“หึ เ้าช่างวาดฝันได้สวยงามเสียจริง”
มู่เอ้าเทียนเหลือบมองน้องชายรองของตน เขาพ่นลมหายใจอย่างเ็าและตำหนิมู่จี้หงด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
มู่จี้หงเอามือแตะจมูก กล่าวเสียงเบาว่า “มิใช่ว่าข้าเพียงเห็นเด็กสองคนนี้เหมาะสมกันแค่นั้นหรือ?”
ฮวาเหยียนที่เดินเข้ามาได้ยินเสียงพึมพำของมู่จี้หงเข้าพอดี นางมองอารองของนางผู้นี้ ดูท่าทางขลาดกลัวของเขา ราวกับว่ามิอาจยืดหลังให้ตรงได้ตลอดกาล เขาถูกท่านพ่อของนางตำหนิเพียงประโยคเดียวก็หดคอเสียแล้ว มิต้องพูดถึงตอนที่อยู่ต่อหน้าหลิ่วซื่อ จุดยืนสักนิดก็หาได้มีไม่
จากสิ่งที่เขาพูดก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน ว่าเขาไม่ทราบความในใจของหลิ่วซื่อที่้าให้มู่ชิงอวิ้นแต่งให้องค์รัชทายาท อีกทั้งมู่ชิงอวิ้นเองก็ยังเห็นด้วย และพร้อมที่จะแยกออกจากตระกูลมู่ เตรียมตั้งตัวด้วยตนเอง
อารองมู่จี้หงอาจกำลังรอสัญญาณเตือนบางอย่างก็เป็ได้
ฮวาเหยียนส่ายหัว บุรุษไร้ประโยชน์ผู้นี้ อยู่มาได้ถึงยามนี้ก็นับว่าใช้ชีวิตคุ้มค่ามากพอแล้ว
“ท่านอารองคิดมากเกินไปแล้ว เมื่อครู่น้องหญิงรองกล่าวกับข้าว่า ท่านอาสะใภ้รองตัดสินใจให้น้องหญิงแต่งกับองค์รัชทายาท อภิเษกเป็ชายารอง”
ฮวาเหยียนเปิดปากกล่าว
“หา? เ้าว่าอย่างไรนะ?”
คำพูดของฮวาเหยียนทำมู่จี้หงตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อครู่เขาเพิ่งเพ้อฝันถึงการเป็ทองแผ่นเดียวกันกับท่านแม่ทัพเจียง เหตุใดยามนี้จึงกลายเป็เื่แต่งเข้าเป็ชายารองขององค์รัชทายาทได้เล่า?
“ลูกรัก เกิดเื่อันใดขึ้นหรือ?”
มู่เอ้าเทียนขมวดคิ้วและเอ่ยถามออกมาเช่นกัน
“ท่านพ่อ พรุ่งนี้ท่านไปขอพระราชโองการอภิเษกสมรสจากองค์ฮ่องเต้เถิด ท่านอาสะใภ้รองใช้ความเป็ตายของตนบีบบังคับ ทั้งน้องรองก็เห็นด้วยกับการแต่งงาน เช่นนั้นครอบครัวใหญ่ของเราก็มิควรกีดกันมากไปกว่านี้ เพียงแต่ข้อดีและข้อเสีย ท่านพ่อล้วนกล่าวอย่างชัดเจนแล้ว ข้าคิดว่าท่านอาสะใภ้และน้องรองคงตรึกตรองมาอย่างถี่ถ้วนแล้วเ้าค่ะ”
“เลอะเลือนกันไปใหญ่แล้ว เช่นนี้ใช้ได้ที่ใด?”
มู่เอ้าเทียนะเิโทสะทันที เขาจ้องมู่จี้หงตาเขม็ง น้องรองผู้นี้ยังคงมีสีหน้ามึนงง ราวกับอยู่นอกสถานการณ์อย่างสิ้นเชิง มู่เอ้าเทียนเกลียดเหล็กที่ไม่กลายเป็เหล็กกล้า [1] เป็ที่สุด
“ท่านพ่อเ้าคะ อย่างไรท่านอาสะใภ้กับน้องรองก็ได้ตัดสินใจแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่เราจะพูดจามากความอีก ท่านพ่อ พวกเราหยุดเพียงเท่านี้เถิด”
ฮวาเหยียนกล่าว
ใบหน้าของมู่เอ้าเทียนไม่น่ามองเป็อย่างยิ่ง เขาคิดว่าเื่นี้ผ่านพ้นไปแล้วและได้ผลลัพธ์ั้แ่เมื่อคืนวาน นึกไม่ถึงว่าเื่ราวในวันนี้กลับแปรผัน? ทั้งยังมาขอร้องให้บุตรสาวของเขาออกหน้าให้
เยี่ยม ช่างยอดเยี่ยมนัก
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ ข้าก็มิอาจควบคุมอันใดได้อีกแล้ว ทว่าถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยย่อมเหมือนน้ำที่สาดออก น้องรอง พวกเ้าออกไปตั้งตระกูลของตนเองเถิด วันหน้าจะรุ่งโรจน์หรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับเ้าแล้ว”
หลังทิ้งคำเหล่านี้ไว้ มู่เอ้าเทียนก็ไม่อยากแม้แต่จะเหลือบตามองมู่จี้หงอีก เขาอุ้มหยวนเป่าน้อยเดินตามฮวาเหยียนจากไป
เมื่อทุกคนเดินหายไปนานแล้ว ที่สุดมู่จี้หงก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง เขาเร่งฝีเท้ามุ่งไปทางจวนของตน เกิดเื่อันใดขึ้นกัน? เหตุใดจึงต้องแยกเรือนด้วยเล่า?
...
จวนของอ๋องมู่ใหญ่โตนัก ภายในจวนมีทัศนียภาพงดงามมากมาย
สะพานเล็กกลางสายน้ำไหล โขดหินประดับ ทั้งลานเต็มไปด้วยบุปผานานาพันธุ์ ส่งกลิ่นหอมอบอวลลอยเข้าจมูก
มู่เสวียนเย่พามู่เฉิงอินไปยังสวนด้านหลัง ทิวทัศน์ตรงนี้งดงามที่สุด มีต้นซิ่งเป็ทิวแถว และเวลานี้เป็ฤดูออกดอกพอดี จึงมีบุปผางามเป็กระจุกน่ามองเป็พิเศษ
มู่เสวียนเย่มิใช่คนช่างพูด เขาเป็คนเก็บตัว ตลอดทางที่เดินมาก็เป็มู่เฉิงอินที่พูดเจื้อยแจ้วเป็ส่วนใหญ่ เขาทำเพียงฟังเงียบๆ บางคราก็ตอบกลับไปสักหน เพื่อหลีกเลี่ยงความกระอักกระอ่วน ทว่าโดยรวมแล้วทั้งสองเข้ากันได้อย่างเป็ธรรมชาติและกลมกลืนกันเป็อย่างยิ่ง
อากาศร้อนนัก มู่เสวียนเย่จึงพามู่เฉิงอินไปยังที่ร่ม ความเอาใจใส่ของเขาสะท้อนให้เห็นผ่านรายละเอียดเล็กน้อยและปรากฏออกมามากมาย
ทางด้านมู่เฉิงอินนั้น เกรงว่าในใจของนางยังมีความสับสนอยู่สายหนึ่ง... ราวกับทุกสิ่งเป็เพียงภาพฝัน
คุณชายผู้นั่งกลางดวงใจนางบัดนี้ยืนอยู่เคียงข้างนาง สตรีที่นางชื่นชมั้แ่เล็กกลับกลายเป็น้องหญิงเหยียนของนาง มู่เฉิงอินรู้สึกว่า์ช่างเมตตานางจริงๆ
เมื่อเดินเข้าไปในป่าต้นซิ่ง กลิ่นของบุปผาก็หอมแตะจมูก ลมโชยพัดมา กลีบดอกไม้พลันร่วงหล่นลงบนศีรษะของมู่เฉิงอิน
มู่เสวียนเย่ยกมือขึ้นปัดกลีบดอกไม้บนศีรษะของนาง
ฉากนี้งดงามราวกับภาพวาด
“พี่เย่ เหตุใดที่นี่จึงปลูกต้นซิ่งไว้มากมายนัก? เมื่อถึงเวลาผลโตเต็มที่ เกรงว่าคงเก็บเกี่ยวได้มากทีเดียว”
มู่เฉิงอินที่ยืนอยู่ใต้ต้นซิ่งเอ่ยปากถาม
มู่เสวียนเย่มองสตรีผู้มีเสน่ห์และอ่อนโยนตรงหน้าตน ดวงตาฉายชัดถึงความรักที่เขาไม่รู้จักด้วยซ้ำ “เมื่อครั้งน้องสาวของข้ายังเล็ก นางโปรดปรานผลซิ่งเป็อย่างยิ่ง ท่านพ่อรักและเอ็นดูนางมาก จึงให้พวกข้าซึ่งเป็พี่ชายทั้งสามปลูกต้นซิ่งให้แก่นาง ปีหนึ่งปลูกหนหนึ่ง จนกลายเป็ป่าต้นซิ่งเช่นตอนนี้”
เมื่อเอ่ยถึงฮวาเหยียน สีหน้าของมู่เสวียนเย่ก็อ่อนโยนลง
“รอยามเ้าเข้าจวน ย่อมทันเวลาที่ผลซิ่งสุกงอม หากเ้าได้ทานมันพร้อมกับน้องหญิงก็คงดีไม่น้อย”
ขณะที่มู่เฉิงอินกำลังจะเอ่ยปาก กลับได้ยินคำพูดของมู่เสวียนเย่ พาให้ใบหน้าของนางแดงระเรื่อทันที
ความหมายของการเข้าจวน ย่อมหมายถึงแต่งงาน...
หากยึดตามหลักเหตุผล สตรีผู้มีเกียรติควรรักษาท่าทีเหนียมอายและตอบกลับอย่างอ่อนโยนว่า ‘ผู้ใดจะแต่งให้ท่านเร็วปานนั้นเล่า’
นั่นคือสิ่งที่กล่าวไว้ในตำรา
แต่นางมิอาจทนได้ นางอยากแต่งกับคุณชายมู่เสียั้แ่วันพรุ่ง แต่งกับบุรุษในดวงใจ และกลายเป็ครอบครัวเดียวกันกับน้องหญิงมู่
ดังนั้นมู่เฉิงอินจึงหลุบตาลงเล็กน้อย แก้มของนางแดงก่ำ พลางพยักหน้าอย่างแ่เบา “อืม”
เพียงคำเดียวก็ทำให้หัวใจของมู่เสวียนเย่เบิกบานนัก
มีชีวิตมากว่ายี่สิบปี ไม่เคยรู้สึกรีบเร่งเช่นนี้มาก่อน เขากระตือรือร้นอยากแต่งงานกับสตรีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้จริงๆ
มู่เสวียนเย่ก้มหน้าลง รู้สึกเพียงหัวใจของตนทั้งร้อนและเต้นอย่างรุนแรง สตรีที่อยู่ตรงหน้าเขามีคิ้วและดวงตาที่งดงามอ่อนโยน แก้มของนางแดงระเรื่อ ริมฝีปากของนางเป็สีชมพูอ่อน ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าวันนี้อากาศร้อนกว่าเดิมนัก
บรรยากาศพลันคลุมเครือ อากาศรอบด้านเชื่องช้าขึ้นมาทันที
มู่เฉิงอินลืมตาขึ้น สบประสานเข้ากับดวงตาที่มืดมิดและลึกล้ำของมู่เสวียนเย่
ราวกับเป็สัญชาตญาณ มู่เสวียนเย่ค่อยๆ ก้มศีรษะลง เข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ...
ตึกตัก ตึกตัก หัวใจของคนทั้งสองเต้นแรงเป็อย่างยิ่ง
ยิ่งก้มยิ่งใกล้ ลมร้อนจากลมหายใจหลอมรวมปะปน
ทว่าในตอนนั้นเอง...
บรู๊ว!
เสียงหอนของหมาป่าดังขึ้น
จากนั้นเสี่ยวไป๋พลันตกลงมาจากฟากฟ้า และหล่นเข้าสู่อ้อมแขนของมู่เฉิงอินโดยตรง
หงิง หงิง หงิง...
เ้าตัวน้อยใช้ดวงตาสีมรกตจ้องมอง สะอึกสะอื้นอิงแอบอยู่ในอ้อมอกของมู่เฉิงอิน...
“เสี่ยวไป๋ เหตุใดเ้าถึงอยู่ที่นี่เล่า?”
มู่เฉิงอินเห็นเ้าตัวเล็กในอ้อมกอดได้ชัดเจนแล้ว นางพลันยกยิ้มอย่างมีความสุข
หลังจากนางเห็นเสี่ยวไป๋ที่หออู๋ิในครานั้น หลายวันมานี้นางก็คิดถึงมันมาโดยตลอด นึกไม่ถึงว่าเ้าตัวเล็กจะหล่นลงสู่อ้อมกอดของนางในวันนี้พอดี
“หงิง...”
เสี่ยวไป๋ยกคอขึ้น ขาของมันแปะอยู่บนหน้าอกของมู่เฉิงอิน ทั้งประทับจูบที่ปากของนาง เกาะติดไม่ปล่อย
ทว่าอีกด้านหนึ่ง ใบหน้าของมู่เสวียนเย่กลับเป็สีดำสนิท
เป็คราแรกที่เขา้าโยนสัตว์เลี้ยงของน้องหญิงทิ้ง!
เกรงว่าเ้าตัวเล็กนี้คงมิได้ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ เมื่อถึง่เวลาสำคัญก็ะโลงมากระมัง อีกทั้งมันโผล่มาจากที่ใดและจุมพิตที่ใดกัน?
ใบหน้าของมู่เสวียนเย่มืดครึ้มเกินบรรยาย เขายื่นมือมาคว้าขนหลังคอของมัน ดึงเ้าตัวเล็กออกจากอ้อมอกของมู่เฉิงอินแล้วโยนมันทิ้งทันที
หงิง หงิงงงง
เสี่ยวไป๋ร้องไห้อย่างน่าสงสาร ทำราวกับว่ามันถูกคนทำร้าย ขาทั้งสี่ของมันเตะไปมาในอากาศ ดวงตารื้นน้ำหันมองมู่เฉิงอินเพื่อขอความช่วยเหลือ และนั่นทำให้มู่เฉิงอินรู้สึกทุกข์ใจเป็อย่างยิ่ง
“พี่เย่ อย่าจับเสี่ยวไป๋เช่นนั้น มันจะเจ็บ รีบปล่อยมันเถิดเ้าค่ะ”
หงิงงงง...
เชิงอรรถ
[1] เหล็กที่ไม่กลายเป็เหล็กกล้า 恨铁不成钢 (hèn tiě bù chéng gang) หมายถึง การตั้งความหวังหรือเข้มงวดกับคนคนหนึ่ง และหวังว่าคนผู้นั้นจะได้ดิบได้ดี หลอมเหล็กให้กลายเป็เหล็กกล้า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้