ในเดือนสาม ปุยฝ้ายปลิวว่อนทั่วชานเมืองหลวง ท้องฟ้าสีจางและหมอกควันกระจายตัวอยู่บนูเาชิงหลานที่เงียบสงบ ทว่าสถานที่หลายแห่งในเมืองหลวงบริเวณเชิงเขากลับลุกเป็ไฟราวกับภาพวาดที่มีหมึกสีแดงกระเซ็นอยู่บนนั้น แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายลี้ลับ
เสียงหวีดแหลมดังขึ้นพร้อมกับจุดแสงคล้ายดอกไม้ไฟะเิบนท้องฟ้า หอสังเกตการณ์ตะวันออก ตะวันตก ใต้ และเหนือทั้งสี่ทิศจึงทยอยส่งสัญญาณควัน
ชายสวมเกราะเงิน ไหล่กว้างเอวแคบ ควบม้าไปยืนอยู่บนยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยป่าสน เมื่อเห็นดอกไม้ไฟ เขาจึงะโเสียงดังว่า “ทุกนายจงฟัง! จงตามข้าไปโจมตีเมืองหลวงแห่งอาณาจักรหยวนฉีเสีย!”
เขาดึงบังเหียนจนแน่น ฟาดแส้ใส่ม้าอย่างแรงและมุ่งหน้าลงจากูเา เสียงเกือกม้าดังก้องไปทั่วผืนดินบนูเาชิงหลาน ถือเป็การเปิดฉากาในครั้งนี้
ภายในตำหนักไท่จี๋มีเสียงสะอื้นจากเหล่าสนมและเ้าชายน้อยที่มารวมตัวกันด้วยความหวาดกลัวดังระงมเป็ระยะ
“ฝ่าา พวกฏได้บุกเข้ามาในพระราชวังต้องห้ามแล้ว โปรดเสด็จหนีไปโดยเร็วที่สุดด้วยเถิดพะยะค่ะ!” ขันทีเฒ่ารีบวิ่งเข้ามาในตำหนักพลางะโร้องด้วยความตื่นตระหนก
“จะหนีไปไหน! เ้าพวกสมควรตาย! กว่าเหริน1เป็คนขี้ขลาดอย่างนั้นหรือ? กว่าเหรินจะอยู่สู้กับเขาจนตัวตายและจะยืนหยัดไปกับหยวนฉี!” ฮ่องเต้ฉีจื้อแห่งหยวนฉีนั่งบนบัลลังก์พลางกำดาบ์ไว้แน่น และมีเหงื่อไหลซึมบนหน้าผากขณะที่กำลังแผดเสียงด้วยความโกรธใส่ขันทีที่อยู่ด้านล่าง
หลานตู เมืองหลวงของหยวนฉี ตั้งอยู่บริเวณที่สูงและล้อมรอบด้วยูเาชิงหลาน เป็พื้นที่ห่างไกลที่มีพรมแดนทางตะวันออกติดกับแม่น้ำ และมีพรมแดนติดกับอาณาจักรซื่อกั๋วซึ่งกั้นระหว่างหลานตูและอาณาจักรต้าจิ้ง ที่นี่ตั้งอยู่บนภูมิประเทศที่สูงชันจึงยากต่อการโจมตีและสามารถป้องกันตนเองได้ง่าย อาณาจักรแห่งนี้ก่อตั้งมานานกว่าสองร้อยสามสิบปีและมีการสืบทอดราชวงศ์มาแล้วถึงสิบเจ็ดชั่วอายุคน
หลังจากฮ่องเต้โม่เว่ย ฮ่องเต้หนุ่มแห่งต้าจิงขึ้นครองราชย์ เขาก็เริ่มรุกรานอาณาจักรอื่นตลอดสามปีติดต่อกัน แสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยานที่จะรวมแผ่นดินให้เป็หนึ่งเดียว ในปีที่สองของการขึ้นครองราชย์ เขาเริ่มต้นด้วยการทำลายล้างอาณาจักรต้าหลิวที่ตั้งอยู่ติดทะเลทางตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็แหล่งรวมตัวของนักปราชญ์ แต่เริ่มมีสัญญาณของความเสื่อมโทรมและฟุ่มเฟือยเกิดขึ้น
ในเวลานั้นเขายังคิดว่า อาณาจักรต้าจิ้งจะผนวกรวมกับอาณาจักรต้าหลิวซึ่งมีสภาพอากาศอบอุ่นและติดทะเลเพื่อเข้าถึงทรัพยากร เพราะอาณาจักรต้าจิ้งอยู่ใกล้กับดินแดนทางเหนือซึ่งมีอากาศหนาวเย็นจัด แต่แม่น้ำที่อยู่ทางตะวันออกของอาณาจักรหยวนฉีไปจนถึงอาณาจักรซื่อกั๋วนั้นอยู่ห่างไกลจากต้าจิ้งและมีูเาชิงหลานเป็แนวกั้นจึงไม่จำเป็ต้องกังวล แต่ใครจะรู้ว่าความทะเยอทะยานของต้าจิ้งนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด กองทัพต้าจิ้งไม่โจมตีอาณาจักรซื่อกั๋วก่อนแต่เลือกใช้กองทัพเรือมาโจมตีอาณาจักรหยวนฉีแทน เขาข้ามูเาชิงหลานที่ปกคลุมด้วยหิมะตลอดปีมาเพื่อโจมตีหยวนฉีเป็อาณาจักรแรก
เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีคนมีฝีมือพอที่จะอ้อมผ่านูเาชิงหลานที่เต็มไปด้วยอันตรายและโจมตีเมืองหลานตูที่อยู่้าก่อน เมื่อเมืองหลานตูถูกทำลาย นั่นก็หมายถึงการล่มสลายของอาณาจักรหยวนฉี ภูมิประเทศที่ยากต่อการโจมตีและสามารถป้องกันตนเองได้ง่ายกลับกลายเป็ลูกไก่ในกำมือที่ไร้ทางสู้
มือของฮ่องเต้แห่งหยวนฉีสั่นระริก แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าตนกำลังรู้สึกโกรธหรือกลัว เขารู้แค่ว่าไม่สามารถปล่อยให้อาณาจักรล่มสลายลงในรัชสมัยของเขาได้ แม้ว่าจะไร้โอกาสพลิกสถานการณ์ให้กลับมาได้ แต่เขาก็ต้องสู้กับฮ่องเต้แห่งต้าจิ้งจนตัวตาย!
“ฝ่าา! ข้าน้อยไร้ความสามารถ ฮ่องเต้แห่งต้าจิ้งนำทัพเข้าโจมตีเมืองหลวงแล้ว ตอนนี้ตำหนักหน้าถูกทำลายลงแล้วและองค์รัชทายาทก็สิ้นพระชนม์ในสนามรบแล้ว! ฝ่าพระบาท เหล่าพระสนม และเ้าชายน้อยโปรดไปที่ตำหนักเฉียนคุนแล้วใช้ทางลับหนีออกไปด้วยเถิดพะยะค่ะ!"
หัวหน้าราชองครักษ์ที่มีลูกธนูปักบนไหล่และใบหน้าเปื้อนเืรีบเข้ามาด้านในและคุกเข่าลงข้างหนึ่ง แม้จะดูเหนื่อยล้า แต่เขาก็ยังไม่แสดงความกลัวออกมา
“องค์รัชทายาทสิ้นแล้วอย่างนั้นหรือ? หนีอย่างนั้นหรือ? อย่าพูดจาดูิ่บรรพบุรุษของเราอีก กว่าเหรินจะสู้กับฮ่องเต้แห่งต้าจิ้งจนตัวตาย!!!” ฮ่องเต้ฉีจื้อแห่งหยวนฉีกริ้วจัดและชักดาบ์ออกมาจากฝักราวกับว่าพร้อมสู้กับฮ่องเต้แห่งต้าจิ้งแล้ว
“ฝ่าา! ทรงทำแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด! กองทัพของอาณาจักรต้าจิ้งนั้นรุดหน้ามาอย่างรวดเร็วและดุดัน ส่วนทหารม้าของฮ่องเต้แห่งต้าจิ้งล้วนเก่งกาจและยังเข่นฆ่าผู้คนมาตลอดทาง ข้าน้อยทราบมาว่าขุนนางและข้าทาสในพระราชวังต้องห้ามถูกสังหารด้วยดาบไปแล้วเกือบร้อยคน! องค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์ในสนามรบไปแล้ว ฝ่าา ข้าเชื่อว่า์ลิขิตให้ราชวงศ์ของเราอยู่สืบไป ความปลอดภัยของฝ่าาคือเหตุผลสำคัญสำหรับการดำรงอยู่ของอาณาจักรหยวนฉี ข้าขอวอนให้ฝ่าาหลีกหนีคมดาบของศัตรูและรอโอกาสที่เหมาะสมกลับมากอบกู้หลานตูคืนด้วยเถิด!”
อัครเสนาบดีแห่งหยวนฉีและขุนนางชั้นหนึ่งหลายคนคุกเข่าลงข้างฮ่องเต้ฉีจื้อแห่งหยวนฉี และพยายามเกลี้ยกล่อมพระองค์อย่างสุดแรงเกิดด้วยเสียงที่สั่นเครือ
ฮ่องเต้แห่งต้าจิ้งสวมเกราะเงินและผูกผ้าสีแดงที่คอประกาศก้องว่าขุนนางที่ยอมจำนนจะได้รับการไว้ชีวิต หากใครต่อต้านก็จะจบลงด้วยความตาย ไม่ว่าใครต่างก็รักตัวกลัวตายจึงมีขุนนางหลายคนยอมจำนน ยิ่งไปกว่านั้นอัครเสนาบดีเฒ่ายังสงสัยว่าอาจมีคนภายในให้ความร่วมมือกับฝ่ายศัตรู เมื่อหลังจากฮ่องเต้แห่งต้าจิ้งลงมาจากยอดเขาชิงหลานจึงทำให้ศัตรูเข้าโจมตีพระราชวังต้องห้ามได้อย่างง่ายดาย! พวกเขาคงจะมั่นใจและไร้กังวลมานานเกินไปจนนำมาสู่สถานการณ์ปัจจุบันใช่หรือไม่?
“...กว่าเหรินไม่ยอมให้จบแบบนี้! พระราชวังต้องห้ามถูกทำลายแล้วจะมีที่ไหนให้ซ่อนตัวได้อีก? กองทัพเรือของอาณาจักรซื่อกั๋วก็จับตามองเราอยู่ จะหนีไปที่ไหนได้? กว่าเหรินยอมสละชีวิตเพื่ออาณาจักรมากกว่าเอาตัวรอด! ถ้าพวกเ้าอยากหนีก็หนีไป กว่าเหรินจะไม่บังคับ แต่กว่าเหรินจะต้องสังหารฮ่องเต้แห่งต้าจิ้งในวังแห่งนี้เสียก่อนแล้วจึงจะสามารถเอาตัวรอดไปได้”
ขณะที่เขากำลังพูดก็มีเสียงม้าผสมปนเปกับเสียงของผู้คนที่เข่นฆ่ากัน ภายใต้ความโกลาหลวุ่นวายบรรดาสนมต่างก็พาเ้าชายน้อยหนีเตลิดไป
“ซีเอ๋อร์ เ้ารีบหนีไปเสีย แม่และเสด็จพ่อจะร่วมเป็ร่วมตายไปด้วยกัน แต่แม่มีเ้าเป็ลูกสาวเพียงคนเดียว เ้าเป็พระราชธิดาเพียงองค์เดียวที่ถูกต้องตามกฎหมายแห่งอาณาจักหยวนฉี ห้ามมาตายที่นี่เด็ดขาด ไป! ไปหาเฝิงซื่อหลางแล้วให้เขาพาเ้าหนีไป!” "
“เสด็จแม่เพคะ เสด็จพ่อตรัสไว้แล้วว่าหากไม่สามารถสังหารฮ่องเต้แห่งต้าจิ้งได้ก็จะสละชีวิตเพื่ออาณาจักร แล้วข้าจะหนีไปได้อย่างไร?” ฉีซีจับนิ้วที่สั่นเทาของฮองเฮาซูไว้ เธอไม่้าหนีไปจากที่นี่
“อย่ามาพูดไร้สาระ! แม่มีเ้าเป็สายเืเพียงคนเดียวแล้วจะปล่อยให้เ้าตายที่นี่ได้อย่างไร! เหลี่ยนจวิน เหลี่ยนจี๋ หรงรั่ว รีบพาองค์หญิงหนีไป เร็วเข้า!”
ฮองเฮาซูกัดฟันสั่งฉีซีและนางกำนัลประจำตัว ปัดมือที่จับไว้แน่นของฉีซีและผลักนางออกไปเต็มแรง
"เหนียงเหนียง! อย่าคิดเช่นนั้น หนีไปพร้อมกับพวกเราเถิด!" หรงรั่วนางกำนัลที่ติดตามฮองเฮาซูั้แ่เข้ามาในพระราชวังเห็นว่าฮองเฮาซูไม่มีเจตนาที่จะหลบหนี นางจึงปฏิเสธที่จะพาองค์หญิงหลิวเฟิงหนีไปเพียงลำพัง
“หรงรั่ว เ้าติดตามข้ามาหลายปีแล้ว เมื่อยามอันตรายมาถึงเ้ากลับไม่ยอมปกป้องธิดาของข้าอย่างนั้นหรือ?! ซีเอ๋อร์คือชีวิตของข้า นางจะตายไม่ได้เด็ดขาด!”
ฮองเฮาซูและหรงรั่วสนิทสนมกันราวกับเป็พี่น้องแท้ๆ จึงเป็เื่ธรรมดาที่จะเชื่อในตัวหรงรั่ว ยิ่งกว่านั้นนางยังเชื่อว่าด้วยความฉลาดและความสามารถของหรงรั่วจะสามารถปกป้องซีเอ๋อร์และช่วยพานางหนีไปอาณาจักรอื่นได้ แม้ว่าหยวนฉีจะล่มสลาย แต่นางก็ไม่้าให้ลูกสาวสุดรักสุดหวงแหนของตนตายตกไปพร้อมกับพวกเขา
“หรงรั่วเกิดมาเพื่อเหนียงเหนียง ย่อมเต็มใจตายเพื่อเหนียงเหนียง! เหนียงเหนียงไม่จำเป็ต้องสละชีวิตเพื่ออาณาจักร เราหนีไปด้วยกันเถิด!”
“พอได้แล้ว! ถ้ายังดึงเวลาต่อไปจะไม่ทันการ! ยังไม่รีบไปอีก! หรงรั่ว! ปกป้องซีเอ๋อร์แทนข้าด้วย!” ฮองเฮาซูเห็นเหล่าทหารแห่งอาณาจักรต้าจิ้งถือดาบยาวเปื้อนเืบุกเข้ามาในตำหนักและต่อสู้อย่างดุเดือดกับราชองครักษ์ ทันใดนั้นภายในห้องโถงก็เต็มไปด้วยชิ้นส่วนร่างกาย ศีรษะ เืและเนื้อกระเด็นไปทั่ว นางจึงผลักหรงรั่วและฉีซีไปที่ห้องโถงเฉียนคุน
“เสด็จแม่ ไม่นะ! อย่าทำเช่นนี้!”
ฉีซียังเห็นเืกระเซ็นไปทั่วตำหนักใหญ่และเปรอะเปื้อนเสาหินัดำ เืของราชองครักษ์และทหารต้าจิ้งไหลนองไปตามพรมแดงบนพื้นราวกับแม่น้ำซึ่งบานสะพรั่งไปด้วยดอกโบตันสีแดงเข้มที่อันตรายถึงชีวิต นางกุมอกคล้ายจะอาเจียน แต่ยังพยายามคว้ามือฮองเฮาซู
“ซีเอ๋อร์! ถ้าเ้าไม่เชื่อฟัง ไม่ต้องรอจนถึงฮ่องเต้แห่งต้าจิ้งบุกเข้ามาในตำหนัก แม่จะพุ่งชนเสาัให้ตายตกไปเสียเอง!”
ฮองเฮาซูวิ่งไปที่เสาัอย่างเด็ดเดี่ยวโดยตั้งใจที่จะพุ่งชนเสาเพื่อฆ่าตัวตาย
“เสด็จแม่! ข้าไป ข้าจะไปแล้ว! เสด็จแม่อย่าทำเื่โง่เขลาเช่นนั้นเลยเพคะ!” ฉีซีตื่นตระหนกและดึงแขนเสื้อของเสด็จแม่ไว้แน่นพลางร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความหวาดกลัวว่าเสด็จแม่จะคิดสั้นเอาศีรษะกระแทกเสาัจนตายไปจริงๆ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[1] กว่าเหริน เป็คำโบราณที่ฮ่องเต้และเ้าครองแคว้นใช้เรียกตัวเอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้