“ไม่ต้องมากพิธี” เสียงองค์หญิงฟังดูเหมือนจะอ่อนโยน แต่กลับถามคำถามอย่างเฉียบแหลม “พ่อบ้านสองคนในจวนของเราหาอยู่นานก็ไม่อาจหาของขวัญที่เหมาะสมได้ แต่กลับมาได้จากเ้าก็นับเป็วาสนา เพียงแต่เปิ่นกง [1] เห็นว่าของสิ่งนี้แปลกประหลาดยิ่ง ดูละเอียดลออคล้ายจะเป็ฝีมือของสตรีเสียมากกว่า?”
“องค์หญิงทรงพระปรีชา ของเล่นชิ้นนี้มีชื่อว่ากระต่ายน้อยปี่เต๋อ เป็ของที่กระหม่อมได้มาตอนกลับอันโจวไปเยี่ยมบิดา ได้ยินว่าเป็ของที่บุตรสาวนายพรานคนหนึ่งทำขึ้น กระหม่อมเห็นว่าแปลกใหม่ ทั้งฝีมือเย็บปักยังไม่เลว จึงนำกลับมาขายที่เมืองหลวง ได้มีโอกาสพบกับพ่อบ้านทั้งสองของจวนองค์หญิงและมีโอกาสได้ถวายของชิ้นนี้ให้จวิ้นจู่น้อย นับเป็วาสนาของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ บุตรสาวนายพราน? ช่างเฉลียวฉลาดนัก”
เสียงขององค์หญิงฟังไม่ออกว่าพอใจหรือโกรธเกรี้ยว ยิ่งทำให้เฉินซิ่นระมัดระวังยิ่งกว่าเดิม จะพูดปดแม้เพียงนิดมิได้
“พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิง บ้านของนางไม่นับว่าเป็พรานป่า ถึงแม้ทั้งหมู่บ้านจะประกอบอาชีพนายพรานล่าสัตว์ แต่บิดาของแม่นางน้อยคนนี้เป็บัณฑิตมีการศึกษา หลังจากมารดาป่วยและจากโลกนี้ไป แม่นางน้อยคนนั้นก็มีหน้าที่เป็ผู้ดูแลบ้าน บิดาและพี่ชายมีใจใฝ่หาแต่ตำราเรียน จึงละเลยเื่ในบ้านไปบ้าง ยามปกติแม่นางน้อยจึงต้องขบคิดหาวิธีขายของสร้างรายได้มาจุนเจือครอบครัว”
“แหม ช่างเป็เด็กกตัญญูยิ่งนัก”
ไม่รู้ว่าองค์หญิงเห็นใจจริงๆ หรือว่าไม่อาจปล่อยให้แขกตัวน้อยทั้งหลายรอเก้อได้ จึงถามขึ้นแทนแม่นางน้อยที่ใจร้อนทั้งหลายว่า “ของเล่นพวกนี้ในมือเ้ามีอยู่เท่าใดก็ส่งมาที่นี่ให้หมดเถอะ ราคาข้าให้เป็สองเท่า ถือเสียว่าเป็รางวัลให้แม่นางที่กตัญญูผู้นั้น”
“ขอบพระทัยองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ ในมือของกระหม่อมมีอยู่สิบหกชุด ถวายให้จวิ้นจู่ไปแล้วหนึ่งชุด เหลืออยู่อีกสิบห้าชุด อีกประเดี๋ยวจะให้รถม้านำมาส่งพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงพอพระทัยจึงลุกขึ้นโดยมีนางกำนัลประคองเดินออกไป เหลือเพียงบรรดาสุภาพสตรีตัวน้อยที่สลัดคราบความเรียบร้อยกลับมาเป็เด็กหญิงที่ร่าเริงอีกครั้ง
“เ้าพูดจริงหรือ? มีแค่สิบห้าชุด?”
“นั่นสิ สิบห้าชุดก็ไม่พอน่ะสิ”
“ใช่แล้ว ถ้าอย่างไรพวกเราให้คนลองทำเลียนแบบขึ้นมาดีหรือไม่”
เฉินซิ่นได้ยินก็นึกไปถึงรายละเอียดที่เสี่ยวหมี่เคยบอกบิดาของตนเอาไว้ จึงไม่มีเวลาคิดอะไรมากรีบเอ่ยแทรกขึ้นมาว่า “คุณหนูทุกท่าน ขออนุญาตให้ข้าน้อยได้พูดสักสองสามประโยค ตุ๊กตากระต่ายน้อยปี่เต๋อที่มุมลับของหางแต่ละข้างจะมีลายอักษรพิเศษปักไว้ เป็สัญลักษณ์ว่าเป็ของแม่นางน้อยจากอันโจวผู้นั้น อย่าว่าแต่ในต้าหยวนเลย ในใต้หล้านี้ก็มีอยู่แค่สิบกว่าชุดนี้เท่านั้น และเพราะเป็ของหายากเช่นนี้เอง ถึงจะคู่ควรกับคุณหนูผู้สูงส่งทั้งหลาย
อีกอย่างในกล่องไม้ใบนั้นยังมีสมุดภาพเล่าเื่กระต่ายน้อยปี่เต๋ออยู่ด้วย แต่ยังไม่ใช่เื่ราวทั้งหมดของกระต่ายน้อยปี่เต๋อ วันหน้ายังจะมีสมุดภาพส่งมาอีก แน่นอนว่าสมุดภาพนี้จะมีให้แค่สิบห้าชุดเท่านั้น และในใต้หล้านี้ก็จะมีเพียงแค่สิบห้าชุด ทุกๆ ไตรมาสจะมีของพิเศษใหม่ๆ ออกมา เช่นแมวน้อยไคตี๋ [2] หมี่เหลาซู่ [3] ข้าน้อยเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรบ้าง แต่คิดดูแล้วคงจะน่ารักเหมือนกระต่ายน้อยปี่เต๋อแน่นอนขอรับ และเื่ราวก็คงน่าสนใจเช่นเดียวกัน”
“ที่แท้เป็เช่นนี้เอง”
“มิน่าเล่าจวิ้นจู่ถึงได้โปรดปรานนัก ถูกเหยียบไปทีหนึ่งจึงโมโหมาก ที่แท้ในกล่องนั้นยังมีสมุดภาพด้วยหรือ เื่เล่าของกระต่ายน้อยปี่เต๋อคืออะไร สนุกหรือไม่?”
แม่นางน้อยทั้งหลายส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวเหมือนนกร้อง สอบถามไม่หยุด ทำเอาเฉินซิ่นปวดหัวไปหมด เขาโขกศีรษะแล้วตอบคำถาม “คุณหนูทั้งหลาย เพราะของเล่นนี้เป็ของหายากมีอยู่แค่สิบห้าชุด ผู้น้อยจะกล้าเปิดออกดูโดยพลการได้อย่างไร ถ้าอย่างไรให้ข้าน้อยกลับไปเอามาประเดี๋ยวนี้ และส่งให้คุณหนูทั้งหลายได้เปิดดูอย่างละเอียดเป็อย่างไรขอรับ”
“ดี เ้ารีบไปสิ”
“ใช่แล้ว ยังรีรออะไรอยู่อีก หากช้าแล้วเด็กรับใช้ไม่รู้ความในร้านขายมันออกไปเสียก่อนแล้วจะทำเช่นไร?”
เฉินซิ่นยิ้มขมขื่นอยู่ในใจ เขาไม่สามารถสนทนาด้วยเหตุด้วยผลกับคุณหนูสูงศักดิ์เหล่านี้ได้เลย เขาทำได้แค่รีบลุกขึ้นยืน แล้ววิ่งคลำหาประตูด้วยความมึนงง ท่าทางโง่งมเช่นนั้นทำเอาบรรดาคุณหนูทั้งหลายหัวเราะออกมา
ดีที่ครู่หนึ่งก็มีคนมาพาตัวเขาไป เมื่อออกมาจากเรือนชั้นในแล้วถึงได้ถูกเอาผ้าปิดตาออก เฉินซิ่นเองก็ไม่กล้าเสียเวลาไปมากกว่านี้ เขารีบกลับไปที่เรือนของตัวเองด้วยความเร็วราวกับบิน จากนั้นก็พาเด็กรับใช้นำกล่องที่เหลืออีกสิบห้าชุดส่งไปยังจวนองค์หญิง
พ่อบ้านคนหนึ่งที่เขาเคยพบที่โรงน้ำชากำลังยืนรออยู่ที่หน้าประตู เนื่องจากตุ๊กตานั่นเป็ที่ถูกพระทัยของจวิ้นจู่ จึงได้รับรางวัลจากท่านราชบุตรเขย คาดว่าอีกไม่นานคงจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็พ่อบ้านขั้นสอง ยามนี้กำลังโอหังเต็มที่ เมื่อเห็นเฉินซิ่นที่เป็ดังเทพของเขาก็ย่อมยิ้มแย้มเบิกบาน เข้าไปเอาแขนพาดบ่าพลางสนทนากับเขาอย่างสนิทสนม แล้วยังยัดตั๋วเงินใส่มือเขาด้วย จากนั้นก็นำกล่องพวกนั้นเข้าไปด้านใน
เฉินซิ่นยังไม่ทันได้ตรวจสอบว่าตั๋วเงินพวกนี้มีค่าเท่าไร ก็ถูกพวกบัณฑิตที่คิดอยากจะได้รับความเมตตาจากองค์หญิง ทั้งยังมีพวกพ่อค้าและขุนนางชั้นผู้น้อยรุมล้อมทันที
เมื่อครู่สังเกตเห็นว่าเฉินซิ่นสนิทสนมกับพ่อบ้านของจวนองค์หญิง แน่นอนว่าย่อมไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป รีบเข้ามาตีสนิททันที
เฉินซิ่นแรกเริ่มรู้สึกหวาดกลัวจากนั้นก็เปลี่ยนเป็ระแวดระวัง ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น แล้วรีบหาช่องสบโอกาสวิ่งหนีหายไปทันที
แน่นอนว่าคนที่วิ่งเร็วยิ่งกว่าเขายังมีเด็กรับใช้สกุลถัง
เมื่อคุณชายรองถังได้ยินว่าเฉินซิ่นไม่เพียงถูกองค์หญิงปล่อยตัวออกมา ยังส่งกล่องไม้อีกสิบกว่าใบเข้าไปที่จวนองค์หญิงด้วย เขาก็รู้ทันทีว่าแย่แล้ว
เขาหน้าหนาหาข้ออ้างไปตามหาบิดา ถึงได้เข้าไปในจวนองค์หญิงได้ ได้ยินว่าที่เรือนหลังพวกคุณหนูสูงศักดิ์ทะเลาะกันใหญ่โตเพราะอยากตุ๊กตานั่น
“เฉินซิ่น เ้าบ่าวสุนัข”
คุณชายรองถังไม่คิดสักนิดว่าเป็ตัวเองที่แล้งน้ำใจก่อน แต่กลับผลักความโกรธทุกอย่างไปที่เฉินซิ่นแต่เพียงผู้เดียว หากโอกาสดีๆ เช่นนี้ตกมาอยู่ในมือของเขา คงทำเงินได้ไม่ต่ำกว่าร้อยตำลึง
จวนองค์หญิงเป็สถานที่เช่นไร ราวกับปราสาททองคำก็ไม่ปาน
อาการเสียกิริยาของคุณชายรองสกุลถังย่อมถูกรายงานไปถึงพระกรรณขององค์หญิง ขันทีเกาที่ยืนอยู่ข้างพระวรกายยังอดเสริมสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ไปอีกสองสามประโยคไม่ได้
องค์หญิงได้ยินก็ยิ้มเ็า ทางหนึ่งดึงปิ่นปักผมบนศีรษะ ทางหนึ่งกล่าวว่า “ถึงแม้สกุลถังจะมีจวนเว่ยหย่วนโหวให้พึ่งพิง แต่จะอย่างไรก็นับว่าพื้นเพไม่ดีพอ บุตรชายของเขาจะดีได้เท่าใดกัน วันหลังหากคนสกุลถังอยากจะเข้ามาที่จวนก็ให้คนขวางไว้เถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิง”
ไม่กี่วันหลังจากนั้น ตอนที่ฮูหยินถังติดตามฮูหยินเว่ยหย่วนโหวมาเยี่ยมเยียนที่จวนองค์หญิง กลับได้ยินว่าองค์หญิงไม่อยู่ที่จวน จึงถูกขวางไว้นอกประตู
แต่ยามเมื่อฮูหยินเว่ยหย่วนโหวไปเข้าเฝ้าแต่เพียงผู้เดียวนั้น กลับสามารถเข้าเฝ้าได้อย่างราบรื่น
เป็เช่นนี้อยู่สองสามครั้ง ต่อให้ถังฮูหยินจะใสซื่อแค่ไหนก็เข้าใจแล้วว่าองค์หญิงไม่อยากพบนาง
สำหรับตระกูลพ่อค้าที่ต้องใช้ชีวิตอยู่โดยสังเกตสีหน้าชนชั้นสูงไปวันๆ จู่ๆ ไปทำให้องค์หญิงผู้ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ไม่พอพระทัยเข้า นี่ถือเป็เื่ใหญ่ถึงขั้นตระกูลล่มสลายได้เลยทีเดียว
เพียงไม่นานเื่ที่คุณชายรองถังไล่เฉินซิ่นออก และถึงขนาดไปแสดงกิริยาไม่เหมาะสมที่จวนองค์หญิงก็ถูกสืบทราบ
ฮูหยินถังกำลังกลัดกลุ้มว่าหาโอกาสทำลายบุตรภรรยาเอกคนก่อนไม่ได้เสียที ครั้งนี้นางจึงเติมน้ำมันลงในกองไฟเต็มที่ ทำให้คุณชายรองถังถูกเฆี่ยนตี ทั้งยังถูกริบร้านค้าในมือไปกว่าครึ่ง
สถานะของคุณชายสามถังจึงขึ้นสู่จุดสูงสุดอย่างราบรื่น วันๆ เอาแต่ลอยไปลอยมาอย่างโอหังอยู่ในจวน คุณชายรองถังเคียดแค้นยิ่งนัก เขาส่งคนไปตามหาเฉินซิ่น คิดจะระบายโทสะ
คิดไม่ถึงว่าเฉินซิ่นจะหางานใหม่ได้แล้ว ยามนี้เขารับหน้าที่เป็เถ้าแก่ผู้จัดการร้านอยู่ที่ร้านผ้าแห่งหนึ่ง หากว่าเ้าของร้านผ้าที่แท้จริงเป็แค่คนธรรมดา คุณชายรองถังก็คงไม่หวั่นเกรง แต่น่าเสียดายเ้าของร้านผ้านั้นมีหลานเป็สหายร่วมเรียนกับองค์รัชทายาทแห่งวังบูรพา
จะตีสุนัขยังต้องดูเ้านาย คุณชายรองถังที่สิ้นอำนาจแล้ว แม้แต่คนของจวนองค์หญิงยังไม่กล้าหาเื่ จะกล้าไปหาเื่วังบูรพาได้อย่างไร
เขาจึงต้องเก็บงำความโกรธเอาไว้ รอหาโอกาสเหมาะ...
แน่นอนว่าเื่ครึกครื้นที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงนี้ เสี่ยวหมี่ที่อยู่ไกลถึงหมู่บ้านเขาหมีในเมืองอันโจวย่อมไม่ทราบ
หลายวันมานี้ นางรู้สึกอึดอัดคับข้องใจไม่น้อย
ไม่ใช่เพราะเื่ขาดแคลนเงินทอง หรือว่าบิดาและพี่ชายสร้างเื่อะไร แต่เป็ปัญหาจากคนนอก
ถึงแม้ทางเถ้าแก่เฉินจะเตรียมป้องกันอย่างดีแล้ว แต่ก็ยังมีข่าวเล็ดลอดออกไปอยู่ดี
ทุกๆ วันมักจะมีรถม้ากลุ่มหนึ่งเดินทางมาที่บ้านสกุลลู่ มีทั้งเสนอราคาสูงกว่าเพื่อหลอกล่อ บ้างก็ต่อรองอย่างมีชั้นเชิง บางคนก็ถึงขั้นข่มขู่อย่างดุร้าย
คนที่ให้ราคาสูงนางย่อมต้องปฏิเสธไปอย่างเกรงอกเกรงใจ ถึงแม้เสี่ยวหมี่จะเป็สตรี แต่นางก็รู้ดีว่าต้องรักษาสัตย์ ส่วนคนที่เข้ามาเจรจาดีๆ อย่างมีชั้นเชิง นางก็เสียเวลาเป็วันๆ นั่งฟัง สุดท้ายก็ปฏิเสธให้พวกเขากลับไป ส่วนคนที่เข้ามาข่มขู่อย่างดุร้ายนั้นก็ยกให้เป็หน้าที่ของลู่อู่และเกาเหริน
นักกินบวกนักเลงสองคนนี้ยามปกติทั้งวันก็ไม่มีอะไรทำ ไม่รู้จะเอาพลังนี้ไปปลดปล่อยที่ไหน ยามนี้มี ‘ของเล่น’ ส่งมาถึงบ้าน พวกเขาย่อมยินดีเป็อย่างยิ่ง
เสี่ยวหมี่ไม่อยากรู้ว่าพวกเขาจะเล่นกับแขกพวกนั้นอย่างไร แต่สุดท้ายแล้วคนพวกนั้นก็ไม่โผล่หน้ามาให้เห็นอีกเลย
เป็เช่นนี้อยู่หลายวัน คนในเมืองที่มีใจคิดไม่ซื่อเ่าั้ก็เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าสกุลลู่ยึดมั่นในคำสัญญา ไม่มีทางขายผักให้พวกเขาแน่นอน
เป็อีกครั้งที่เถ้าแก่เฉินนำรถม้ามาเก็บผักสด และทิ้งเงินก้อนใหญ่ไว้ที่สกุลลู่
เดิมทีเสี่ยวหมี่นึกว่าจะวางใจได้แล้ว คิดไม่ถึงว่าครอบครัวอื่นในหมู่บ้านเขาหมีเรียกได้ว่ามีญาติมิตรมาเยี่ยมแทบทุกวัน
ตอนนี้ในหมู่บ้านเขาหมีมีเทพธิดาแห่งโชคลาภปรากฏตัวขึ้น สามารถปลูกผักออกมาได้ในฤดูหนาว เรียกได้ว่ามีชื่อเสียงขจรขจายไปไกล ทำให้ผู้คนมากมายสนอกสนใจ บรรดาแม่ๆ อยากได้เสี่ยวหมี่ไปเป็ลูกสะใภ้ อยากจะเพิงเลี้ยงผักเ่าั้ บางคนก็มีความคิดจะส่งบุตรสาวมาแต่งงานที่หมู่บ้านเขาหมี จะได้รับส่วนแบ่งจากสกุลลู่บ้าง ต่างมีความคิดแปลกประหลาดหลากหลาย
แรกเริ่มคนในหมู่บ้านยังไม่รู้ แต่นานวันเข้าก็พอคาดเดาได้ จึงไล่ญาติมิตรพวกนี้กลับไปทันที
แต่บางคนก็ไล่ไม่ไปง่ายๆ เสี่ยวหมี่คิดจะหลบหลีกก็ยังทำไม่ได้
วันนั้น เสี่ยวหมี่กำลังยุ่งอยู่ในครัว เพราะเถ้าแก่เฉินเตรียมจะส่งผักสดไปขายที่เมืองเฟิง เส้นทางนั้นจะต้องผ่านสำนักศึกษาฮวางหยวนพอดี นางจึงคิดจะฝากของกินไปให้พี่สามลู่
นับั้แ่วันขึ้นปีใหม่เป็ต้นมา พี่สามลู่ก็จากไปได้เกือบสองเดือนแล้ว เกรงว่าอาหารที่นำไปก่อนหน้านี้คงจะกินไปหมดแล้ว
ถึงแม้นางจะตำหนิติเตียนบ่นว่าบิดาและพี่ชายของนางอยู่ทุกวัน แต่เสี่ยวหมี่เป็คนใจอ่อน คนสกุลลู่รวมทั้งพวกเฝิงเจี่ยนนางล้วนเป็ห่วงพวกเขาอย่างจริงใจ
ถึงแม้่นี้อากาศจะดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ของแห้งบางอย่างยังสามารถเก็บเอาไว้ได้อยู่
เมื่อคืนนี้เสี่ยวหมี่นวดแป้งทิ้งไว้รอให้มันขึ้นฟู เช้านี้ก็เริ่มเตรียมเนื้อ นางตั้งใจจะทอดขนมเกลียวและลูกชิ้นเนื้อเตรียมส่งไปให้พี่สามลู่ ให้เขาทยอยอุ่นกินได้ยาม้า
ตอนที่นางกำลังยุ่งอยู่นั่นเอง กุ้ยจือเอ๋อร์กลับพาแม่นางน้อยคนหนึ่งมาที่บ้าน
เชิงอรรถ
[1] เปิ่นกง(本宫)สรรพนามบุรุษที่หนึ่งเรียกแทนตัวเองที่สตรีในราชวงศ์ใช้กัน
[2] แมวไคตี๋(凯蒂猫)หมายถึง Hello Kitty
[3] หมี่เหลาซู่ (米老鼠) คือ มิกกี้เม้าส์
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้