ทันทีที่สิ้นเสียง ชายผู้นั้นยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง ฮวาเหยียนพลันปล่อยพลังลมปราณอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาดกระแทกเข้าที่หน้าอกของชายผู้นั้นอย่างโเี้ทันที ร่างของเขาปลิวกระเด็นลอยออกไป เสียงโครมดังสนั่น ร่างที่กระแทกลงกับพื้นพาให้ฝุ่นผงปลิวตลบอบอวล ดวงตาของชายผู้นั้นเบิกโพลง เขาอยู่ในท่าทีตะลึงงัน ยามที่เขากำลังจะเปิดปากพูด ทันใดนั้นก็อาเจียนออกมาเป็เืก้อนใหญ่ เขากำลำคอของตนเองก่อนจะสลบล้มลงไปในทันที
เกิดความหวาดกลัวขึ้นในยามนั้น ทุกคนตกตะลึงรวมถึงฉู่หลิวซวงเองก็ด้วย
คนที่อยู่ข้างหลังนางรีบก้าวเข้าไปข้างหน้าเพื่อตรวจสอบชายที่ล้มลงกับพื้น จากนั้นก็เงยหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวขึ้นมองไปที่ฉู่หลิวซวง “จวิ๋น... จวิ๋นจู่ ซุนเหวยเขา เขา..."
“ทำไม? ”
เสียงของฉู่หลิวซวงแข็งกร้าวขึ้นเพียงเพราะเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของนางพูดจาติดอ่าง
ในวินาทีถัดมาพลันได้ยินเสียงของคนคนนั้นกล่าวว่า “พลังปราณถูกทำลาย เส้นลมปราณเสียหาย ซุนเหวย เขากลายเป็คนไร้ประโยชน์ไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรนะ? ไร้ประโยชน์ไปแล้ว? ”
ฉู่หลิวซวงเปล่งเสียงอย่างใ นางรีบร้อนก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจสอบด้วยตนเอง ก่อนจะพบว่าลมปราณในร่างกายของซุนเหวยกำลังวิ่งพล่านมั่วซั่วไปทั่ว ไร้หนทางจะทำให้สงบลงได้ พลังลมปราณดับสูญไปแล้ว
เฮือก
ฉู่หลิวซวงสูดอากาศเย็นเข้าปอด ใบหน้าของนางแตกเป็ริ้วๆ เงยหน้าขึ้นด้วยแววตาที่ยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น
สำหรับผู้ที่ฝึกวรยุทธ์นั้น หากเส้นลมปราณถูกทำลาย ส่งผลให้พลังลมปราณดับสูญก็เท่ากับว่าเป็คนไร้ประโยชน์ ทั้งชีวิตนี้คงไม่มีวันเป็ผู้ฝึกยุทธ์ได้อีก ย่อมมีชีวิตอยู่อย่างไม่สู้ตาย
นางจ้องเขม็งไปที่ฮวาเหยียน กัดฟันเปล่งเสียงกระแทกทีละคำ “มู่อันเหยียน เ้าเพิ่งทำลายเส้นลมปราณของบุตรชายมือขวาของท่านเสนาบดีฝ่ายทหาร เ้ากล้ายิ่งนัก เ้าคิดว่าตนเองยังเป็บุตรสาวคนโตแห่งตระกูลมู่เช่นเมื่อสี่ปีที่แล้วอยู่อีกหรือ?”
นางเปล่งเสียงตะคอกอย่างแข็งกร้าว
ทว่าในยามนั้น ภายในใจของฉู่หลิวซวงเองก็รู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก เนื่องจากซุนเหวยเป็หนึ่งในผู้ฝึกยุทธ์ระดับผู้บำเพ็ญเพียรขั้นที่หก ทว่าซึ่งเขากลับถูกทำลายเพียงเพราะฝ่ามือเดียวของมู่อันเหยียน
ตัวนางเองก็เป็ผู้ฝึกยุทธ์ระดับผู้บำเพ็ญเพียรขั้นที่สิบเอ็ด ทว่าก็ไม่อาจทำร้ายผู้บำเพ็ญเพียรขั้นที่หกได้ด้วยฝ่ามือเดียว ดังนั้นในตอนนี้มู่อันเหยียนที่อยู่เบื้องหน้านางเป็ผู้ฝึกยุทธ์ระดับใดกันแน่?
ฉู่หลิวซวงกำมือสองข้างที่วางไว้แนบลำตัวแน่น
นางเป็จวิ๋นจู่ที่มีพร์สูงสุดในเมืองหลวงแห่งต้าโจว นางมิอาจถูกมู่อันเหยียนพรากศักดิ์ศรีของนางไป
“เฮอะ กล้าดูถูกบุตรชายของข้า รนหาที่ตายนัก”
ฮวาเหยียนเหลือบมองไปที่ฉู่หลิวซวง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเ็า น้ำเสียงนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความหยิ่งผยอง
ฉู่หลิวซวงโมโหจนปีกจมูกสั่นไหว มู่อันเหยียนที่สูญหายไปเป็เวลาสี่ปี นิสัยของนางได้เปลี่ยนเป็ท่าทีไม่สนกฎ์หรือกฎหมายบ้านเมือง เมื่อสี่ปีก่อน ท่าทีของสตรีผู้นี้คงไว้ซึ่งความเ็าและหยิ่งยโส สี่ปีต่อมา นิสัยของนางเปลี่ยนจากหน้ามือเป็หลังมือ เพียงแค่เอ่ยปากก็สามารถทำให้คนโมโหตายได้ อีกทั้งพลังลมปราณนั้นก็รุนแรงยิ่งนัก
สุดท้ายแล้ว เื่ราวที่เกิดขึ้นเมื่อสี่ปีก่อนได้เปลี่ยนมู่อันเหยียนไปโดยสมบูรณ์
หน้าผากของฉู่หลิวซวงเต้นกระตุกด้วยความเ็ปเพราะคำพูดของฮวาเหยียน
ความโเี้และความเกลียดชังซ่อนอยู่ในดวงตาของนาง ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะเ็าของนางที่พ่นออกมาว่า "มู่อันเหยียน เ้าสูญหายไปถึงสี่ปี นิสัยของเ้าเปลี่ยนไปไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามนี้จิตใจของเ้าช่างโเี้อำมหิต เ้าไม่รู้หรือว่าสำหรับผู้ฝึกวรยุทธ์นั้นเส้นลมปราณมีความหมายว่าอย่างไร? เ้าทำให้เขากลายเป็คนพิการ วันนี้จวิ๋นจู่ผู้นี้จะแสวงหาความยุติธรรมคืนให้กับเขา”
ทันทีที่สิ้นเสียง พลันเห็นนางยกมือขึ้น ก่อนจะออกคำสั่งว่า “ทหาร จับมู่อันเหยียนให้ข้าเดี๋ยวนี้ นางทำร้ายซุนเหวย จวิ๋นจู่ผู้นี้ขอเป็ตัวแทนของมือขวาท่านเสนาบดีฝ่ายทหารจับตัวนาง มอบให้ฮ่องเต้ทรงตัดสินโทษ! "
"พ่ะย่ะค่ะ"
ฉู่หลิวซวงออกคำสั่ง ทุกคนที่อยู่หลังนางพลันส่งเสียงตอบรับ แววตาของทุกคนโเี้ดุร้าย
ฮวาเหยียนขยับตัว นางคิดถึงไม่ถึงว่าชายที่ถูกฝ่ามือพิฆาตของนางแท้จริงแล้วจะมีฐานะเช่นนี้ แต่ไม่ว่าเขาจะเป็ใคร ถ้าเขาดูิ่หยวนเป่า มันผู้นั้นย่อมสมควรตาย
นางเหลือบมองไปทางฉู่หลิวซวงที่คิดจะจับนางแทนมือขวาเสนาบดีฝ่ายทหารคนนั้น? เฮอะ... จิตใจเ้าเล่ห์มากแผนการยิ่งนัก เดิมทีนางก็เกลียดตนแทบตายจนคิดจะเก็บกวาดให้สิ้น ทว่ากลับกล่าวด้วยคำพูดสวยหรูสูงส่ง ช่างเสแสร้งเก่งเหลือเกิน
แต่วันนี้ ดูท่าแล้วว่าจะต้องลงมือฆ่าล้างบางเสียแล้ว
นางมองไปทางเมืองหลวง บางทีอาจจะไม่คุ้มที่จะอยู่ต่อที่นี่
ผู้คนนับสิบที่อยู่เื้ัฉู่หลิวซวง เข้าล้อมฮวาเหยียนไว้อย่างรวดเร็ว
"จัดการ"
ฉู่หลิวซวงออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวดุดัน
ผู้คนนับสิบพุ่งเข้าหาฮวาเหยียน แววตาของนางเ็ายิ่งนัก บรรยากาศทั้งร่างพลันแปรเปลี่ยนไปในทันที นางจับมือหยวนเป่า ค่อยๆ ยืนขึ้นบนเกวียนลา ริมฝีปากสีแดงของนางเม้มแน่น นางยกมือขึ้น ทว่ายังไม่ทันได้ขยับตัว ทันใดนั้นหอกยาวพู่แดงพลันพุ่งแหวกสายลมเข้ามา พร้อมกับเสียงคำรามก้องด้วยความโกรธเคืองของบรุษผู้หนึ่ง “ผู้ใดกล้าแตะต้องบุตรสาวของเปิ่นหวาง [1] ! ”
เสียงคำรามโกรธเกรี้ยว ถล่มฟ้าทลายดิน แหวกตัดทำลายความสงบ
เห็นเพียงบุรุษผู้หนึ่งขี่อาชาสีนิลพุ่งตรงเข้ามา เสียงของเขามาถึงก่อนตัว ยังไม่ทันเข้าใกล้ฝูงชนก็บังคับแส่ม้าหยุดม้าเอาไว้ ก่อนตนเองจะเหาะพุ่งเข้ามา จากนั้นก็เหวี่ยงฝ่ามือขึ้น พลังลมปราณแผ่กระจายไปรอบทิศทาง ตรงเข้ากระแทกผู้คนนับสิบที่ล้อมรอบฮวาเหยียนและหยวนเป่าเอาไว้ จนพวกเขาแตกกระซ่านกระซัดกระเซ็นทันที
เขายืนอยู่ตรงหน้าฮวาเหยียนและหยวนเป่า ดวงตาคู่คมราวกับตาของเสือจ้องมองไปที่ฮวาเหยียนและหยวนเป่า
ราวกับว่าไม่กล้าที่จะเชื่อ
เขามองฮวาเหยียนที่อยู่ตรงหน้า มองนาง จ้องใบหน้าของนาง ั์ตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกอย่างไม่อาจปิดบังได้ ถูกต้อง ถึงแม้จะซูบผอมลงไปมาก ทว่าคิ้วคู่นี้ ั์ตาคู่นี้ ถอดแบบมาจากมารดาของนาง...
สี่ปี เด็กสาวที่หายตัวไปถึงสี่ปีเต็ม...
นางกลับมาแล้วจริงๆ !
มู่เอ้าเทียนจ้องไปที่บุตรสาวที่เขาคิดถึงทุกคืนวัน ดวงตาเอ่อท้นไปด้วยหยาดน้ำ ความสงสัยของเขาเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ เหตุใดบุตรสาวของเขาถึงทิ้งบิดาผู้นี้ไป จากไปครั้งก็หายไปถึงสี่ปี ไร้สิ้นซึ่งข่าวคราวใด
เ้าเด็กคนนี้ ใจร้ายถึงขนาดนี้ได้อย่างไร เหตุใดนางถึงได้กล้า เหตุใดถึงได้...
ทว่าเขาไม่กล้าก้าวเข้าไปข้างหน้า ทำได้เพียงมองดูใบหน้าที่งดงามที่อยู่ตรงหน้า นี่คือบุตรสาวของเขา นางยืนอยู่ตรงหน้าเขาจริงๆ มิใช่ความฝันเพียงตื่นหนึ่ง
ดวงตาของมู่เอ้าเทียนแดงก่ำ แม้แต่กะพริบตายังไม่กล้าหักใจทำ กลัวว่าทันทีที่เขาหลับตา ทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าเขาจะสลายหายไป
์รู้ดี สี่ปีที่ผ่านมาเขาใช้ชีวิตผ่านไปได้อย่างไร?
บุตรสาวที่เขารักถนอม ประคองไว้ในอุ้งมือ วางบนหัวใจ หลังจากถูกโจมตีเข้าไปเช่นนั้น นางกลับไม่ได้พึ่งพาบิดาเช่นเขา แต่เลือกที่จะแบกรับเอาไว้คนเดียว หนีออกจากจวน หนีไปจากเขา
เขาโมโห ไม่เข้าใจ สิ้นหวัง เ็ป และในที่สุดก็กลายเป็ความเสียใจ
เป็เขาเองต่างหาก เป็พ่อเช่นเขาที่ไม่สามารถปกป้องบุตรของตัวเองได้ ปล่อยให้นางจากไปโดยไม่บอกลา ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนั้น!
ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดว่า เด็กคนนี้ได้ตายไปแล้ว เขาถึงขนาดคิดว่า เขาสูญเสียบุตรสาวของตนไปแล้ว...
สี่ปีแล้วที่ไม่ได้เจอ บุตรสาวของเขาซูบผอมลงไปมาก ยามที่ต้องเผชิญกับโลกภายนอกคงแบกรับความทุกข์ใจไว้มากมายเป็แน่ นางที่เป็เพียงสตรีผู้หนึ่ง ไร้คนข้างกาย ไม่มีพ่อ ไม่มีพี่ชาย เร่ร่อนอยู่ภายนอกเพียงผู้เดียว ต้องทนทุกข์ทรมานมากเพียงใด ต้องเหนื่อยยากสักเพียงไหน...
หัวใจที่เ็ปของมู่เอ้าเทียนพันกันยุ่งเหยิง
หยาดน้ำตามิอาจควบคุมได้อีกต่อไป มันรินไหลออกมาจากหางตา เขาเบือนหน้าหนีเพราะไม่้าให้ฮวาเหยียนเห็นเขาในสภาพเช่นนี้ ทว่ากลับสบเข้ากับดวงตาประเมินอีกคู่หนึ่ง
เด็กน้อยคนหนึ่ง ผิวขาวอมชมพูราวกับหยกแกะสลัก ทั้งละเอียดอ่อนและน่ารัก ความไม่สบายใจบางอย่างติดอยู่ในสายตา เด็กน้อยใช้ดวงตาที่อยากรู้อยากเห็นคู่หนึ่งลอบสำรวจตัวเขา
น้ำตายังคงเอ่อท่วมอยู่ในดวงตาของมู่เอ้าเทียน ในยามนั้นเขาได้ยินเสียงเล็กของเด็กชายตัวน้อยที่เอ่ยออกมาว่า "ท่าน... คือท่านตาใช่หรือไม่ขอรับ?”
ท่านตา!
ดังนั้นเด็กคนนี้ก็คือ...
บุตรชายของบุตรสาวเขา?
นางออกไปเผชิญโลกภายนอกเพียงคนเดียว ตั้งครรภ์และคลอดบุตร ตกลงแล้วนางต้องผ่านความทุกข์ยากเช่นไรกัน ต้องชดใช้โทษถึงระดับไหน?
บุตรสาวสุดที่รักที่เขาประคบประหงมวางไว้กลางฝ่ามือ ตลอดสี่ปีที่ผันผ่าน นางใช้ชีวิตมาเช่นไร?
บุตรสาวของเขา บุตรสาวแสนล้ำค่าของเขา
ในยามนั้น ความไม่เข้าใจและความสับสนทั้งหมดไม่เหลืออยู่อีกแล้ว เหลือเพียงความทุกข์และความเสียใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
มู่เอ้าเทียนทนไม่ไหวอีกต่อไป เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดหน้า กลั้นเสียงร้องไห้ไว้ในลำคอ หยาดน้ำตาไหลริน ในเวลานี้ชายผู้สง่างามหลั่งน้ำตาราวกับหัวใจกำลังแตกสลาย
โลกเงียบงันไร้สรรพเสียง ไม่มีผู้ใดเอื้อนเอ่ยคำพูด มีเพียงเสียงบุรุษร่างสูงใหญ่ที่พยายามข่มเสียงร่ำไห้ของตนไว้อย่างสุดกำลัง
เชิงอรรถ
[1] เปิ่นหวาง เป็คำเรียกแทนตน หมายถึงท่านอ๋องผู้นี้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้