลิ่วถังสินะ” ในที่สุดคนในรถม้าก็ส่งเสียงออกมา
“อีกทั้งยังมีข้า คุณชายรองหลิ่วเฉิงเฟิง!” หลิ่วเฉิงเฟิงชิงพูดขึ้น
“ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะดังมาจากรถม้า ฟังดูแล้วจะต้องเป็ผู้สูงอายุแน่นอน
“คุณชายรองหลิ่วช่างเป็คนพูดจาฉับไว”
ม่านรถม้าถูกเปิดออก ชายชราผมขาวก้าวลงมา
“ข้าคือผู้ดูแลตระกูลหลาน หลานหุ่ย”
“หลานหุ่ยหรือ ชื่อแปลกจริง” หลิ่วเฉิงเฟิงบ่นพึมพำ ก่อนที่หลิ่วไป๋เจ๋อจะตีเขาเบาๆ “เฉิงเฟิง อย่าไร้มารยาท!”
“ฮึ!” หลิ่วเฉิงเฟิงมองอีกฝ่ายด้วยความไม่พอใจ
“ท่านผู้าุโ” หลิ่วไป๋เจ๋อทักทายหลานหุ่ยอย่างนอบน้อม
“คุณชายหลิ่ว” หลานหุ่ยตอบ “ข้าน้อยเป็เพียงแค่คนรับใช้ของตระกูลหลาน ไม่อาจรับการแสดงเคารพจากคุณชายได้จริงๆ”
อูิโยวก้าวเข้ามา แล้วะโบอกกับทุกคน “อย่ามัวแต่แสดงท่าทีนอบน้อมให้มากความเลย ตกลงว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่”
ตอนนี้ผ่าน่อิ๋นสือ [3] ไปแล้ว ท้องฟ้าทิศตะวันออกปรากฏแสงรำไร มีผู้ได้รับาเ็หลายสิบราย อาการเล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง อูิหลิงและอูิโยวรักษาไปพลางคิดว่าคงไม่จบไม่สิ้น
“ฟ้าสางแล้ว ท่านผู้าุโเข้าไปยังเมืองหลวงก่อนค่อยพูดคุยกันจะดีกว่า มีผู้าเ็จำนวนมาก บางคนจำเป็ต้องได้รับการรักษาที่เหมาะสม”
อูิหลิงที่สวมชุดสีดอกอิงก้าวไปข้างหน้าและคำนับหลานหุ่ย
“ท่านทั้งสองคงเป็คุณชายรองและคุณหนูแห่งหุบเขาไป่หลิง ข้าน้อยละอายใจจริงๆ ที่ต้องรบกวนทุกท่าน”
อยู่ๆ ก็มีเสียงดังมาจากป่าทึบใกล้ๆ ทุกคนหันไปยังทิศทางนั้น สีหน้าแสดงออกถึงความระแวดระวัง
ทันทีที่อูิเยี่ยก้าวออกมาจากป่า ก็รู้สึกถึงสายตานับไม่ถ้วนที่จับจ้องมา ทำให้อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านไปทั้งตัว เมื่อเห็นว่าผู้ที่ก้าวออกมาคือบุตรชายคนโตของตระกูลอู ทุกคนต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ทำไมมายืนกันอยู่ตรงนี้ ที่นี่ไม่เหมาะจะอยู่นานๆ รีบเข้าไปในเมืองเถิด”
“พี่จิ่วฟางล่ะ” อูิหลิงถาม
อูิเยี่ยและจิ่วฟางเทียนฉีเข้าไปในป่าพร้อมกัน ทว่าตอนนี้มีเพียงเขาที่กลับออกมา ทำให้รู้สึกเป็ห่วงอย่างเลี่ยงไม่ได้
“จิ่วฟางเทียนฉียังไม่กลับมาหรือ”
อูิเยี่ยก็ไม่รู้ว่าทางจิ่วฟางเทียนฉีเป็เช่นไร ก่อนหน้านี้พวกเขาแยกไปตรวจสอบคนละทาง ตอนนี้จึงไม่พบร่องรอยของอีกฝ่ายแล้ว
ขณะที่ทุกคนกำลังลังเลอยู่ เสียงร้องโหยหวนคล้ายม้าก็ดังมาจากป่าทึบเป็เสียงของอสูรร้ายที่กำลังดิ้นรน แล้วทุกคนก็เห็นแสงสีทองสว่างวาบมาจากทิศนั้น
“แสงทองนั้นคือจิ่วฟางเทียนฉี!”
อูิโยวเคยเห็นจิ่วฟางเทียนฉีใช้จินฉู่ [4] มาก่อน ดังนั้นเขาจึงคุ้นเคยกับแสงสีทองนี้เป็อย่างดี จึงตรงไปในป่าลึกโดยไม่ลังเล
หลิ่วไป๋เจ๋อที่อยู่ด้านหลังเอ่ยกับหลิ่วเฉิงเฟิง
“ท่านพาผู้าุโหลานหุ่ยและคนอื่นๆ ไปยังชิงหลิ่วถังแล้วจัดที่พักอาศัยให้พวกเขา รวมทั้งนำผู้าเ็กลับไปรักษาที่ไป่เย่าถังก่อน ข้าและิโยวจะไปหาพี่จิ่วฟางเอง”
“ไม่! ข้าจะไปด้วย!”
หลิ่วเฉิงเฟิงปฏิเสธ ในขณะที่จะเอ่ยค้านอีกครั้งกลับได้รับท่าทีดุดันจากหลิ่วไป๋เจ๋อสั่งให้กลับไป
“หากอยากเหนือกว่าข้าจริงๆ จงเรียนรู้เพื่อปรับตัวตามสถานการณ์ มิฉะนั้นเ้าจะเป็เพียงคุณชายรองตระกูลหลิ่วตลอดไป ไม่ใช่หลิ่วเฉิงเฟิง!”
หลิ่วเฉิงเฟิงกัดริมฝีปากล่างด้วยท่าทีไม่เต็มใจ แต่ในสถานการณ์นี้เขาไม่ควรทัดทานผู้เป็พี่
หลิ่วไป๋เจ๋อตามพลังลมปราณของอูิโยวไป ยังไม่ทันเข้าไปในป่าก็ได้ยินเสียงร้องเรียกของอูิหลิงขึ้นก่อน
“คุณชายหลิ่ว!”
“แม่นางิหลิงมิต้องกังวล ข้าจะพาิโยวกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน”
ิหลิงกล่าว “ท่านระวังตัวด้วย!”
หลิ่วไป๋เจ๋อพยักหน้า รีบตามเข้าไปในป่าทึบทันที
แม้ท้องฟ้าจะสว่างแล้ว แต่แสงก็ถูกบดบังจากต้นไม้ ในที่แห่งนี้ยังคงมืดและแยกแยะสิ่งต่างๆ ได้ยากซึ่งไม่ต่างจากหลิ่วไป๋เจ๋อที่ดวงตามองไม่เห็น ที่นี่อยู่ในอาณาเขตของูเาชุ่ยอวิ๋นซึ่งเขาคุ้นเคยเป็อย่างดี บวกกับลมปราณที่เป็เอกลักษณ์ของอูิโยว ใช้เวลาเพียงไม่นานก็พบร่องรอยของอีกฝ่าย
หลิ่วไป๋เจ๋อผสานพลังจิติญญากับเท้าทั้งสองข้าง ก่อนที่ร่างสีขาวจะเคลื่อนที่ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว จู่ๆ อูิโยวที่อยู่ข้างหน้าก็หยุดที่ต้นสน หลิ่วไป๋เจ๋อที่ตามทันจึงมาหยุดอยู่ข้างกายของเขา
ทั้งคู่ต่างเข้าใจได้เช่นเดียวกันโดยไม่ต้องเอ่ยคำใด ขณะเดียวกันก็สังเกตเห็นความรุนแรงในป่าทึบที่อยู่ไม่ไกล
อูิโยวกำลังจะก้าวไปข้างหน้า หลิ่วไป๋เจ๋อก็เอื้อมมือไปหยุดไว้ก่อน เข็มบางๆ ปรากฏขึ้นที่หว่างนิ้วของอีกฝ่าย เขาเหวี่ยงแขนออกเพื่อยิงมันไปในป่าทึบ จากนั้นก็มีเสียงร้องครวญครางดังตามมา เสือดาวลายเมฆาตัวใหญ่กลิ้งออกมาจากพงหญ้า ดิ้นรนอีกสองสามครั้งก่อนสิ้นลมหายใจ
อูิโยวเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วะโลงจากต้นสน
“อสูรเหล่านี้เหมือนกับที่โจมตีตระกูลหลานเมื่อครู่ ต้องเป็พวกมันแน่ๆ!”
หลิ่วไป๋เจ๋อถาม “มันตายได้อย่างไร”
อูิโยวเดินวนไปวนมา มองดูสภาพศพอย่างละเอียด จากนั้นขมวดคิ้วและเอ่ยว่า “มีบางตัวได้รับาเ็จากจินฉู่ของจิ่วฟ่างเทียนฉี…”
“บางตัวหรือ หมายความว่าอย่างไร”
เห็นๆ อยู่ว่ามีพวกมันหลายสิบตัวนอนเกลื่อนกลาด แต่มีเพียงไม่กี่ตัวที่จิ่วฟางเทียนฉีเป็คนจัดการ เห็นได้ชัดว่าตัวอื่นๆ ต้องไปโดนอะไรมาแน่
“าแอื่นเหมือนจะเกิดจากแส้ แต่ที่น่าแปลกก็คือศพที่าเ็จากแส้ถูกกำจัดพลังจิติญญาจนหมดจด เหมือนถูกดูดกลืนไป แล้วแผลจากแส้ยังมีพิษอีกด้วย ฤทธิ์ไม่ได้รุนแรงแต่สามารถกัดกร่อนซึ่งอันตรายถึงตายได้!”
อูิโยวมองเข้าไปในป่าลึกที่อยู่ไม่ไกล ความกังวลบนใบหน้าฉายชัดขึ้นเรื่อยๆ
หากก้าวต่อไปเบื้องหน้าจะเป็ูเาชุ่ยอวิ๋น ในป่าลึกเขียวขจีแทบไม่มีร่องรอยของมนุษย์เลย หากจิ่วฟางเทียนฉีไล่ตามเข้าไปในนั้น การจะหาเขาคงไม่ใช่เื่ง่าย ความอันตรายก็เพิ่มสูงกว่าเดิม
แม้อันตรายเพียงใด ทั้งคู่ก็ก้าวเข้าไปโดยไม่ลังเล จิ่วฟางเทียนฉีเคยช่วยชีวิตพวกเขาเมื่อหกปีก่อน พวกเขาจึงไม่สามารถทิ้งอีกฝ่ายไปโดยไม่สนใจได้
—--------------------------------
[1] โฉ่วสือ หมายถึง คำเรียก่เวลา 01:00-03:00 นาฬิกา
[2] หลานเยียน หมายถึง ควันสีน้ำเงิน เป็เหมือนกับพลุฉุกเฉินเพื่อขอความช่วยเหลือ
[3] อิ๋นสือ หมายถึง คำเรียก่เวลา 03:00-05:00 นาฬิกา
[4] จินฉู่ หมายถึง อาวุธปราบอสูรในตำนานพุทธคล้ายกับวัชระซึ่งเป็อาวุธประจำกายของพระอินทร์
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้