มู่จื่อหลิงยังไม่ทันมีการตอบสนอง รถม้าก็วิ่งออกไปแล้ว นางซวนเซไปมาจนเกือบถลาเข้าไปในอกของหลงเซี่ยวอวี่ ยังดีที่นางมีปฏิกิริยาว่องไว หมอบตัวลงอย่างรวดเร็ว มือข้างหนึ่งกอดรังนกในอ้อมอกไว้แน่น มืออีกข้างคว้าจับไปที่ขอบรถม้า
มิเช่นนั้นหากตนเองถลาเข้าไปในอ้อมแขนเขา หรือทำรังนกหกออกมา ไม่รู้ว่าจะถูกหลงเซี่ยวอวี่ถีบลงจากรถม้าหรือไม่
มู่จื่อหลิงอยากร่ำไห้แบบไร้น้ำตา รถม้าคันเล็กแค่นี้ เหตุใดหลงเซี่ยวอวี่จะต้องมานั่งคันเดียวกับนางให้ได้กัน
ยามนี้นางหมอบลงตรงหน้าหลงเซี่ยวอวี่ มือไม้อ่อนไปหมด นางจึงไม่กล้าขยับตัวมาก ดูเช่นไรก็น่าขบขันยิ่งนัก
ตอนนี้นางไม่กล้ามองสีหน้าหลงเซี่ยวอวี่เช่นกัน หลงเซี่ยวอวี่จะขบขำนางหรือไม่?
แต่ว่าคงจะไม่หรอก ใบหน้าหุบเขาหิมะหมื่นปีมิเปลี่ยนของเขาจะหัวเราะได้อย่างไร ทว่าท่าทางเช่นนี้ของนางก็ช่างขายหน้าเสียจริง พูดไว้เสียดีภาพลักษณ์ของภรรยาผู้มากคุณธรรม ยังเปลี่ยนท่าทางได้อยู่หรือไม่นะ
ในขณะที่มู่จื่อหลิงคิดว่าตนเองต้องรักษาท่าทางเช่นนี้ไปตลอดทางจนถึงจวนฉีอ๋อง ก็มีเสียงเย็นๆ ดังขึ้นเหนือศีรษะ เป็เหมือนเสียงแห่ง์
หลงเซี่ยวอวี่ขมวดคิ้วน้อยๆ น้ำเสียงเย็นพูดว่า “ยังไม่ลุกขึ้นมาอีก หมอบทำสิ่งใดกัน”
มู่จื่อหลิงสะดุ้งขึ้นมาโดยพลัน พูดอย่างประหม่าว่า “จู่ๆ หม่อมฉันก็แข้งขาอ่อนเพคะ ตอนนี้ดีขึ้นมาแล้ว”
กล่าวจบนางก็เตรียมหาที่นั่งลง สิ่งที่ยากจะรับรองก็ยังเป็การแตะโดนหลงเซี่ยวอวี่เข้าแล้ว นางลอบชำเลืองมอง หลงเซี่ยวอวี่หลับตาต่อไปแล้ว ไม่รู้ว่าหลับไปจริงๆ จนไม่รับรู้เลยหรือไม่
ท้ายที่สุดมู่จื่อหลิงก็หาที่ที่แคบที่สุด ปลอดภัยที่สุดอย่างระมัดระวังแล้วนั่งลงไป
ตลอดทางระหว่างทั้งสองคนนั้นไร้คำพูด หลงเซี่ยวอวี่ล้วนหลับตาอยู่ตลอด ไม่ลืมตาขึ้นแม้สักครั้ง ส่วนมู่จื่อหลิงก็แอบมองเขาเป็ครั้งคราว มองครั้งหนึ่ง ก็มองอีกครั้ง
ดวงตาของหลงเซี่ยวอวี่ยามลืมตานั้นลุ่มลึกดังบึงธารา หยิ่งทระนงระคนเ็า ต่อให้ยามนี้เขาหลับตาอยู่ก็ยังคงสามารถให้ความกดดันอันน่ากริ่งเกรงแก่ผู้คนได้!
คิ้วและดวงตาสว่างไสวราวกับดวงดาว ริมฝีปากสีอิงเถา คางเชิดสูงงดงาม ร่างเค้าโครงออกมาเป็ใบหน้าหล่อเหลาที่เ็าสง่างาม เสมือนกับรูปแกะสลักอันวิจิตรก็มิปาน
มู่จื่อหลิงยิ่งมองก็ยิ่งโลภ เหมือนว่ามองเท่าไรก็มิเพียงพอ นี่เป็ครั้งแรกที่นางกล้ามองหลงเซี่ยวอวี่ในระยะใกล้ถึงเพียงนี้
ขณะที่รถม้าใกล้จะถึงจวนฉีอ๋อง ทันใดนั้นก็มีเสียงโวยวายดังมาจากด้านนอก
มู่จื่อหลิงรู้สึกว่าเสียงนี้ออกจะคุ้นเคยอยู่เล็กน้อย นางแหวกม่านรถออก แต่ฉากที่เห็นก็ทำให้ไฟโทสะนางลุกโชนขึ้นมา นางวางรังนกลงบนตำแหน่งที่ปลอดภัยด้านข้าง ไม่สนใจว่ารถม้าจะหยุดหรือไม่ ไม่สนใจว่าหลงเซี่ยวอวี่กำลังหลับจริงหรือไม่ ถกกระโปรงขึ้นเตรียมะโลงจากรถ
ทว่ามือกลับถูกดึงเอาไว้ มู่จื่อหลิงหันศีรษะกลับไปมองหลงเซี่ยวอวี่ที่กำลังดึงนางไว้ ยามนี้นางมิได้สนใจว่าหลงเซี่ยวอวี่ดึงนางเอาไว้ด้วยเหตุใด ขณะที่้าจะเอ่ยปากให้เขาปล่อยมือ
“หยุดรถ!” หลงเซี่ยวอวี่ชิงเอ่ยเสียงเย็นขึ้นเสียก่อน
หลังจากรถม้าหยุดลง หลงเซี่ยวอวี่ถึงปล่อยมือมู่จื่อหลิง
เห็นว่ามือถูกปล่อยแล้ว มู่จื่อหลิงไม่มีเวลาคิดมากนัก ะโลงไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่มู่จื่อหลิงลงจากรถไป หลงเซี่ยวอวี่ก็เหลือบมองถ้วยด้านข้าง เปิดมันออก ดึงผ้าเช็ดหน้าสีดำออกมา จากนั้นหยดลงไปบนผ้าเช็ดหน้านิดหน่อย แล้วพับเก็บขึ้นมา
-
หน้าประตูจวนอ๋องมีคนรับใช้มุงอยู่ประปราย
“เปิ่นเสียวเจี่ย [1] เป็น้องสาวของฉีหวางเฟย พวกเ้ากล้ามารั้งข้าไว้ ไสหัวไปเสีย!” มู่อี๋เสวี่ยะโเสียงดังอยู่นอกประตูจวนฉีอ๋อง
วันนี้นางต้องเข้าไปในจวนฉีอ๋องให้ได้ คราที่แล้วมู่จื่อหลิงไม่ให้นางเข้าไป ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะเข้าไป ต่อให้ไม่เจอมู่จื่อหลิงก็มิเป็อันใด นาง้ามาพบฉีอ๋อง
เสี่ยวหานกุมใบหน้าข้างซ้ายที่เพิ่งถูกตบ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าแข็งกร้าว “คุณหนูรอง นายน้อยไม่อยู่จริงๆ เ้าค่ะ บ่าวก็พูดไปหลายรอบแล้ว”
เสี่ยวหานในยามนี้อเนจอนาถยิ่งนัก แก้มด้านซ้ายแสบร้อน ทว่านางกลับไม่มีน้ำตาแม้สักหยด เพราะนายน้อยบอกนางว่า หากนาง้าปกป้องนายน้อยก็มิอาจอ่อนแอได้ มิอาจร้องไห้ได้ง่ายๆ
“นางบ่าวสุนัข จะอยู่หรือไม่ก็ไม่ใช่เ้ามาพูด วันนี้เปิ่นเสียวเจี่ย้าเข้าไป ไสหัวไป อย่าได้มาเกะกะตาข้า” มู่อี๋เสวี่ยกล่าวด้วยใบหน้าดุร้าย
พูดพลางนางเตรียมสะบัดฝ่ามืออีกครั้ง
ขณะนี้เอง มู่จื่อหลิงก็มาถึงทันเวลา ดึงมือของมู่อี๋เสวี่ยที่เตรียมสะบัดใส่หน้าเสี่ยวหาน แล้วยื่นมืออีกข้างออกมาสะบัดเข้าที่ใบหน้าของมู่อี๋เสวี่ยอย่างฉับไวและรุนแรง
เพียะ! เพียะ!
มู่อี๋เสวี่ยไม่ได้คาดการณ์ไว้ หลังจากถูกมู่จื่อหลิงตบหนักไปสองฝ่ามือ ก็ล้มลงไปกับพื้นอย่างหมดสภาพ
มู่อี๋เสวี่ยกุมแก้มที่ถูกตบทั้งสองข้าง เงยศีรษะขึ้นไปมองผู้ที่ตบนางอย่างโกรธแค้น
“มู่จื่อหลิง เ้ากล้าตบหน้าข้า” สองตาของมู่อี๋เสวี่ยพลันมีเพลิงโทสะผุดขึ้นมา โกรธแค้นจนมิอาจข่มไว้ได้
กระสอบฟางผู้นี้ถึงกับกล้าตบนาง ก่อนหน้านี้เจอตนก็ราวกับหนูเห็นแมวอย่างไรอย่างนั้น ยามนี้เป็ฉีหวางเฟยแล้วจึงได้ใจขึ้นมาใช่หรือไม่ ยามนี้จึงได้อาจหาญลงมือกับนางครั้งแล้วครั้งเล่า เบื่อชีวิตแล้วหรืออย่างไร
มู่จื่อหลิงสะบัดมือแสบร้อน กล่าวเสียงเย็น “บังอาจ เปิ่นหวางเฟยยังมิได้กล่าวโทษใบหน้าเ้าที่มาปะทะเข้าที่มือเปิ่นหวางเฟยเลย เ้ากลับกล้าใส่ร้ายว่าเปิ่นหวางเฟยตบตีเ้า? แค้นใจไม่พออยากได้อีก?”
คนข้างเคียงได้ยินวาจามู่จื่อหลิง ก็อดมิได้ที่จะอ้าปากค้าง เหตุใดหวางเฟยจึงสามารถวางท่าเป็คนพาลได้อย่างมีเหตุมีผลเช่นนี้ สิ่งใดคือมือนางถูกใบหน้ามู่อี๋เสวี่ยตบเข้า ใบหน้าจะปะทะมือได้อย่างไร แต่ว่าหวางเฟยช่างน่าเกรงขามนัก พวกเขาเลื่อมใสเป็อย่างยิ่ง
ใบหน้าของเสี่ยวหานที่เดิมทีน่าสงสารถูกวาจานี้ของมู่จื่อหลิงทำให้ขบขันออกมาเสียแล้ว นายน้อยร้ายกาจยิ่งนัก
“เ้า...เ้ากล้า!” มู่อี๋เสวี่ยถูกดักคำพูดเสียจนพูดติดๆ ขัดๆ
นางพลันรู้สึกไม่ยุติธรรมขึ้นมา สิ่งที่เรียกว่าหน้าไปตบฝ่ามือมู่จื่อหลิง ทั้งๆ ที่ฝ่ามือมู่จื่อหลิงตบเข้าที่ใบหน้านาง
มู่จื่อหลิงสะบัดมือ กล่าวอย่างเย้ยหยัน “เปิ่นหวางเฟยย่อมต้องรู้ ตบตีเ้าก็ล้วนตีไปแล้ว มีอันใดมิกล้าอีก ทำไมกัน ไม่ยอมรับหรือ? ยังคิดจะเอาหน้ามาปะทะมือของเปิ่นหวางเฟยอยู่อีกหรือ?”
มู่อี๋เสวี่ยถูกทำให้โกรธเสียจนพูดไม่ออก
รังแกผู้อื่นเช่นนี้แล้ว จะมาเถียงข้างๆ คูๆ ได้อย่างไรกัน กระสอบฟางเช่นมู่จื่อหลิงผู้นี้เปลี่ยนเป็ร้ายกาจเช่นนี้ั้แ่เมื่อใด ปากคอเราะร้ายถึงเพียงนี้
“เสี่ยวหาน ต่อไปไม่มีธุระก็อย่าได้ออกมาเพียงลำพัง เลี่ยงมิได้เดี๋ยวถูกสุนัขบ้ากัดเอามั่วๆ ได้” มู่จื่อหลิงกล่าวกับเสี่ยวหานด้วยความสงสาร
วาจานี้แม้จะพูดกับเสี่ยวหาน ทว่าคนในที่นั้นต่างก็รู้ว่า สุนัขบ้า หมายถึงผู้ใด
มู่อี๋เสวี่ยมิอาจสงบนิ่งอีกแล้ว มู่จื่อหลิงด่าว่านางเป็สุนัขบ้า?
“มู่จื่อหลิง เ้ามัน…” มู่อี๋เสวี่ยตั้งท่าจะด่าออกมา แต่ไม่รู้ผู้ใดพูดออกมาประโยคหนึ่งว่าฉีอ๋องลงมาแล้ว ทำให้นางต้องกลืนคำด่าทั้งหมดลงไป
ฉีอ๋อง? บุรุษที่เสมือนเทพเซียนผู้นั้น บุรุษที่นางเฝ้าคะนึงหา เขามาจริงๆ หรือ?
จู่ๆ มู่อี๋เสวี่ยก็น้ำตาไหลพราก คุกเข่าดึงชายกระโปรงมู่จื่อหลิง “ฮือๆ ท่านพี่ เสวี่ยเอ๋อร์ผิดไปแล้ว ท่านพี่โปรดอย่าได้ทุบตีเสวี่ยเอ๋อร์เลย”
ผู้คนรอบข้างล้วนมิอยากจะเชื่อ หากเมื่อครู่พวกเขาไม่เห็นฉากที่มู่อี๋เสวี่ยผยองจองหอง นางในยามนี้คงทำให้ผู้ที่พบเห็นอดที่จะสงสารมิได้
มู่จื่อหลิงใกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของมู่อี๋เสวี่ย สีหน้าของแม่คนนี้จะเปลี่ยนไวเกินไปแล้ว บทจะร้องไห้ก็ร้องไห้ออกมา
มู่จื่อหลิงเหลือบมองหลงเซี่ยวอวี่ที่ลงจากรถม้า นางก็พลันเข้าใจขึ้นมา มู่อี๋เสวี่ยผู้นี้มาเล่นตลกหรืออย่างไร
แสร้งทำท่าน่าสงสารน่าเห็นอกเห็นใจ แต่จับไม่ถูกจุดของอีกฝ่าย ดันมาเสแสร้งต่อหน้าหลงเซี่ยวอวี่ที่เ็าไร้ความรู้สึก สร้างความอับอายให้ตนเองอยู่หรือ
มู่จื่อหลิงไม่กล่าววาจา ดึงมือมู่อี๋เสวี่ยที่จับชายกระโปรงนางออก มู่อี๋เสวี่ยอยากแสดงละครก็แสดงเองเถิด นางไม่มีเวลามาเล่นด้วย นางเดินมาด้านข้างล้วงยาบรรเทาอาการบวมออกมาทาให้เสี่ยวหาน
“อ๊าย ท่านพี่ อย่าตีเสวี่ยเอ๋อร์” มือของมู่อี๋เสวี่ยถูกมู่จื่อหลิงดึงออก นางพลันหมอบลงไปกับพื้น ร้องออกมาเสียงดัง
ท่าทีราวกับว่าเมื่อครู่มู่จื่อหลิงเตะนางอย่างไรอย่างนั้น
คนรอบข้างมองมู่อี๋เสวี่ยที่ร้องเองแสดงเองอย่างสนอกสนใจยิ่งนัก ทว่ามู่จื่อหลิงก็ยังคงไม่สนใจนาง ทายาให้เสี่ยวหานต่อไปอย่างปวดใจ
กระทั่งหลงเซี่ยวอวี่เข้ามาใกล้ คนทั้งหมดทำความเคารพ มู่อี๋เสวี่ยจึงลุกขึ้นมา นางได้มองบุรุษที่นางเฝ้าคิดถึงทุกขณะจิตอย่างจริงๆ สายตาของนางเลื่อนตามการเคลื่อนไหวของหลงเซี่ยวอวี่อยู่ตลอดเวลา
เขาเป็ดั่งแสงสว่างเจิดจ้าท่ามกลางความมืดมิด ทำให้นางสว่างไสวขึ้นมาโดยพลัน เพียงแค่แวบแรกนางก็หยุดลมหายใจ ชั่วขณะนี้ราวกับห้วงฝัน นางเกรงว่าเพียงหายใจฝันนี้ก็จะสลายไป
รอจนเมื่อหลงเซี่ยวอวี่ ‘เดินผ่าน’ หน้ามู่อี๋เสวี่ยจังๆ มู่อี๋เสวี่ยจึงได้สติกลับมา พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานอย่างน่าเวทนา “เสวี่ยเอ๋อร์คารวะฉีอ๋อง”
ไอ้หยา เสียงนี้หวานล้ำเสียจนทำให้บุรุษเกือบเมามาย ช่างน่าเสียดายนักที่มู่อี๋เสวี่ยไม่เข้าหอนางโลม ความสามารถในการหลอกล่อผู้ชายไม่ต่างกับผู้เชี่ยวชาญเลยสักนิด
แขนทั้งสองข้างของมู่จื่อหลิงอดมิได้ที่จะขนลุกไปหมด
แม่นี่คิดล่อลวงฉีอ๋องต่อหน้าธารกำนัลหรือ?
มู่อี๋เสวี่ยเห็นหลงเซี่ยวอวี่ไม่สนใจนาง ก็ร้องไห้กล่าวว่า “ท่านอ๋อง ท่านพี่มิได้ตีเสวี่ยเอ๋อร์ ล้วนเป็ความผิดเสวี่ยเอ๋อร์ ท่านอ๋องอย่าได้ถือโทษท่านพี่”
มู่จื่อหลิงที่ฟังอยู่หัวเราะออกมาทันใด นางขบขันจนจะตายอยู่แล้ว สมองมู่อี๋เสวี่ยผู้นี้มีแต่แป้งเปียกหรือ?
การแทนตนเองเช่นนี้ เหตุใดจึงเหมือนว่ามู่อี๋เสวี่ยเป็สนมผู้ต่ำต้อยของหลงเซี่ยวอวี่ ถูกนางชายาที่ถูกต้องตามธรรมเนียมรังแกเสียเล่า ทว่ายามนี้มู่อี๋เสวี่ยแสร้งเป็คนดีขอร้องแทนนาง รูปโฉมงดงามแต่ไร้มันสมองจริงๆ งดงามแต่ไร้สมองนัก
ฝั่งมู่จื่อหลิงกำลังยินดีในโชคร้ายของผู้อื่น ไม่รับรู้แม้แต่น้อยว่ารอบกายนั้นเงียบสงัด คนทั้งหมดมองมาที่นาง
นางในยามนี้เฝ้ารอขึ้นมาทันใดว่าหลงเซี่ยวอวี่จะทำสีหน้าแบบไหน จะถูกคำยอมรับผิดอย่างอ่อนหวานของมู่อี๋เสวี่ยหลอมละลายหรือไม่ นางหันไปมองด้วยความสงสัย ไม่มองก็มิต้องกังวล ทันทีที่มองก็เห็นหลงเซี่ยวอวี่หันศีรษะมาจ้องนางอย่างเย็นเยียบ
รอยยิ้มบนหน้ามู่จื่อหลิงแข็งค้าง นางชำเลืองมองคนรอบข้างที่มองมายังนางด้วยความเห็นใจ เกิดอันใดขึ้น หรือว่าพวกเขาคิดว่านางรังแกมู่อี๋เสวี่ยจริงๆ เมื่อครู่ก็ใช่ว่าพวกเขาจะไม่เห็น
“นาย...นายน้อย ท่านหัวเราะอันใดเ้าคะ” เสี่ยวหานลอบถามอยู่ด้านข้าง
นางสงสัยนักว่านายน้อยขบขันอันใดกันแน่ ตลกมากจริงๆ น่ะหรือ?
มู่จื่อหลิงจึงรู้สึกได้ว่าบรรยากาศมิใคร่จะถูกต้องนัก ดูเหมือนว่าคนในที่นี้จะไม่มีใครกล้าส่งเสียงสักนิด เสียงหัวเราะนางจึงดังที่สุด ์เมตตา เมื่อครู่นี้นางกลั้นไว้ไม่อยู่จริงจึงหลุดหัวเราะออกมา มิใช่เจตนาเสียหน่อย
“พูดไร้สาระ ข้าหาได้หัวเราะไม่ เมื่อสักครู่ข้าแค่ไอ แค่กๆ ไอน่ะรู้จักหรือไม่” มู่จื่อหลิงรีบทำเสียงฮ่าๆ อย่างมีชนักติดหลัง
เสี่ยวหานมีท่าทางไม่เชื่อ เมื่อครู่นายน้อยหัวเราะชัดๆ ทั้งยังหัวเราะเสียงดังอีกด้วย แต่ว่าวาจาที่คุณหนูรองกล่าวน่าขบขันถึงเพียงนั้นเลยหรือ เหตุใดนางจึงไม่รู้สึกว่าน่าขบขันเลยเล่า
คุณหนูรองกำลังฟ้องท่านอ๋อง เหตุใดนายน้อยไม่กังวลแม้แต่น้อย ยังหัวเราะออกมาได้อีก?
ในห้วงที่ทุกคนตกตะลึงอยู่นั้น หลงเซี่ยวอวี่ก็ไม่รู้ว่าเดินมาถึงหน้ามู่จื่อหลิงั้แ่เมื่อใด
----------------------------
เชิงอรรถ
[1] เปิ่นเสียวเจี่ย คำสรรพนามแทนตนเองของคุณหนูตระกูลใหญ่
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้