มู่จื่อหลิงนำเสี่ยวไตกูเข้าไปไว้ในระบบซิงเฉิน ส่วนตนเองก็เอนกายลงบนเตียง ‘เข้าสู่นิทรา’ ทว่าจิติญญาของนางกลับเข้าไปในระบบซิงเฉิน เดิมทีนางคิดว่าการเลี้ยงหนอนกู่ก็เหมือนการเลี้ยงสัตว์พิษชนิดอื่น ให้มันกินอะไรเสียหน่อยก็เพียงพอ
นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าวิธีเลี้ยงกู่ที่ระบบซิงเฉินแสดงขึ้นมาก็คือนำกู่ที่ยังไม่เปลี่ยนรูปร่างเ่าั้ไปวางไว้ในภาชนะที่ปิดแ่า ให้พวกมันฆ่ากันเอง และระหว่างที่ฆ่ากันเองนั้นพวกมันจะค่อยๆ เติบโตขึ้นอย่างช้าๆ
49 วันให้หลังกู่ที่ยังมีชีวิตอยู่เป็ตัวสุดท้ายจึงจะเป็กู่ที่แท้จริง เรียกว่าราชินีกู่ จากนั้นราชินีกู่จะให้กำเนิดหนอนกู่ตัวเล็กๆ พวกนั้น เป็วัฏจักรเช่นนี้ กล่าวก็คือในฝูงหนอนกู่ควบคุมใจหนึ่งฝูง จะมีเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่เป็กู่จริงๆ
ตอนนี้นางรู้แล้วว่าเหตุใดรังนกของฮองเฮาชามนั้นจึงเนืองแน่นไปด้วยกู่น้อยที่ยังไม่เจริญวัย ที่แท้ร่างที่แท้จริงของราชินีกู่จะสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า
ฮองเฮาทำหนอนกู่เยาว์วัยขึ้นมาฝูงหนึ่งเพราะอยากฝังมันเอาไว้ในร่างกายมนุษย์ กู่แท้จริงที่มีชีวิตรอดในร่างกายของมนุษย์นั้นใช้เวลาเพียงเจ็ดวันในการเปลี่ยนร่าง และวันที่กู่ตัวจริงเปลี่ยนร่างก็จะเป็วันที่เป้าหมายฮองเฮาสำเร็จลุล่วง
จิตใจฮองเฮาช่างละเอียดรอบคอบเสียจริง กระทำการรอบคอบ ไตร่ตรองถี่ถ้วน มู่จื่อหลิงยินดีอย่างเงียบๆ อีกครั้งที่ระบบซิงเฉินตรวจพบปัญหานี้ก่อน
นางยังคิดอย่างไร้เดียงสาจนเกินไป คิดว่าพวกฮองเฮานั้นง่ายดาย วันหน้าหากต้องเป็ศัตรูกับคนเช่นฮองเฮา ก็จำต้องตื่นตัวยิ่งกว่านี้
ไม่แปลกที่หลงเซี่ยวอวี่กล่าวเตือนนางว่าอย่าได้ไปหาเื่พวกฮองเฮา แต่ว่าหลงเซี่ยวอวี่กล่าวเช่นนี้เพราะเป็ห่วงนางหรือ?
มู่จื่อหลิงคิดๆ ไปแล้วก็ส่ายศีรษะ จะเป็ไปได้อย่างไร หลงเซี่ยวอวี่รังเกียจสตรีเพียงใดนางไม่เคยเห็นด้วยตาตนเองมาก่อน ทว่าจากนิสัยของเขาแล้ว รวมกับหลงเซี่ยวเจ๋อในเวลาปกติเอาแต่พูดพร่ำเื่ที่หลงเซี่ยวอวี่รังเกียจสตรีเช่นใดออกมาต่อหน้านางกองเบ้อเริ่ม นางจึงเข้าใจอย่างคร่าวๆ
ต้องเป็เพราะหลงเซี่ยวอวี่เกรงว่านางไปหาเื่ฮองเฮา สุดท้ายไม่สามารถจัดการได้ จนลุกลามมาถึงจวนฉีอ๋อง ถึงได้มาตักเตือนนาง อืม ต้องเป็เช่นนี้แน่ๆ เป็ไปไม่ได้ที่จะใส่ใจนาง
ครั้งนี้มู่จื่อหลิงอยู่ในระบบซิงเฉินนานถึงสามวัน นางกลับลืมเลือนเวลาไปจนหมดสิ้น ลืมว่าอยู่มานานเท่าใดแล้ว จิติญญาของนางเองก็มิได้รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าเช่นกัน
ทั้งสามวันนี้มู่จื่อหลิงล้วนทำเื่เดียวกัน ก็คือแยกกู่ควบคุมใจออกมาจากรังนก วางลงในที่ที่ปิดทึบ กู่ควบคุมจิตใจนั้นเป็กู่ที่เล็กเป็พิเศษในบรรดากู่ด้วยกัน แยกออกมาได้ลำบากนัก จึงถือเป็งานใหญ่งานหนึ่ง
มู่จื่อหลิงอยู่ในระบบซิงเฉินไม่กินไม่นอนถึงสามวัน ไม่รู้เลยแม้แต่นิดว่าโลกข้างนอกมีคนกี่มากน้อยที่นางทำให้ร้อนรน วุ่นวายกันไปหมด
-
หลังออกมาจากอุทยานจื่อจู๋ เมื่อหลงเซี่ยวอวี่กลับมาถึงจวนฉีอ๋อง ฟ้าก็มืดแล้ว
ในจวนฉีอ๋องสว่างไสวไปด้วยแสงจากโคมไฟ ยกเว้นเพียงตำหนักอวี่หานที่มืดไปหมด
ร่างเล็กของเสี่ยวหานละล้าละลังอยู่หน้าประตูตำหนักอวี่หานมาเป็เวลานาน นางมีท่าทางลังเลใจคิดจะเคาะประตูอยู่ตลอดเวลาทว่าไม่กล้าพอ
ยามนั้นนายน้อยพูดกับนางอย่างเข้มงวดว่ามิอาจไปรบกวนได้ นางรู้ว่านายน้อยต้องมีเื่สำคัญอันใดแน่ นางจึงมิกล้าเข้าไปรบกวน
ทว่านานขนาดนี้แล้วเหตุใดนายน้อยจึงยังไม่ออกมา ยามนี้ก็ถึงเวลากินข้าวแล้ว ตำหนักยังมืดไปหมด หลับไปแล้วหรืออย่างไร?
“บ่าวคารวะฉีอ๋อง” ทันใดนั้นเสี่ยวหานก็เห็นหลงเซี่ยวอวี่ที่เดินมาจากไกลๆ รีบร้อนปลุกความกล้าหาญทำความเคารพเสียงดัง
นางหวังว่านายน้อยที่อยู่ด้านในจะได้ยิน แต่ว่าท่านอ๋องเดินใกล้เข้ามาแล้ว เหตุใดนายน้อยยังไม่เปิดประตูออกมาอีก หรือว่าจะหลับจนไม่ได้ยิน?
ทว่านางก็ไม่กล้าส่งเสียงดังอีกแล้ว แม้เมื่อครู่ท่านอ๋องจะไม่มองนาง แต่นางก็ยังรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวท่านอ๋องน่ากลัวนัก
แต่ไม่ว่านายน้อยจะได้ยินหรือไม่ ในใจนางกลับผ่อนคลายลง ฉีอ๋องมาก็ดี นายน้อยรู้เป็แน่ว่าหากท่านอ๋อง้าเข้าไปนางคงขวางไว้ไม่อยู่ ดังนั้นเมื่อท่านอ๋องเข้าไป นางก็สามารถเรียกนายน้อยออกมากินข้าวได้
เดิมเสี่ยวหานคิดว่าฉีอ๋องจะไม่สนใจนาง ผลักประตูเข้าไปเลย ทว่า...
“หวางเฟยอยู่ข้างใน?” หลงเซี่ยวอวี่ถามอย่างเ็า
“เพ...เพคะ นายน้อยเข้าไปั้แ่ยามบ่ายจนบัดนี้ยังมิได้ออกมา มื้อเย็นก็ยังมิได้รับ ท่าน...” จู่ๆ เสี่ยวหานก็ถูกหลงเซี่ยวอวี่ถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จึงใเข้าให้ แต่นางก็ยังพูดเื่ที่นายน้อยยังไม่กินข้าวออกมาด้วย มิเช่นนั้นถ้าท่านอ๋องไม่เข้าไป จะทำเช่นไร
วาจาเสี่ยวหานยังไม่ทันจบ หลงเซี่ยวอวี่ก็ผลักประตูเข้าไปแล้ว
เสี่ยวหานไม่ได้ไม่พอใจเพราะเหตุนี้ กลับยินดีด้วยซ้ำ เพราะฉีอ๋องเข้าไป นางจึงสามารถเข้าไปได้
นางเดินเข้าไปอย่างกังวล นางรีบเดินไปที่ไข่มุกราตรีในตำหนักที่แต่เดิมคลุมผ้าไว้ พอเปิดออก ข้างในตำหนักอวี่หานจึงสว่างไสวขึ้นมา
นางมองมู่จื่อหลิงที่กำลังนอนอยู่บนเตียง จึงเดินเข้าไปปลุกนางอย่างแ่เบา “นายน้อย...”
เดิมทีเสียงเรียกของเสี่ยวหานนั้นเบายิ่ง แต่เมื่อเห็นมู่จื่อหลิงที่อยู่บนเตียงยังคงไม่มีการตอบสนองก็พลันร้อนใจขึ้นมา
นางไม่สนใจว่าหลงเซี่ยวอวี่จะอยู่หรือไม่อยู่ เรียกเสียงดังขึ้น ทั้งเรียกทั้งเขย่าแขน ก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง เหตุใดนายน้อยจึงหลับมิได้สติอีกแล้ว ครั้งก่อนนายน้อยก็บอกว่าไม่เป็อันใด ยามนี้เหตุใดจึงเรียกไม่ตื่นอีกแล้วเล่า
หลังจากที่หลงเซี่ยวอวี่เข้าไปก็รู้สึกผิดปกติ ทว่าเขาไม่สนใจ เหลือบมองมู่จื่อหลิงที่นอนอยู่บนเตียง แล้วเดินไปหยิบถ้วยที่บรรจุรังนกไว้ขึ้นมาจากโต๊ะข้างเตียง
มือของเขาชะงักไป ไม่มีแล้ว? เมื่อเปิดออกดูพบว่ายังมีติดก้นถ้วยนิดหน่อย จากนั้นจึงปิดฝาเตรียมนำออกไป เมื่อชำเลืองมองคนที่อยู่บนเตียง ถึงได้พบว่าสาวใช้ผู้นั้นเรียกมานานแล้ว แต่มู่จื่อหลิงก็ยังนอนอยู่บนเตียงไม่ไหวติง
หลงเซี่ยวอวี่ขมวดคิ้ว รู้สึกว่ามีตรงใดไม่ถูกต้อง เขานำถ้วยกลับไปวางบนโต๊ะ แล้วเดินเข้าไป
เสี่ยวหานเห็นหลงเซี่ยวอวี่เดินเข้ามาก็ถอยออกอย่างรู้สถานการณ์ แต่นางยังคงมองมู่จื่อหลิงด้วยสีหน้าเป็กังวล นายน้อยเกิดเื่จริงๆ ใช่หรือไม่ เกรงว่านายน้อยจะมิได้บอกนาง
หลงเซี่ยวอวี่เดินไปข้างเตียง ยื่นมือไปอังจมูกของมู่จื่อหลิง แล้วในใจเขาก็ตื่นตระหนก ไม่มีลมหายใจ?
เขาถึงได้สังเกตว่าความผิดปกติตอนเพิ่งเข้ามานั้นคือสิ่งใด ในตำหนักนอกจากเขารับรู้ได้ถึงลมหายใจของคนเพียงคนเดียวแล้วก็ไม่มีของผู้อื่นอีก เป็มู่จื่อหลิงที่ไร้ลมหายใจ
หลงเซี่ยวอวี่จึงตรวจสอบชีพจรของมู่จื่อหลิงทันที แม้แต่หลงเซี่ยวอวี่เองก็ไม่รู้ว่าการกระทำของเขามีความร้อนรนแฝงอยู่
มีชีพจร ไม่มีลมหายใจ? เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
หลงเซี่ยวอวี่หันไปชำเลืองมองถ้วยบนโต๊ะ ดวงตาลุ่มลึกหรี่ลงเล็กน้อย ดูน่ากริ่งเกรงนัก ไม่รู้ว่าคิดสิ่งใดอยู่
จากนั้นไม่นาน หลงเซี่ยวอวี่ก็ทำสัญลักษณ์มือ กุ่ยหยิ่งและกุ่ยเม่ยจึงปรากฏตัวขึ้นโดยไร้สุ้มเสียง
“กุ่ยหยิ่งไปเรียกเล่อเทียนมา กุ่ยเม่ยไปดูว่าที่ตำหนักคุนหนิงมีความเคลื่อนไหวอันใดผิดปกติหรือไม่” หลงเซี่ยวอวี่สั่งกุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยอย่างเย็นเยียบ
“ขอรับ” กุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยประสานมือส่งเสียงตอบรับ พวกเขาเพิ่งทราบถึงความผิดปกติของหวางเฟย มิกล้าโอ้เอ้แม้แต่ชั่วขณะเดียว แยกย้ายกันไปทำงานทันที
เสี่ยวหานใกับแรงกดดันจากน้ำเสียงเย็นเยียบของหลงเซี่ยวอวี่จนมิกล้าส่งเสียง นายน้อยเกิดเื่จริงๆ ใช่หรือไม่ นางเหมือนจะจำได้ว่าเล่อเทียนผู้นั้นเป็หมอคนหนึ่ง ท่านอ๋องเชิญเขามาตรวจดูอาการนายน้อย?
นางเองก็อยากรู้นักว่าเกิดเื่ใดกับนายน้อยกัน ทว่านางก็ไม่กล้าถามท่านอ๋อง ได้แต่ยืนร้อนรนอยู่ด้านข้าง นายน้อยท่านอย่าได้เป็อันใดไปนะ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด กุ่ยหยิ่งก็หิ้วเล่อเทียนที่สวมเพียงชุดด้านในสภาพเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางเข้ามา ดูท่าแล้วเล่อเทียนคงถูกกุ่ยหยิ่งลากขึ้นมาจากห้วงนิทรา แม้แต่เสื้อผ้าก็ยังมิทันสวมใส่ ยามนี้หาได้มีท่าทางสุภาพอ่อนโยนไม่ ช่างน่าอเนจอนาถนัก
เดิมทีเล่อเทียนถูกกุ่ยหยิ่งลากขึ้นมาจากห้วงความฝันก็ไม่พอใจมากอยู่แล้ว กุ่ยหยิ่งแม้แต่เสื้อผ้าก็มิให้เขาสวมใส่ ไม่พูดพล่ามสะพายล่วมยาเขาแล้วพาเขามา
เขาเป็คุณชายสุภาพอ่อนโยน ปกติให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์เป็ที่สุด เห็นกุ่ยหยิ่งไม่ให้เขาสวมอาภรณ์ก็ขุ่นเคืองขึ้นมา หลังจากประมือกับกุ่ยหยิ่งอยู่สองสามกระบวนท่าถึงพ่ายแพ้
ใครใช้ให้เขามีความสามารถไม่เท่าผู้อื่นเล่า แม้วิชาตัวเบาของเขาจะยอดเยี่ยม แต่กำลังภายในกลับธรรมดานัก
ตลอดทั้งทางเล่อเทียนไล่ถามกุ่ยหยิ่งอยู่ตลอดว่ามีเื่สำคัญอันใด แต่กุ่ยหยิ่งกลับพูดเพียงประโยคเดียวมาอุดปากเขาไว้ ‘ไปถึงก็รู้’
ในใจเล่อเทียนขุ่นเคืองยิ่ง กุ่ยหยิ่ง ทางที่ดีที่สุดคือเ้าต้องมีเื่สำคัญ มิเช่นนั้นเ้าได้เห็นดีกับเปิ่นกงจื่อแน่ คืนนี้ภาพลักษณ์อันสมบูรณ์แบบของเขาถูกกุ่ยหยิ่งทำลายจนหมดสิ้นแล้ว
กระทั่งเขามาถึงตำหนักอวี่หาน เล่อเทียนเห็นหลงเซี่ยวอวี่นั่งอยู่บนตั่ง สีหน้าเคร่งขรึม ถึงได้รับรู้ว่าเื่นี้เป็เื่ใหญ่จริงๆ แล้ว
“เซี่ยวอวี่ เกิดอันใดขึ้น?” เล่อเทียนรีบสาวเท้าเข้าไปถาม
เกิดเื่ใหญ่อันใดกันแน่ ฉีอ๋องถึงให้กุ่ยหยิ่งไปลากเขามากลางดึกกลางดื่น เขาไม่เห็นฉีอ๋องมีสีหน้าท่าทางเช่นนี้มานานแล้ว
หลงเซี่ยวอวี่มองข้ามการแต่งกายของเล่อเทียนในยามนี้ กล่าวเสียงเย็น “ไปดู”
เขาแสดงท่าทีให้เล่อเทียนไปดูมู่จื่อหลิงที่นอนอยู่บนเตียง
ยามนี้เล่อเทียนเหมือนตื่นขึ้นจากฝัน ที่นี่เป็ตำหนักอวี่หาน แต่ว่าที่ที่เขายืนอยู่มิใช่ที่พำนักของฉีอ๋อง แต่เป็ที่พำนักของฉีหวางเฟยคนที่เขาเคยเห็นผู้นั้นหรือ
เขามองตามสายตาของหลงเซี่ยวอวี่ไป เป็ฉีหวางเฟยจริงด้วย นางในยามนี้นอนอยู่บนเตียงอย่างนิ่งสงบ สีหน้าราบเรียบ ด้วยท่าทางหลับลึก มองไม่เห็นความผิดปกติใด
ยามนี้เล่อเทียนไม่มัวมาคิดถึงท่าทีของหลงเซี่ยวอวี่ที่มีต่อมู่จื่อหลิงว่าคือสิ่งใด เขารีบเดินเข้าไป นั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างตรวจชีพจรโดยละเอียด
ครู่หนึ่ง เล่อเทียนจึงลุกขึ้นมา
“หวางเฟยปกติดีทุกอย่าง ไม่มีปัญหาใด” เล่อเทียนตอบหลงเซี่ยวอวี่
เขาเองก็แปลกใจเช่นกัน ฉีหวางเฟยไม่มีปัญหาใดนี่ แค่เพียงมีท่าทางนอนหลับไปเท่านั้น ทว่าภายนอกมีการเคลื่อนไหวใหญ่โตปานนี้ เหตุใดจึงไม่ตื่น ดูท่าทางแล้วก็ไม่เหมือนคนที่เหนื่อยล้าจนหมดสติไปเช่นกัน แต่เขาก็ดูไม่ออกว่ามีปัญหาตรงใด
“ทุกอย่างปกติ?” หลงเซี่ยวอวี่พูดขึ้น เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อคำพูดของเล่อเทียน
บัดนี้เล่อเทียนก็ไม่รู้เช่นกันว่าควรพูดเช่นใด ทุกอย่างปกติจริงๆ เกิดปัญหาที่ใดกันแน่
“รังนกอยู่นั่น” หลงเซี่ยวอวี่กล่าวขึ้นอีก สื่อความให้เล่อเทียนเข้าไปดู
เล่อเทียนมองรังนกด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความตกตะลึง รังนก? ที่ฉีหวางเฟยกลายเป็เช่นนี้เกี่ยวกับรังนกถ้วยนี้ใช่หรือไม่?
เขาไม่คิดฟุ้งซ่านอีก เดินไปข้างโต๊ะ หยิบถ้วยขึ้นมาเปิดออก
รังนกอะไรกัน จนจะเห็นก้นถ้วยอยู่รอมร่อแล้ว เหลือเพียงหยดเดียวเท่านั้น แต่ว่าก็มิอาจเป็อุปสรรคการตรวจสอบของเขาได้
เล่อเทียนเหลือบมองมู่จื่อหลิงอย่างประหลาดใจ แล้วหันไปมองหลงเซี่ยวอวี่ เหมือนกำลังพูดว่า นี่ไม่ถูกหวางเฟยดื่มเข้าไปใช่หรือไม่ จากนั้นนางจึงกลายเป็เช่นนี้ ฮองเฮาวางยาพิษใดจึงได้ร้ายแรงเช่นนี้
หลงเซี่ยวอวี่มิได้กล่าวสิ่งใด ราวกับยอมรับอย่างเงียบๆ แต่ก็เหมือนว่าเขาเองก็ไม่แน่ใจว่ามู่จื่อหลิงกินเข้าไปจริงๆ หรือไม่
หลงเซี่ยวอวี่ไม่เชื่อว่ามู่จื่อหลิงจะกินเข้าไป ปกติสตรีผู้นี้ฉลาดนัก จะเลินเล่อถึงเพียงนั้นได้อย่างไร ต้องเป็เพราะนางพบว่าในรังนกมีปัญหา จึงได้ขอมาจากฮองเฮาเป็แน่
หากมีปัญหาจริง เหตุใดฮองเฮาจึงยอมให้นางเอากลับมาอย่างง่ายดาย
ทว่าบัดนี้มู่จื่อหลิงกลายเป็เช่นนี้ เขาจึงได้แต่คิดว่ามู่จื่อหลิงกินรังนกเข้าไปไว้ก่อน
การตรวจสอบนี้ของเล่อเทียนลากยาวไปถึงยามฟ้าสว่าง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้