ที่ประตูเมืองมีคนเดินทางสัญจรไปมามากมาย ด้านหลังของฮวาเหยียนมีย่าหลานคู่หนึ่งที่กำลังเดินเท้าเข้ามาในเมือง ทั้งสองเดินช้าๆ เนื้อตัวโงนเงนเนื่องจากร่างกายที่ไม่ค่อยแข็งแรง พวกเขาคงกำลังคิดจะหารถม้าเดินทางต่อ ทว่าด้านหน้ากลับเห็นกลุ่มคนขี่ม้าที่กำลังขี่ม้าเข้ามา พวกเขาขี่ผ่านไปด้วยความรวดเร็ว มือคุมบังเหียนแน่น ฝุ่นฟุ้งตลบลอยทั่ว แม้ว่าจะขี่ผ่านผู้คนไปมากมาย ทว่ากลับไม่ได้ชะลอความเร็วลงเลยแม้แต่นิด
"ไสหัวไป หลีกทางเร็วเข้า"
ดวงตาเห็นคนกลุ่มนี้วิ่งเข้ามาด้วยความเร็ว ชายที่เป็ผู้นำมีแววตาโเี้ เขาก่นด่าเสียงดังมาตลอดทาง
ฮวาเหยียนที่กำลังขับเกวียนลาอยู่ ความจริงนางสามารถขี่ไปอีกทางเพื่อหลบคนกลุ่มนั้นได้ แต่ในพริบตาที่นางเห็นย่าหลานคู่หนึ่งกำลังเดินอยู่หลังเกวียนลาของนางซึ่งหญิงชราอายุหกสิบเศษและหลานสาวก็อายุเพียงสี่ห้าขวบเท่านั้น นางพลันตัดสินใจไม่หลบ เพราะหากนางหลบ แรงปะทะทั้งหมดจะโดนสองย่าหลานเข้าเต็มๆ ทั้งสองคนคงโดนบดจนกลายเป็ผุยผงแน่
เด็กหญิงตัวน้อยคนนั้นอายุพอๆ กับหยวนเป่า
ฮวาเหยียนขมวดคิ้ว แววตาเ็าเปล่งประกาย นางไม่ยอมถอยแต่กลับก้าวออกไปเผชิญหน้ากับเขาแทน ในเวลานั้น ม้าควบวิ่งทะยานพุ่งตรงมาหานาง ชายบนหลังม้าดูเหมือนจะคาดไม่ถึงว่าฮวาเหยียนจะยืนนิ่งไม่ยอมขยับ ชั่วพริบตาเดียวใบหน้าของเขาพลันดุร้ายขึ้น เห็นได้ชัดว่าความเร็วของเขาไม่ลดลงเลยสักนิด ในยามนั้นเองเขายกแส้ในมือขึ้นและสะบัดไปทางฮวาเหยียนและหยวนเป่าทันที...
“เ้ากำลังรนหาที่ตายอยู่หรือ? กล้าขวางทางจวิ๋นจู่...”
“กรี๊ด...! ”
“์ทรงโปรด! ”
“รีบหลบเร็วเข้า พวกเ้าแม่ลูกจะโดนชนแล้วนะ”
“ต้องถูกเหยียบย่ำเป็ผุยผงแน่...! ”
เสียงอุทานโดยรอบดังขึ้นทันที บางคนถึงกับปิดตาตัวเอง ไม่กล้าดูฉากนองเืที่กำลังจะตามมา
สีหน้าฮวาเหยียนไม่เปลี่ยนแปลง เป็ในตอนที่ม้าเข้ามาใกล้ ได้ยินเพียงเสียงพ่นลมหายใจเ็าของนาง ร่างกายที่เกียจคร้านมาแต่เดิมของนางขยับเคลื่อนไหว นิ้วเรียวยาวยกขึ้น เข็มเงินสามเล่มทอประกายเย็นเฉียบ ดวงตาของนางฉายภาพม้าที่วิ่งทะยาน ขณะที่แส้ถูกยกขึ้น เข็มเงินสามเล่มในมือของฮวาเหยียนถูกพลังลมปราณปกคลุม สะบัดโจมตีโดยตรงไปที่ขาของม้าทันที
ฮี้…
เสียงคำรามแหบต่ำของม้าตัดผ่านท้องฟ้า ขาม้าสีน้ำตาลงอและล้มลงด้วยความรุนแรง ชายบนหลังม้าปลิวออกไปทันที ก่อนจะหล่นกระแทกพื้นด้วยความรุนแรงเช่นกัน เขาตกลงจากหลังม้าตัวใหญ่ กินโคลนเข้าปากไปคำหนึ่ง จากนั้นก็นั่งอึ้งอยู่นาน ไม่อาจลุกขึ้นจากพื้นได้
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ทำให้คนรอบข้างตะลึงงัน
“โจวเหอ เกิดเื่อันใดขึ้น?”
ในเวลานั้น กลุ่มคนที่อยู่เื้ัในที่สุดก็ตามมาทัน ในยามนั้นเอง จู่ๆ ก็ปรากฏเสียงของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น น้ำเสียงของนางเปี่ยมไปด้วยความโมโห มิอาจอดทนอดกลั้นไหว
ฮวาเหยียนเงยหน้าขึ้นและเห็นสตรีบนหลังม้า ตาสีแดงหงส์ คิ้วเรียวดั่งใบหลิว รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดขี่ม้าสีแดง ใบหน้าเ็าและเย่อหยิ่ง นางเชิดคางขึ้นเล็กน้อย สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“จวิ๋นจู่ คนผู้นี้ไม่ได้มีท่านในสายตาเลย ทั้งขวางถนน ซ้ำยังทำร้ายขาของม้าอีกพ่ะย่ะค่ะ”
ในที่สุดชายที่ชื่อโจวเหอก็มีปฏิกิริยาตอบกลับ เขาะโตีลังกาขึ้นมา ถ่มดินในปากออก ก่อนจะรีบวิ่งไปที่ด้านข้างของสตรีชุดแดง ชายหนุ่มบ่นอย่างไม่พอใจพลางจ้องไปที่ฮวาเหยียนหลังจากที่พูดจบ
"ไร้สาระ วิชายุทธ์ของเ้าอยู่ในระดับผู้บำเพ็ญเพียรขั้นที่สี่ กลับถูกชาวบ้านลอบโจมตี เ้าทำให้จวิ๋นจู่คนนี้เสียหน้าแล้ว"
สตรีสูงศักดิ์ที่อยู่บนม้าส่งเสียงเคร่งขรึมด้วยสีหน้าที่เ็า
“จวิ๋นจู่โปรดให้อภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ชายที่ชื่อโจวเหอรีบคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อขอความเมตตา
"เฮอะ"
จวิ๋นจู่หลิวซวงถอนหายใจอย่างเ็า ขี้คร้านจะสนใจเขาแล้ว ท่าทางมองเหยียดจากที่สูง นางกลอกตา ดวงตาเหยียดหยามจ้องไปที่ฮวาเหยียนและหยวนเป่าแทน
“เ้าฏ วันนี้จวิ๋นจู่ผู้นี้มีธุระด่วน ข้าจะไม่คิดเล็กคิดน้อยเอาโทษเื่การปะทะกันของพวกเ้า พวกเ้าจงคุกเข่าลงก้มหัวขอโทษ แล้วเื่ในวันนี้ก็ถือเสียว่าช่างมันเถิด”
น้ำเสียงของนางมีความรู้สึกที่เหนือกว่า ราวกับว่าประโยคที่นางพูดออกมานั้นเป็การให้ทานกับฮวาเหยียนและหยวนเป่า
ที่ประตูเมืองมีคนจำนวนมากกำลังเคลื่อนไหว พวกเขากังวลแทนฮวาเหยียนและหยวนเป่าจนเหงื่อตก ผู้คนที่มองดูอยู่โดยรอบไม่กล้าที่จะหายใจ ทำได้เพียงกระซิบกันเท่านั้น
“แม่ลูกคู่นี้ต้องมาปะทะกับจวิ๋นจู่หลิวซวง ถือว่าโชคร้ายยิ่งนัก รีบก้มหัวสำนึกผิดเถิด เื่นี้จะได้จบ”
“จวิ๋นจู่หลิวซวงเป็ธิดาเพียงคนเดียวของอ๋องคัง นางมีวรยุทธ์ระดับผู้บำเพ็ญเพียรขั้นที่สิบเอ็ดที่กำลังจะเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์ และฮ่องเต้เองทรงชมเชยนางเป็อย่างยิ่ง”
“จะไม่ใช่ได้อย่างไร จวิ๋นจู่หลิวซวงเป็ธิดาองค์แรกของอาณาจักรต้าโจวที่ยิ่งใหญ่ของเรา นางมียศถาบรรดาศักดิ์ชั้นสูง โตขึ้นมาอย่างงดงาม และมีวรยุทธ์ในระดับที่สูงยิ่ง”
...
เสียงกระซิบจากบริเวณโดยรอบเข้าหูของฮวาเหยียน นางขมวดคิ้วเล็กน้อยและยังคงนึกถึงคำพูดของจวิ๋นจู่หลิวซวง เ้าฏ? นางกำลังพูดถึงตนและหยวนเป่าใช่หรือไม่? จวิ๋นจู่คนนี้ตาก็ไม่บอด ในใต้หล้านี้จะมีฏที่งดงามและเป็ที่รักเช่นนี้ได้อย่างไร?
ฮวาเหยียนไม่ขยับ หยวนเป่าเองก็เช่นกัน
หลังจากรอคำขอโทษจากฮวาเหยียนและหยวนเป่าจนเวลาผ่านไปนาน ใบหน้าของฉู่หลิวซวงก็มืดครึ้มลงเล็กน้อย แววตาของนางดูเ็ายิ่ง “เ้าไม่ได้ยินที่จวิ๋นจู่ผู้นี้พูดเลยหรือ? ”
น้ำเสียงนั้นเ็าอย่างเห็นได้ชัด
ฉู่หลิวซวงเม้มริมฝีปากสีแดงของนางแน่น คิดว่าหากสองคนนี้หูไม่หนวก พวกเขาก็คงจงใจท้าทายอำนาจของนาง
ถ้าเป็อย่างแรกก็นับว่ายังมีทางออกอื่นให้นาง แต่หากเป็อย่างหลัง... หึหึ ผ่านไปหลายปียังไม่มีใครกล้ารนหาที่ตายเช่นนี้
“แม่ลูกคู่นั้นทำอะไรกัน เหตุใดถึงไม่ขยับเลยสักนิด?”
“รีบขอโทษเร็ว จวิ๋นจู่กำลังโกรธนะ”
ผู้คนโดยรอบต่างมองไปที่ฮวาเหยียนและหยวนเป่าที่กำลังก้มหัวไม่รู้ว่าทำสิ่งใดอย่างพร้อมเพรียงกัน พวกเขาต่างก็ร้อนใจแทนแม่ลูกคู่นี้
ทว่าในยามนั้น เกิดเื่อีกเื่หนึ่งเกิดขึ้นข้างเกวียนลา
ปรากฏว่านิ้วหัวแม่มือของฮวาเหยียนมีรอยแผลเล็กๆ อยู่ หยวนเป่าจัดการกับมันอย่างใกล้ชิด เด็กน้อยถอนหายใจอย่างเป็ทุกข์ยิ่ง
“ท่านแม่ ยังเจ็บอยู่หรือไม่ขอรับ? ”
"ไม่เป็ไร"
ฮวาเหยียนส่ายหัวพร้อมกับมองดูเขาด้วยแววตาที่นุ่มนวล ลูกชายของนางเป็เหมือนกางเกงผ้าฝ้ายตัวน้อยที่ใกล้ชิดมากจริงๆ [1]
“แล้วจวิ๋นจู่ที่ขวางทางเล่า? ให้หยวนเป่าวางยาพิษพวกมันดีหรือไม่? ”
หยวนเป่าถาม
ฮวาเหยียนส่ายหัว “ลูกเอ๋ย เ้าควรเก็บเืนั้นเอาไว้ใช้เอง แค่ไม่กี่คนแค่นี้ไม่คณามือของแม่หรอก แม่จัดการเองได้ ปล่อยให้พวกมันะโโลดเต้นกันไปสักพักเถิด เรามาทำแผลกันก่อน ยังปวดอยู่เลย”
ฮวาเหยียนตอบ
เมื่อได้ยินท่านแม่บอกว่าเจ็บ หยวนเป่าก็ถอนหายใจออกมาหลายครั้ง
มีเพียง์ที่รู้ แท้จริงแล้วมันเป็เพียงแผลเล็กๆ เท่านั้น อีกครู่เดียวก็หาไม่เจอแล้ว
ฮวาเหยียนทั้งสวยและเ้าเล่ห์ทว่านางกลับเลี้ยงดูลูกชายได้ดี เขาเองก็รักนางด้วยใจจริง
...
ตามจริงแล้วฮวาเหยียนไม่ได้มีพวกฉู่หลิวซวงในสายตาเลย แม้ว่านางจะมาจากโลกอื่นเพราะไข่มุกทองัคะนองน้ำ แต่เมื่อนางตกลงมาจากหน้าผาก็บังเอิญปลุกเส้นลมปราณได้ สี่ปีที่อยู่ด้านล่างของหน้าผานั้น นางก็ฝึกฝนอย่างหนักและเรียนรู้จากผู้เฒ่าติงที่อยู่ที่นั่นว่าแผ่นดินใหญ่เป็เช่นไร
แผ่นดินชางหลานนี้มีการแยกระดับที่ชัดเจน ซึ่งมีทั้งคนธรรมดาและผู้บำเพ็ญเพียร
ผู้บำเพ็ญเพียรหมายถึงบุคคลที่ปลุกเส้นลมปราณและพลังอันแข็งแกร่ง พลังยิ่งกล้าแกร่งก็ยิ่งได้รับการยกย่อง
ผู้ฝึกวรยุทธ์ระดับผู้บำเพ็ญเพียรขั้นสามัญจะแบ่งขั้นพลังลมปราณเป็สิบสองขั้น หลังจากผ่านขั้นที่สิบสอง พวกเขาก็จะเข้าสู่ระดับปรมาจารย์
การเข้าสู่ระดับปรมาจารย์ก็หมายความว่าได้เข้าสู่ตำแหน่งของผู้แข็งแกร่ง
แม้ว่านางจะไม่ได้ทดสอบระดับความแข็งแกร่งของลมปราณใน่หลายปีที่ผ่านมา ทว่าผู้เฒ่าติงเคยกล่าวว่านางมีพร์เป็อย่างยิ่งและระดับปัจจุบันของนางควรเป็ระดับปรมาจารย์ขั้นที่หนึ่ง ดังนั้นฉู่หลิวซวงผู้นี้จึงไม่อยู่ในสายตาของนาง
เ้าต้องรู้ความแตกต่างระหว่างระดับผู้บำเพ็ญเพียรและระดับปรมาจารย์
แต่ความจริงแล้ว ครั้งนี้นางตั้งใจจะพาหยวนเป่ากลับบ้านจึงอยากจัดการอย่างเงียบๆ และไม่อยากสร้างเื่ จะทำอย่างไรถึงจะสร้างความประทับใจให้ตระกูลมู่ั้แ่ครั้งแรกที่พบกัน? แต่เหมือนจะตรงกันข้ามเพราะมีแต่คนจ้องจะหาเื่
“เฮอะ...”
เชิงอรรถ
[1] ช่างเป็กางเกงผ้าฝ้ายตัวน้อยที่ห่วงใยในชีวิตยังเป็คำอุปมา โดยทั่วไปหมายถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างลูกกับพ่อหรือแม่เพราะลูกมักจะละเอียดอ่อน สุภาพ และมีน้ำใจ และตีความได้ถึงความรักในตระกูล
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้