ต้าเว่ย ฤดูใบไม้ผลิปีเฉิงผิงที่หก เมืองเซวียนตู อำเภอหนานอี๋
เฉิงชิ่งเอนกายอยู่บนรถม้า ชม่ชีวิตอันแสนสั้นของเด็กสาวในยุคโบราณคนหนึ่งระหว่างทางอันโคลงเคลง
ทั้งที่เป็ผู้เฝ้ามองอย่างเ็าแท้ๆ แต่เหตุใดดวงตาของนางจึงเปียกชื้นหลังจากดูจบ?
ความอาลัยอาวรณ์และความไม่ยินยอมส่งผลกระทบต่ออารมณ์ความรู้สึกของเฉิงชิ่ง นางเพิ่งเช็ดรอยน้ำตาบนหัวตาออกไป ม่านบนรถม้าพลันถูกเลิกขึ้น สตรีโฉมงามดวงตาบวมแดงสวมชุดไว้อาลัยนางหนึ่งมองนางด้วยความกังวลใจ
“ลูกข้า เ้ารู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่?”
ไม่เลย ไม่ดีขึ้นเลยสักนิด ร่างกายนี้ยังคงอ่อนแรงอย่างมาก
เฉิงชิ่งไม่อาจเอ่ยคำพูดนี้ออกไปได้
ความอาลัยอาวรณ์มากกว่าครึ่งของเด็กสาวเป็เพราะสตรีผู้นี้ นางคือนางหลิ่ว[1] มารดาของเด็กสาวที่มีอุปนิสัยอ่อนแอ เป็ผู้ที่เด็กสาวสาบานจะปกป้องดูแลและตอบแทน
“ดีขึ้นมากแล้ว ท่านแม่ พวกเราใกล้จะถึงแล้วสินะขอรับ”
เฉิงชิ่งพยายามไม่แสดงท่าทีผิดปกติออกไป
หลังจากนี้นางก็คือ ‘เฉิงชิง’ ในขณะที่ยังหาหนทางกลับสู่โลกของตนเองไม่ได้ ก็จำต้องใช้ชีวิตแทนที่ ‘เฉิงชิง’ วัยสิบสามปีผู้นี้ต่อไป
นางหลิ่วไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ หลังจากที่เฉิงจือหย่วนผู้เป็สามีเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน นางในฐานะภรรยาแห่งเรือนหลังเพียงคนเดียว พาบุตรชายหญิงทั้งสี่คนเชิญดวงิญญากลับบ้านเกิด ระหว่างทาง ‘บุตรชายคนสุดท้อง’ เฉิงชิงเกิดป่วยหนัก ต้องมีการหยุดพักตลอดทาง องค์ประกอบทั้งสาม[2]ของนางหลิ่วถูกบั่นทอนจนเหลือเพียงความว่างเปล่า
จนเมื่อขบวนเชิญดวงิญญามาถึงสถานีพักม้าอำเภอหนานอี๋แล้ว เฉิงชิงซึ่งเจ็บป่วยมาตลอดสามเดือนก็ฟื้นคืนสติ นางหลิ่วจึงมีคนให้พึ่งพาเสียที
นึกถึงตรงนี้ นางก็อดพิจารณาบุตรชายคนสุดท้องอย่างละเอียดไม่ได้ หลังจากที่เด็กคนนี้ล้มป่วยก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมาย อีกทั้งยังอายุเพียงสิบสามปีแต่กลับจัดการเื่ต่างๆ ได้ชำนาญกว่าผู้ใหญ่อย่างนางที่เพิ่งผ่านอายุสามสิบปีมาได้ไม่นาน
ก่อนหน้านี้เฉิงชิงพูดว่าเมื่อเกิดความวุ่นวายใหญ่หลวงขึ้น นางจำต้องแบกรับภาระภายในครอบครัว
นางหลิ่วนึกมาถึงตรงนี้ เบ้าตาก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอีก
เด็กน้อยที่น่าสงสาร ปีนี้นางอายุสิบสามปี เป็เพียงเด็กสาวคนหนึ่งกลับต้องมาแบกรับความรับผิดชอบในฐานะบุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลเฉิง ดูแลนางผู้เป็แม่ที่ไร้ประโยชน์ รวมถึงดูแลพี่สาวทั้งสามคน
นางหลิ่วถลำลงสู่ความว้าวุ่นใจ เหตุใดตอนนั้นนางถึงเห็นดีเห็นงามกับวิธีการนั้นของสามี เลี้ยงดูบุตรสาวตัวน้อยอย่างบุตรชาย อีกทั้งสามียังเขียนจดหมายไปยังตระกูลที่หนานอี๋ให้เพิ่มชื่อ ‘เฉิงชิง’ เข้าทำเนียบตระกูล!
ทว่าหากไม่มีวิธีการบ้าบอเมื่อสิบสามปีก่อน ตอนที่เฉิงจือหย่วนเสียไปอย่างกะทันหัน สายเืของเขาก็คงหมดสิ้นแล้วเป็แน่
ในเมื่อหาบุตรชายที่จะโยนกระถาง[3]ให้ไม่ได้ ก็มีแต่ต้องไปก้มหัวขอขมากับคนบ้านเดิม ขอยืมบุตรหลานมาโยนกระถางอุทิศให้แก่เฉิงจือหย่วนแทน
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ นางหลิ่วก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ยามเมื่อสามียังมีชีวิตอยู่ไม่เคยก้มหัวต่อคนที่บ้านเดิม หลังจากเขาตายไปแล้วถึงค่อยกระดิกหางหมอบคลานขอความเห็นใจจากทางนั้น สามีในปรโลกย่อมยากที่จะตายตาหลับได้
อย่างน้อยในตอนนี้นางกับสามีก็ยังมีบุตรชาย ถึงจะไม่ใช่บุตรชายโดยแท้แต่ก็ถือว่าเป็บุตรชาย อย่างน้อยคนภายนอกก็ไม่มีใครรู้เื่นี้
ส่วนภายภาคหน้าจะเป็อย่างไร นางหลิ่วไม่ได้คิดไกลถึงเพียงนั้น ค่อยๆ ดูไปก่อนก็แล้วกัน!
เฉิงชิงในยามนี้เหม่อลอยเล็กน้อย
นางคือ ‘บุตรชายเพียงคนเดียว’ ของเฉิงจือหย่วน
ก่อนหน้านี้เฉิงจือหย่วนแต่งภรรยาสองคน ให้กำเนิดบุตรสาวติดต่อกันสามคนแล้วจึงให้กำเนิด ‘บุตรชายเพียงคนเดียว’ ออกมา เมื่อตระกูลเฉิงประสบความวุ่นวายใหญ่หลวง จะให้พึ่งนางหลิ่วและพี่สาวทั้งสามย่อมเป็ไปไม่ได้ มีเพียงนางที่จะเป็เสาหลักให้กับครอบครัว แม้จะเป็เื่ยาก แต่ก็ไม่ถือว่ายากลำบากเกินไปนัก อย่างน้อยนางก็สามารถอยู่รอดในแคว้นเว่ยในฐานะบุรุษโดยไม่ต้องถูกจำกัดด้วยหลักจริยธรรมศักดินา[4] เป็สตรียุคโบราณที่ถือหลักสามเชื่อฟังสี่จรรยา[5]
มนุษย์เรากลัวการเปรียบเทียบเป็ที่สุด แต่ในเมื่อมีทางเลือกที่แย่กว่าให้เห็น สภาพการณ์ในขณะนี้จึงไม่ได้ทำให้นางรู้สึกยากที่จะยอมรับถึงเพียงนั้น?
แม้ไม่มีทางเลือก แต่เฉิงชิงก็เป็คนมองโลกในแง่ดีเสมอมา
สตรีที่อาศัยเพียงรอยยิ้มจะโชคดีหรือไม่นั้นนางไม่รู้ รู้เพียงสตรีที่ฉลาดคิดไม่มีทางที่ชีวิตจะตกต่ำ!
รถม้าหยุดลงเป็สัญญาณว่าถึงจุดหมายแล้ว
โลงศพของเฉิงจือหย่วนเคลื่อนมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูใหญ่ของบ้านเดิม บ้านรองตระกูลเฉิงแห่งหนานอี๋
เฉิงชิงเลิกม่านบนรถขึ้น
กำแพงของบ้านรองสูงตระหง่าน ประตูจวนบานใหญ่อลังการ แค่มองดูก็รู้แล้วว่าเป็บ้านของผู้มีอันจะกิน
เพียงแต่ยามนี้ประตูปิดสนิท บรรยากาศเงียบสงัดอย่างน่าประหลาดใจ พี่สาวคนโตของเฉิงชิงโกรธจนร้องไห้ออกมา “น้องชาย คนของบ้านเดิมต้องจงใจเป็แน่!”
แน่นอนว่าจงใจ
เฉิงชิง นางหลิ่ว รวมถึงพี่สาวทั้งสามรออยู่ที่สถานีพักม้าอยู่สองวัน ส่งจดหมายแจ้งสถานการณ์ให้บ้านเดิมทั้งหมดสามฉบับ ทางบ้านเดิมกลับไม่มีการตอบกลับใดๆ เฉิงชิงจึงรู้ว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก
ไม่ใช่ว่าคนจากบ้านเดิมล้มตายกันไปหมด แต่เป็เพราะไม่อยากสนใจกลุ่มหญิงหม้ายบุตรกำพร้าอย่างพวกนางต่างหาก
เฉิงชิงมองไปยังพี่สาวคนโต
ปกติพี่สาวทั้งสามและนางหลิ่วรักและเอ็นดูนาง เพียงแต่มีข้อเสียคือล้วนเป็คนเ้าน้ำตากันทั้งนั้น
ข้อเสียนี้นางรักษาหายดีแล้ว จะกล่าวว่าน้ำตาของสตรีคืออาวุธ? ไม่สู้บอกว่ารูปโฉมงดงามคืออาวุธ นั่นยังพึ่งพาได้มากกว่าหยาดน้ำตาเสียอีก
บางคนสามารถถูกรูปโฉมงดงามสะกดใจไว้ได้ แต่ไม่มีทางใจอ่อนให้กับหยาดน้ำตา
ผู้ใดเชื่อคำพูดนี้ ผู้นั้นก็คือคนโง่
“จะจงใจหรือไม่ พวกเราเคาะประตูก็รู้แล้ว อาจเป็เพราะปีที่แล้วสุขภาพร่างกายของท่านย่าไม่ค่อยดี คนที่นี่จึงชินกับการปิดประตูไม่รับแขก”
เฉิงชิงให้นางหลิ่วจ้างคนที่ทำธุรกิจเฉพาะทางด้านงานศพ เสียงร่ำไห้ของมืออาชีพกลุ่มนี้ดังกว่าพวกนางทั้งสี่คนมากนัก ยิ่งร่ำไห้ยิ่งดึงดูดเพื่อนบ้านจากทั่วสารทิศมายังหน้าประตูของบ้านรองตระกูลเฉิงอย่างรวดเร็ว
“นี่ มีใครตายน่ะ?”
“ไม่เห็นได้ยินบ้านรองประกาศข่าวการตายนะ”
“หรือว่าจะมารีดไถตระกูลเฉิง!”
แววตาที่ผู้คนมองมายังพวกเฉิงชิงเปลี่ยนไปในทันที
หากมาเพื่อรีดไถตระกูลเฉิงจริง เช่นนั้นก็หาเื่ผิดคนเสียแล้ว
ตระกูลเฉิงแห่งหนานอี๋คือตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งของอำเภอนี้ คนในตระกูลรับราชการในวังหลายคน อย่างคุณชายรองแห่งบ้านหลักตระกูลเฉิงก็เป็ผู้ว่าการมณฑล รั้งตำแหน่งขุนนางขั้นห้าครึ่งขั้นอยู่ต่างถิ่น
ครอบครัวเช่นนี้ยังมีคนกล้ามารีดไถถึงบ้าน โง่หรือไร!
เฉิงชิงมองดูฝูงชนรวมตัวกันผ่านทางหน้าต่าง พวกเขาล้วนชี้ไม้ชี้มือมายังขบวนเชิญดวงิญญา
“รบกวนท่านพี่ช่วยประคองข้าลงรถที”
นางไม่อยากทำให้เป็เื่ใหญ่โต เนื่องเพราะร่างกายนี้ช่างอ่อนแอ
ก่อนหน้าที่เฉิงชิงยังไม่ปรากฏตัว ผู้คนต่างพากันคาดหวัง
เนื่องจากบุตรสาวคนโตตระกูลเฉิงที่ช่วยประคองนางลงจากรถรูปโฉมงดงาม ด้วยวิธีการปรากฏตัวออกมาเช่นนี้ ย่อมต้องเป็คุณหนูน้อยที่งดงามถึงขั้นจันทราและบุปผายังต้องหลีกเร้นด้วยความเขินอาย[6] หรือไม่ก็คุณชายน้อยที่รูปลักษณ์งามสง่าเป็แน่
แต่เมื่อเฉิงชิงลงจากรถ ผู้คนต่างเห็นเพียงคนขี้โรคสวมชุดไว้อาลัย ใบหน้าซีดเหลืองผอมแห้ง ร่างกายบอบบางราวกับเพียงลมพัดก็สามารถจะปลิวไปได้!
เฉิงชิงััได้ถึงความผิดหวังจากบรรดาเพื่อนบ้านที่รายล้อม
หลังจากนางได้สติขึ้นมาก็เคยส่องกระจก
เค้าโครงใบหน้าของร่างนี้มีส่วนคล้ายกับในชาติที่แล้วเพียงสามสี่ส่วน อาการป่วยร้ายแรงทำให้สีหน้าย่ำแย่เป็อย่างมาก นางเองก็ไม่พอใจกับรูปลักษณ์ในปัจจุบันนี้ ช่างไม่น่ามองเสียจริง
จากที่ร่างกายสูงกว่าร้อยเจ็ดสิบกว่าเิเ บัดนี้กลับหดลงเหลือไม่ถึงร้อยห้าสิบเิเ เื่นี้เกินรับได้จริงๆ
ตัวนางในตอนนี้จึงเป็เพียงเด็กหนุ่มขี้โรคคนหนึ่ง
เฉิงชิงประสานมือโค้งคำนับเพื่อนบ้านโดยรอบ
“ทุกท่านที่อยู่ละแวกนี้ ไม่ทราบว่าที่นี่ใช่บ้านรองของตระกูลเฉิงแห่งหนานอี๋หรือไม่?”
เหล่าเพื่อนบ้านต่างพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน
เฉิงชิงหน้านิ่วคิ้วขมวด
“ทั้งที่ให้คนส่งจดหมายกลับมายังบ้านเดิมแล้วแท้ๆ เหตุใดจึงไม่มีคนขานรับที่ประตูเล่า? หรือว่าหลังจากการเดินทางเชิญดวงิญญากลับบ้านเกิดอันยากลำบากตลอดสามเดือน บิดาข้าที่สิ้นไปกลับไม่อาจจัดพิธีศพที่บ้านเดิมได้!”
เหล่าเพื่อนบ้านต่างมองไปยังโลงศพ แล้วมองไปยังร่างที่สวมชุดไว้อาลัยของเฉิงชิงและพวกนางหลิ่ว มีเพื่อนบ้านชราเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจระคนสงสัย
“คุณชายน้อย บิดาเ้าที่เสียไปเป็คนของบ้านรองตระกูลเฉิงหรือ?”
เฉิงชิงพยักหน้าด้วยใบหน้าอันโศกเศร้า
“บิดาข้าเป็บุตรชายคนโตของบ้านรองตระกูลเฉิงแห่งหนานอี๋ โชคร้ายสิ้นใจจากไปในต่างถิ่น บุตรอกตัญญูเฉิงชิงพามารดาและเหล่าพี่สาวเชิญดวงิญญากลับมายังบ้านเกิด เพื่อนำบิดาที่จากไปฝังร่างคืนสู่ผืนดินอย่างสงบสุข”
ความโศกเศร้าของนางนั้นเดิมทีเป็การแสดง แต่เมื่อได้ยินเสียงร่ำไห้ของพวกนางหลิ่วจึงบังเกิดความรู้สึกเศร้าโศกที่มิอาจระบุได้ผุดขึ้นมาระลอกหนึ่ง แสดงละครจนกลายเป็เื่จริงถึงขนาดหลั่งน้ำตาออกมาด้วยเช่นกัน
หรืออาจเป็เพราะความอาลัยอาวรณ์ของเด็กสาวที่ยังไม่จางหาย
ระหว่างที่เฉิงชิงกำลังแสดงละครจนแปรเปลี่ยนเป็ความโศกเศร้าอย่างแท้จริงอยู่นั้น พวกของเพื่อนบ้านชราก็ต่างถกเถียงกันให้วุ่น วันนี้บ้านรองตระกูลเฉิงมีละครชุดใหญ่ให้ชมแล้ว ภายในโลงศพย่อมเป็เฉิงจือหย่วนลูกชายคนโตจากภรรยาเอกของบ้านรองแน่นอน!
อย่าว่าแต่เฉิงจือหย่วนด่วนจากไปทำให้ผู้คนสะท้อนใจ กระทั่งภรรยาและบุตรของเฉิงจือหย่วนที่เชิญดวงิญญากลับบ้านเกิดแต่ประตูใหญ่ของบ้านรองตระกูลเฉิงกลับปิดสนิท ไม่้าให้โลงศพของเฉิงจือหย่วนเข้าประตู ช่างไร้เหตุผลเกินจะกล่าว
ถึงแม้แท้จริงแล้วมารดาเลี้ยงจะเป็ผู้รับหน้าที่ดูแลบ้าน แต่จะมากลั่นแกล้งบุตรชายคนโตของภรรยาเก่าเช่นนี้ได้หรือ?
[1] สตรีในสมัยโบราณถึงแม้จะแต่งงานแล้ว แต่ก็ยังคงถูกเรียกด้วยแซ่เดิมและมักไม่เรียกชื่อตัว
[2] องค์ประกอบทั้งสาม ประกอบด้วยิญญา พลังงานและสารสำคัญ ถือเป็องค์ประกอบหลักของมนุษย์
[3] ตามประเพณีงานศพของชาวจีน เมื่อถึงเวลาเคลื่อนย้ายศพไปยังสถานที่ฝัง บุตรชายคนโตหรือหลานชายคนโตของผู้ตายจะต้องโยนกระถางที่ใช้เผากระดาษเซ่นไหว้กระแทกลงพื้นหน้าโถงเซ่นไหว้
[4] หลักจริยธรรมศักดินา คือหลักการปฏิบัติตนของผู้คนเพื่ออยู่ร่วมกันในสังคมซึ่งถูกสร้างขึ้นภายใต้แิของขงจื๊อ
[5] หลักสามเชื่อฟังสี่จรรยา คือกรอบคุณธรรมที่ใช้ในการอบรมกุลสตรีชั้นสูง ตามแิของขงจื๊อ
[6] มีที่มาจากฉายาสองในสี่ยอดหญิงงามแห่งแผ่นดินจีน ได้แก่ เตี้ยวเสี้ยนที่มีฉายาว่า “จันทร์หลบโฉมสุดา” และหยางกุ้ยเฟยที่มีฉายาว่า “มวลผกาละอายนาง”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้