ทางด้านหลงเซี่ยวเจ๋อในที่สุดก็ตามมู่จื่อหลิงจนทัน
เขาดึงล่วมยาที่มู่จื่อหลิงสะพายอยู่ไป ใช้มือวัดน้ำหนักและกล่าวอย่างเกินจริง “พี่สะใภ้สาม ดูสิว่าหนักเพียงใด มิอาจให้ท่านเหนื่อยล้าได้แล้ว ให้ข้าแบกเถิด”
หลงเซี่ยวเจ๋อกล่าวเกินจริงพลางครุ่นคิดอย่างแปลกใจ เหตุใดล่วมยาจึงเบานักเล่า
คราวก่อนตอนที่พี่สะใภ้สามถอนพิษให้กุ่ยหยิ่ง เขาเห็นพี่สะใภ้สามใส่ข้าวของไว้ข้างในเป็จำนวนมาก
เขาจึงนึกมาตลอดว่าล่วมยานี้จะต้องหนักมากแน่ เหตุใดยามนี้แค่มือข้างเดียวของเขาก็หิ้วได้เสียเล่า หรือว่าพี่สะใภ้สามนำของออกไปแล้ว?
มู่จื่อหลิงย่อมรู้ว่ากล่องนี้หนักหรือเบา นางไม่สนใจคำเอาอกเอาใจของเขา ถามว่า “เ้าเพิ่งบอกว่าจะไปจวนฉีอ๋อง?”
“ใช่...ใช่น่ะสิ พี่สะใภ้สาม ข้าไม่ได้ไปหาท่านลุงฝูนานแล้ว วันนี้ข้าจะไปเยี่ยมคนชราเช่นเขาเสียหน่อย” หลงเซี่ยวเจ๋อกล่าวด้วยสีหน้ากระดากใจ
เขามิกล้าพูดไปตรงๆ ว่า้าไปส่งพี่สะใภ้สาม เขากลัวว่าพี่สะใภ้สามจะไม่ให้เขาไปด้วย ประเดี๋ยวจะหยดยามี่ลู่สูตรปรับปรุงอะไรนั่นใส่เขาอีก เช่นนั้นต่อให้เขาร้องไห้ก็ไม่ทันแล้ว
มู่จื่อหลิงฟังเขาพูดจบก็แย่งล่วมยาคืนมาจากเขา ยิ้มอย่างเ้าเล่ห์
“เช่นนั้นเ้าก็ไปก่อนเถิด พวกเรามิได้ไปทางเดียวกัน ข้ายังมีเื่อื่นที่ต้องทำ ยังกลับไม่ได้ ได้ยินท่านลุงฝูก็กล่าวว่าคิดถึงเ้านัก เ้ารีบไปเสีย”
“อะไรนะ? พี่สะใภ้สาม ท่านไม่กลับแล้วท่านจะไปที่ใด?” หลงเซี่ยวเจ๋อทึมทื่อไปแล้ว
พี่สะใภ้สามไม่ไปจวนฉีอ๋องแล้ว เช่นนั้นเขาจะไปทำสิ่งใด เขาไม่มีเื่อันใดให้กล่าวกับลุงฝู ทั้งเขามิได้สนิทชิดเชื้อกับลุงฝูเสียหน่อย เข้าใจหรือไม่
เขาก็พูดไปอย่างนั้น เหตุใดพี่สะใภ้สามจึงคิดเป็จริงเป็จังเสียเล่า เขานั้นชอบติดตามพี่สะใภ้สาม ชอบทำตัวสนิทสนมกับพี่สะใภ้สาม!
“ไปกินข้าวที่หอเยวี่ยอวี่สักมื้อ แล้วค่อยไปหาร้านยา” มู่จื่อหลิงบอกตารางของนางออกไปอย่างไม่ปิดบัง
นางรู้ว่าหลงเซี่ยวเจ๋อต้องตามนางไปอย่างหน้าด้านหน้าทนแน่ อย่างไรเสียนางก็พกเงินมาไม่กี่ตำลึง เขารวยถึงเพียงนั้น ก็ให้เขาตามไปจ่ายเงินแล้วกัน
มู่จื่อหลิงเพิ่งพูดจบ หลงเซี่ยวเจ๋อก็ร้องเสียงดังขึ้นมา กุมท้องด้วยท่าทางหิวโหย ทำหน้าหนากล่าวว่า
“ไอ้หยา พี่สะใภ้สาม ท่านไม่พูดว่ากินข้าวข้ายังไม่หิว พอท่านพูดขึ้นมาข้าก็หิวขึ้นมาเลย ข้าไม่ได้ไปกินข้าวที่หอเยวี่ยอวี่นานแล้วเหมือนกัน คิดถึงอาหารที่นั่นนัก ท้องนภากว้างใหญ่แผ่นดินกว้างขวาง เื่กินใหญ่ที่สุด ลุงฝูนั้นข้าเปลี่ยนวันไปเยี่ยมแล้วกัน พวกเราไปกินข้าวด้วยกันเถิด”
ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ต้องติดตามพี่สะใภ้สามให้ได้
มู่จื่อหลิงมองบนใส่เขา ยอมแพ้เขาจริงๆ เสแสร้งนัก เสแสร้งต่อไป อยากจะตามไปก็บอกมาตรงๆ เถอะ
“อยากไปด้วยจริงหรือ?” มู่จื่อหลิงถามพลางยิ้มจนตาหยีลง
ดวงตาทั้งสองข้างของหลงเซี่ยวเจ๋อสว่างวาบ มีหวังแล้ว พยักหน้าอย่างเอาเป็เอาตาย “อยากๆ” ต่อให้เป็ความฝันก็อยาก ขอแค่เพียงพี่สะใภ้สามให้เขาตามไปด้วย ไม่ว่าพี่สะใภ้สามจะให้เขาทำสิ่งใดเขาก็ยอมทั้งนั้น
มู่จื่อหลิงไม่กล่าวอะไรไร้สาระกับเขาอีก พูดว่า “ไปหาเครื่องแต่งกายบุรุษมา ข้าจะไปที่รถม้า...”
จะไปข้างนอกนางต้องไปหาเครื่องแต่งกายของบุรุษเสียก่อน หลงเซี่ยวเจ๋อคุ้นเคยกับวังหลวงถึงเพียงนั้น เื่หาอาภรณ์คงไม่ใช่ปัญหาแน่ นางจะได้มิต้องไปเปลี่ยนที่จวนฉีอ๋อง
ยังพูดไม่ทันจบ หลงเซี่ยวเจ๋อก็วิ่งหายไปราวกับควันสายหนึ่ง มู่จื่อหลิงจึงหลุดหัวเราะออกมา
ฝั่งหลงเซี่ยวเจ๋อวิ่งไปได้ครึ่งทางถึงนึกได้ สถานที่ตัดเย็บอาภรณ์ในวังนั้นล้วนมีแต่อิสตรี ด้วยฐานะของตนเองจึงไม่สะดวกเข้าไปนัก หากเสด็จพ่อรู้เข้าจะต้องบ่นจนปากเปียกปากแฉะแน่
ดังนั้นเขาสุ่มจับขันทีมาผู้หนึ่ง กล่าวอย่างรีบร้อนว่า “รีบไปกองตัดเย็บอาภรณ์ หาเครื่องแต่งกายบุรุษเนื้อผ้าดีๆ ขนาดเล็กลงหน่อย หากเปิ่นหวงจื่อนับถึงสามสิบแล้วยังหามาไม่ได้ ก็จะตัดศีรษะเ้าไปเตะแทนลูกหนังเสีย”
ขันทีเฒ่าที่ถูกเลือกใจนตัวสั่นระริก “ขอ...ขอรับ!”
เขาวิ่งไปทางกองตัดเย็บอย่างลนลาน เขาไปยั่วโทสะบรรพบุรุษน้อยผู้นี้ตรงใดกัน เดินอยู่เฉยๆ ยังอุตส่าห์ไปเจอได้
เพิ่งจะนับถึงสามสิบ ขันทีเฒ่าก็อุ้มอาภรณ์วิ่งมาอย่างรีบร้อน
หลงเซี่ยวเจ๋อรับอาภรณ์มา จากนั้นหมุนกายวิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ขันทีเฒ่าผู้นั้นยังไม่ทันหายใจหายคอ
เสียงแฝงแววตักเตือนของหลงเซี่ยวเจ๋อก็ลอยมา “นับว่าเ้าวิ่งเร็วใช้ได้ อีกแค่วินาทีเดียวหัวเ้าก็กลายเป็ลูกหนังแล้ว”
ขันทีพึ่งได้หอบหายใจ ลูบไปที่ลำคอตนด้วยมือสั่นระริก ศีรษะยังอยู่ กระดูกกระเดี้ยวของเขากลับถูกทรมานแทนอย่างน่าสังเวชใจ
มู่จื่อหลิงรอไม่นาน หลงเซี่ยวเจ๋อก็นำอาภรณ์ของบุรุษมา นางล่ะต้องนับถือความรวดเร็วดุจสายฟ้าแลบของหลงเซี่ยวเจ๋อเสียจริง
แท้จริงแล้วนางไม่รู้เลยว่าเป็หลงเซี่ยวเจ๋อที่วิ่งไปหาอาภรณ์สุดชีวิต ทั้งยังข่มขู่ขันที เหตุเพราะเกรงว่าจะไม่รอเขาแล้วออกไปก่อน
มู่จื่อหลิงรับอาภรณ์มา กล่าวว่า “เ้าเฝ้าอยู่ด้านนอกก่อน ข้าผลัดเสร็จแล้วค่อยขึ้นมา”
หลงเซี่ยวเจ๋อย่อมพยักหน้าอย่างยินดี เฝ้าอยู่ด้านนอกอย่างจริงจัง
มู่จื่อหลิงผลัดอาภรณ์เสร็จ หลงเซี่ยวเจ๋อจึงขึ้นมาบนรถม้า
จากนั้นเขาก็เตรียมเปิดโหมดพูดไม่จบไม่สิ้นของตนเองอีกครั้ง “พี่สะใภ้สาม วันนี้ท่าน...” ยังพูดไม่จบ มู่จื่อหลิงก็กล่าวเตือนอย่างไร้ซึ่งความลังเลอย่างสิ้นเชิง “ถ้ายังกล้าพูดอีกประโยคเดียว ข้าจะส่งเ้าไปหาท่านลุงฝู”
หลงเซี่ยวเจ๋อจึงพยักหน้าอย่างฝืนทน ไม่กล้าส่งเสียงอะไรอีก
ระหว่างทางไม่มีเสียงเจื้อยแจ้วของหลงเซี่ยวเจ๋อ มู่จื่อหลิงจึงได้รับความสงบไม่น้อย
เพียงแค่หลงเซี่ยวเจ๋อมิได้กล่าววาจา แต่เปลี่ยนวิธีทรมานนางแทน
อยู่ด้านหน้านาง ทำตาเล็กตาน้อยใส่นาง จากนั้นก็วาดไม้วาดมือ ไม่รู้ว่า้าสื่อถึงสิ่งใด
มู่จื่อหลิงกำลังจะคลุ้มคลั่งอยู่แล้ว ต้องมีวันที่นางถูกหลงเซี่ยวเจ๋อทรมานจนเสียสติแน่ แล้วก็ไม่สนใจเขาอีก หาตำแหน่งสบายๆ งีบหลับไป แค่ตาไม่เห็นก็สิ้นเื่แล้ว
เมื่อมาถึงหอเยวี่ยอวี่ทั้งสองคนก็จองห้องส่วนตัวห้องหนึ่งที่อยู่ชั้นสอง มู่จื่อหลิงสั่งกับข้าวเองไม่กี่อย่าง แล้วถามหลงเซี่ยวเจ๋อ “เ้าจะกินอะไรก็สั่งเอง”
หลงเซี่ยวเจ๋อไม่ส่งเสียงสักแอะ
“เ้าเป็ใบ้หรือไง” มู่จื่อหลิงถามอีก
หลงเซี่ยวเจ๋อรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจนัก เขาส่ายศีรษะอย่างแรง พี่สะใภ้สามไม่ให้เขาพูดเขาจึงมิกล้าพูด
“ไม่พูดไม่จา เช่นนั้นข้าก็สั่งแค่ตนเองกินแล้วกัน” มู่จื่อหลิงพูดจบก็เงยหน้าแสดงท่าทีให้เสี่ยวเอ้อร์ไปได้
“รอเดี๋ยว พี่สะใภ้สาม ข้าพูดแล้ว ท่านห้ามส่งข้าไปหาลุงฝูนะ” ในที่สุดหลงเซี่ยวเจ๋อก็เปิดปากอย่างรีบร้อน
์รู้ว่าอดกลั้นมาทั้งทางทรมานเพียงใด เขาได้ต่อสู้เพื่อพี่สะใภ้สามแล้ว อดทนไม่กล่าววาจาได้นานถึงเพียงนี้
มู่จื่อหลิงเห็นเขาทำท่าทางน่าสงสาร มุมปากก็อดกระตุกไม่ได้ ส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา “รีบสั่งอาหารเถิด”
ดังนั้นหลงเซี่ยวเจ๋อจึงสั่งอาหารมาเต็มโต๊ะด้วยท่าทางองอาจผ่าเผย ต่อให้พี่สะใภ้สามปฏิบัติกับเขาอย่างไร เขาก็ไม่อยากปฏิบัติกับพี่สะใภ้สามอย่างไร้ความยุติธรรม
“พี่สะใภ้สาม อาจารย์ผู้ลึกลับของท่านเป็มาอย่างไรกัน ฝีมือการรักษาสูงส่งถึงเพียงนั้น ยังสามารถสั่งสอนท่านออกมาได้ร้ายกาจเช่นนี้” ระหว่างกินข้าวหลงเซี่ยวเจ๋อหลุดคำถามนี้ออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ตอนที่ถามนั้นยังมีท่าทีอิจฉาอยู่ครามครัน
“เ้าก็พูดแล้วว่าเขาลึกลับ ถ้าบอกเ้าก็ไม่ลึกลับแล้ว ขนาดข้ายังไม่เคยพบเลย” มู่จื่อหลิงตอบอย่างไม่เสียเวลาคิด เดิมทีก็ไม่มีคนผู้นี้อยู่แล้ว ที่นางกล่าวเพิ่มเติมก็ยังเป็สองสามประโยคอย่าง ไม่เคยพบมาก่อน ไม่ทราบว่าหน้าตาเป็เช่นใด
หลงเซี่ยวเจ๋อใคร่ครวญแล้วกล่าวว่า “ที่ท่านพูดถึงใช่หมอปีศาจไป๋หลี่ฉิวหรือไม่” ใต้หล้านี้นอกจากเฒ่าทารกที่มีวิชาแพทย์ล้ำเลิศเช่นไป๋หลี่ฉิว เขาก็นึกถึงผู้อื่นไม่ออกแล้ว
“ไม่รู้สิ อาจจะใช่กระมัง” มู่จื่อหลิงเออออไปตามคำพูดเขา ไป๋หลี่ฉิวคือใคร? นางไม่เคยรู้จักมาก่อน
“ไม่มีทางน่า ผู้เฒ่าไป๋หลี่ฉิวเป็อาจารย์ของเล่อเทียน เขารับเล่อเทียนเป็ศิษย์เพียงผู้เดียวเท่านั้น และเขาไม่ได้ออกจากหุบเขามาเป็สิบปีแล้วด้วย” หลงเซี่ยวเจ๋อจับคางแล้วส่ายศีรษะ เสมือนว่าพูดกับตนเอง
“อืม เช่นนั้นก็เป็ไปไม่ได้” มู่จื่อหลิงเออออกับคำพูดของเขาต่อไป
อาจารย์ของเล่อเทียน? เล่อเทียนสามารถทำให้หลงเซี่ยวอวี่ยอมรับได้ เช่นนั้นอาจารย์ของเล่อเทียนต้องฝีมือไม่ธรรมดาแน่
ทันใดนั้น ปัง! “พี่สะใภ้สาม ข้ารู้ว่าอาจารย์ท่านเป็ใคร!”
จู่ๆ หลงเซี่ยวเจ๋อก็ตบโต๊ะเสียงดัง ร้องเสียงดัง มู่จื่อหลิงจึงใยกใหญ่ เนื้อที่กำลังคีบเข้าปากตกลงไป
“หลง เซี่ยว เจ๋อ” มู่จื่อหลิงกัดฟันพูดรอดไรฟันทีละคำ สมควรตาย นางต้องเสียสติไปแล้วถึงได้ให้หลงเซี่ยวเจ๋อมากินข้าวด้วย กินข้าวก็ล้วนไม่สงบ อยู่ไม่เป็สุข
หลงเซี่ยวเจ๋อเมื่อเห็นมู่จื่อหลิงมีโทสะ ก็ตัวสั่น “พี่สะใภ้สาม ขอโทษที จู่ๆ ข้าก็คิดได้ว่าอาจารย์ของท่านเป็ผู้ใด หลังจากนั้นก็ตื่นเต้นจนเกินไป ท่านลองทายว่าอาจารย์ท่านเป็ผู้ใด”
“ทายไม่ได้ เ้าพูดเถิด” มู่จื่อหลิงสงบลง
นางสงสัยนักว่าหลงเซี่ยวเจ๋อจะทายเป็ผู้ยิ่งใหญ่เช่นใดออกมา จะได้ถือโอกาสให้นางรู้จักผู้มีชื่อเสียงในแผ่นดินใหญ่ิเยว่ ใครจะรู้ว่าคำพูดต่อมาก็ทำให้นางรู้สึกเสียใจในภายหลังอย่างสุดซึ้ง
“อาจารย์ของพี่สะใภ้สามต้องเป็เทพเซียนแน่ๆ เช่นนั้นถึงสามารถสั่งสอนลูกศิษย์ที่ร้ายกาจเช่นพี่สะใภ้สามออกมาได้ อีกทั้งเทพเซียนก็ล้วนลึกลับเช่นกัน เทพันั้นเห็นแต่หัวไม่เห็นหาง” หลงเซี่ยวเจ๋อปิดบังความยินดีไว้ไม่ไหว แสดงท่าทางเช่นข้าฉลาดนัก
มู่จื่อหลิงยอมแพ้หลงเซี่ยวเจ๋ออย่างถึงที่สุด นางคิดว่านางต้องโดนหลงเซี่ยวเจ๋อแพร่เชื้อใส่แน่ นางก็เลยโง่เขลาลง จึงได้สมองนิ่มไปตอบรับวาจาโง่งมของเขา แม้แต่คำว่าเทพเซียนก็ยังออกจากปากมาได้
หลงเซี่ยวเจ๋อเห็นมู่จื่อหลิงไม่ตอบสนอง ก็ถาม “พี่สะใภ้สาม ท่านว่าข้ากล่าวถูก...”
เพียงแต่เขายังพูดไม่จบ ก็ถูกมู่จื่อหลิงยัดเท้าหมูใส่ปาก “หุบปาก อาหารตั้งมากมายก็อุดปากเ้าไว้ไม่ได้”
“อื้อๆ” หลงเซี่ยวเจ๋อทำท่าจะคายเท้าหมูออกมา
มู่จื่อหลิงถลึงตาใส่เขาอย่างโหดร้าย “ข้ายังกินไม่เสร็จ ไม่อนุญาตให้คายทิ้ง”
“อื้อๆ” หลงเซี่ยวเจ๋อน้อยใจอีกแล้ว
พี่สะใภ้สามเป็อะไรไป เขากล่าวสิ่งใดผิดหรือ เมื่อครู่เขามัวแต่พูด ยังกินได้ไม่กี่คำเลย ยามนี้ท้องหิวจริงเสียแล้ว
ดังนั้น หลงเซี่ยวเจ๋อจึงจ้องมองมู่จื่อหลิงกินอาหารอย่างเพลิดเพลิน เขาอยากคายเท้าหมูในปากทิ้งจริงๆ
ฮือๆ พี่สะใภ้สามช่างทรมานคนเก่งเสียจริง ได้แต่กัด กินไม่ได้
ผ่านไปครู่หนึ่ง มู่จื่อหลิงกินจนอิ่มหนำสำราญ กล่าวกับหลงเซี่ยวเจ๋ออย่างเบิกบาน “ข้ากินอิ่มแล้ว เ้าค่อยๆ กิน ประเดี๋ยวอย่าลืมจ่ายเงินเสียเล่า ข้าไปก่อนล่ะ”
หลงเซี่ยวเจ๋อยังไม่ทันตอบสนอง มู่จื่อหลิงก็ลุกขึ้นจากไปเสียแล้ว
รอจนเขาได้สติกลับมา ก็รีบร้อนคายเท้าหมูในปากทิ้ง ตามออกไปอย่างมิรอช้า เมื่อออกไปก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของมู่จื่อหลิงแล้ว
ก่นด่าตนเองไปยกหนึ่ง ก็เดินกลับเข้าไปในห้องส่วนตัวใหม่อีกครั้ง เปลี่ยนความขุ่นเคืองเป็แรงผลักดัน ค่อยๆ กำจัดอาหารทั้งโต๊ะ......
-
ที่มู่จื่อหลิงอันตรธานหายไปเร็วขนาดนั้น เป็เพราะเพิ่งออกมาจากห้องแบบส่วนตัวก็ถูกคนรั้งเอาไว้
“คุณชายโปรดรอก่อน ข้าน้อยเป็ผู้จัดการแห่งหอสุราเยวี่ยอวี่ เถ้าแก่ของพวกเรามีคำเชิญขอรับ” ชายวัยกลางคนท่าทางซื่อตรงผู้หนึ่งกล่าวกับมู่จื่อหลิง
ทันใดนั้นมู่จื่อหลิงก็นึกถึงตอนที่มากินข้าวเมื่อคราวก่อนนี้ แล้วได้พบกับบุรุษชุดแดงที่สวมหน้ากากผีเสื้อผู้นั้น
หลงเซี่ยวเจ๋อพูดว่าคนผู้นั้นคือเถ้าแก่แห่งหอสุราเยวี่ยอวี่ แต่ว่านางไม่ได้รู้จักมักจี่กับคนผู้นั้น เขามีธุระอันใดกับนางกัน?
ไม่คิดฟุ้งซ่านอีก มู่จื่อหลิงกล่าวอย่างเรียบเฉย “นำทางเถิด”
นางมีเื่อยากเจรจากับเถ้าแก่ผู้ลึกลับคนนั้นอยู่พอดี เพียงแค่ได้พบกับเถ้าแก่ผู้นั้น นางก็จะหาทางพูดเื่ร้านยา เื่ร้านยาอาจจะได้จังหวะดีแก้ไขได้ในวันนี้เลย
มู่จื่อหลิงเดินตามผู้จัดการร้านมาถึงชั้นสาม การประดับประดาชั้นสามนั้นดูตระการตาน้อยกว่าชั้นสองมากทีเดียว ของประดับตกแต่งทุกอย่างล้วนไม่เรียบง่าย ทว่าให้ความรู้สึกที่สบายตาแก่ผู้คน ความรู้สึกที่อดทนอดกลั้นไว้ก็ผ่อนคลายขึ้นมา
ผู้จัดการนำมู่จื่อหลิงมาหน้าห้องแห่งหนึ่ง “คุณชาย ท่านเข้าไปเถิดขอรับ เถ้าแก่ของพวกเราอยู่ด้านใน”
มู่จื่อหลิงพยักหน้า ไม่พูดพร่ำผลักประตูเดินเข้าไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้