อูิโยวหยิบตะเกียบขึ้นมาและเริ่มรับประทานอาหารอีกครั้ง ขณะทานพวกเขาก็พูดคุยกันไปต่างๆ นานาไม่รู้จบ
“เมื่อครู่ที่อยู่ในตรอกเ้าไม่น่าห้ามข้าเลย บุตรชายคนรองของคฤหาสน์อวิ๋นหลานซานหน้าตายียวนกวนประสาทนัก ควรให้บทเรียนแก่เขาว่าการไม่รู้ฟ้าสูงเพียงใด แผ่นดินหนาแค่ไหน [1] จะเป็อย่างไร อีกอย่างที่นั่นอบรมสั่งสอนบุตรหลานอย่างไรกัน ข้าว่าสักวันลูกหลานในตระกูลพวกเขาต้องเข่นฆ่ากันเองเป็แน่ นี่มันอะไร…”
อูิโยวคีบอาหารอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า เขากินเนื้อสันในวัวหั่นฝอยไปครึ่งจาน หลิ่วไป๋เจ๋อดันอาหารอีกจานไปข้างหน้าเขาและเอ่ยขึ้น
“นายท่านอวิ๋นให้ความสำคัญกับชื่อเสียงหน้าตาเป็ที่สุด ยามอยู่ภายนอกหากมีคนทำลายชื่อเสียงหรือภาพลักษณ์ของเขา จะเป็ใครก็ตามล้วนถูกลงโทษอย่างรุนแรง แม้ว่าอวิ๋นจวาจะเป็ที่โปรดปรานของอวิ๋นหลานเฟิงแต่กฎระเบียบของคฤหาสน์นี้ ไม่ว่าใครก็ไม่ได้รับการยกเว้น”
อูิโยวหยุดตะเกียบทันควัน และรีบเอ่ยถาม
“กฎข้อที่สามของคฤหาสน์อวิ๋นหลานซานคืออะไรหรือ”
หลิ่วไป๋เจ๋อรู้สึกจนใจ คนผู้นี้มีอารมณ์ซุบซิบนินทาและอยากรู้อยากเห็นอยู่เสมอเลยสินะ
“เด็กๆ ในคฤหาสน์ไม่ได้รับอนุญาตให้เข่นฆ่าคนในตระกูลเดียวกัน รวมทั้งห้ามต่อสู้กันเอง ผู้ใดที่ฝ่าฝืนจะถูกขับไล่ออกจากอวิ๋นหลานซาน”
“มิน่าล่ะ เพียงคำพูดประโยคเดียวของเ้าก็สามารถทำให้คนที่ไม่รู้ว่าฟ้าสูงเพียงใด แผ่นดินหนาแค่ไหนแบบนั้นยอมสงบได้”
หลิ่วไป๋เจ๋อส่ายหัว “ไม่จำเป็ต้องใส่ใจ! เป็เพียงเื่ไร้สาระ!”
ในใจของเขานึกเย้ยหยันอวิ๋นหลานเฟิงผู้นี้ จากสายตาคนทั่วไปเขาดูเหมือนสุภาพบุรุษ แต่แท้จริงแล้วกลับเป็เพียงคนต่ำทราม ตราบใดที่ไม่ได้สู้กันต่อหน้าคนนอก ไม่ว่าภายในคฤหาสน์จะต่อสู้หรือเข่นฆ่ากันอย่างไร ถ้าไม่ได้เกินขอบเขตที่ตั้งไว้เขาก็เมินเฉย และหลับหูหลับตาทำเป็ไม่รับรู้ หาไม่แล้วสามพี่น้องตระกูลอวิ๋นคงไม่ทำร้ายกันอย่างโเี้เช่นนั้น
“ความสัมพันธ์ของคนแต่ละตระกูลในแคว้นเฟิ่งเทียน ไม่ได้เกิดจากความจริงใจแบบหุบเขาไป่หลิงของเ้าหรอก แม้ว่าคฤหาสน์อวิ๋นหลานซานจะอยู่ในฐานะเทียบเท่ากับชิงหลิ่วถัง แต่ก็มีบางสิ่งที่เกี่ยวพันกัน พวกเขาไม่กล้าก่อกวนพวกข้า และโดยปกติแล้วพวกข้าก็ไม่ไประรานพวกเขาง่ายๆ เหมือนกัน”
อูิโยวพยักหน้า ดูเหมือนจะเข้าใจแต่แท้ที่จริงกลับไม่ได้เข้าใจเท่าไรนัก
เขาคุ้นเคยกับนิสัยของหลิ่วไป๋เจ๋อที่มักจะไม่เอ่ยปากในยามรับประทานอาหาร แต่ระหว่างมื้อนี้ นอกจากเสียงตะเกียบหยกที่กระทบจานกระเบื้องแล้ว อีกฝ่ายก็พูดออกมาไม่น้อย ถือเป็สิ่งที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก
เมื่อรับประทานอาหารและดื่มชาจนอิ่มหนำแล้ว เดิมทีทั้งสองคนวางแผนว่าจะกลับชิงหลิ่วถัง แต่กลับได้ยินเสียงอุทานดังมาจากถนนเสียก่อน เมื่อมองตามผ่านทางหน้าต่าง ก็เห็นว่าท้องฟ้าทางเหนือมีรัศมีสีม่วงรายล้อมอยู่ ช่างเป็ภาพที่งดงามและดึงดูดใจเป็อย่างมาก
“นี่คือ…”
“ผาตั้วเซียน!”
ทั้งคู่คาดเดาถึงสถานที่นั้นได้ในชั่วอึดใจและรับรู้ได้ทันทีว่าต้องมีเหตุใหญ่เกิดขึ้นที่ผาตั้วเซียนเป็แน่ นอกจากจะััได้ถึงแสงสีขาวซึ่งเป็สัญลักษณ์ของพลังิญญาที่อุดมสมบูรณ์แล้ว ในดินแดนเจ๋อรัศมีแสงสีม่วงยังเป็สัญลักษณ์ของความเป็มงคลอีกด้วย
...ไกลออกไปทางตอนเหนือสุดของดินแดนเจ๋อ ณ ผาตั้วเซียน ผู้าุโแห่งตระกูลหลาน หลานเซียว ในเวลานี้เขามีห่อผ้าของทารกแฝดอยู่บนแขนข้างละหนึ่งคน ทารกหญิงผิวชมพูทั้งสอง ใช้ดวงตากลมโตของพวกนางจ้องมองไม่วางตา นอนนิ่งโดยไม่ร้องไห้งอแง ช่างน่ารักน่าชัง
เด็กน้อยเกิดในเวลาเดียวกัน สำหรับผาตั้วเซียนแล้วถือว่าพบเห็นได้ยากยิ่ง ครั้นพินิจดูอย่างละเอียดก็พบว่าทารกทั้งสองมีรอยเส้นที่หน้าผากบริเวณหว่างคิ้ว ลักษณะเหมือนรอยมีดกรีดวนเป็ก้นหอย หนึ่งคนจะมีปรากฏอยู่ครึ่งลาย คนหนึ่งสีดำ อีกคนสีขาว มองเห็นเป็รอยรางๆ และเมื่อนำมารวมกันจะได้ลายก้นหอยที่สมบูรณ์ ทุกคนในตระกูลหลานต่างก็ยินดีมากที่ได้พบเห็นสิ่งนี้ รอยหว่างคิ้วของเด็กๆ เมื่อประสานกันจะปรากฏเป็ตราประทับแห่งการกลับชาติมาเกิด นี่คือตราประทับทางจิติญญาที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นของผาตั้วเซียน เห็นได้ชัดว่าเด็กหญิงทั้งสองที่เพิ่งเกิดมา มีพลังลางสังหรณ์ล่วงรู้ล่วงหน้าซึ่งคนธรรมดาทั่วไปไม่อาจมีได้ั้แ่กำเนิด นี่ไม่ใช่สิ่งที่พบเห็นได้ง่ายๆ
ภายในตระกูลหลานเต็มไปด้วยความสุข แต่บรรยากาศดีๆ นี้กลับถูกรบกวนจากศิษย์คนหนึ่งซึ่งโผล่พรวดเข้ามา เขามีสีหน้าตื่นตระหนกและดูลังเล ผ่านไปนานกว่าจะสามารถเอ่ยเล่าเื่ราวที่เกิดขึ้น
ผู้นำตระกูลหลานเป็ผู้ดูแลแห่งผาตั้วเซียน ทุกคนรู้ว่าพื้นที่ต้องห้ามแห่งนี้ หากผู้ใดไม่ได้มีหน้าที่ควบคุมดูแล จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา ศิษย์ที่พรวดพราดเข้ามานั้นเป็หนึ่งในผู้พิทักษ์พื้นที่ต้องห้ามของผาตั้วเซียนนี้เอง
จากที่ชายคนนี้เอ่ยมา ในพื้นที่ต้องห้ามที่เงียบสงบมานานหลายปี จู่ๆ ก็ปรากฏสิ่งผิดปกติ เกิดแสงสีม่วงส่องประกายไปทั่วผืนฟ้า แต่ในนั้นกลับมีหมอกดำและหมอกขาวที่น่าหวาดหวั่นปะปนอยู่ด้วย
หลานเซียวพลันใ เดิมทีตั้งใจจะวางทารกแฝดลงแล้วไปตรวจสอบสถานการณ์ แต่ใครจะไปคิดว่ามือเล็กๆ ของทั้งสองกลับกำแขนเสื้อเขาเอาไว้แน่น ไม่อาจทราบได้ว่าเด็กแรกเกิดนั้นไปเอาพละกำลังอันแข็งแกร่งมาจากไหน เขาไม่กล้าแม้แต่จะดึงออก เพราะเกรงว่าจะทำให้ทั้งสองเจ็บตัว ท้ายที่สุดก็กัดฟัน อุ้มทารกน้อยเร่งรุดไปที่นั่นทันที
เมื่อเข้าสู่พื้นที่ต้องห้าม หลานเซียวก็พาทั้งสองตรงไปยังส่วนที่มีรัศมีแสงสีม่วง ซึ่งนั่นอยู่ในบริเวณลึกที่สุด เป็พื้นที่สำหรับเก็บกุญแจแห่งการกลับชาติมาเกิด สมบัติที่ตกทอดกันมาของผาตั้วเซียน
เขาก้าวเข้าไปยังแท่นบูชา พลันเห็นว่ากุญแจแห่งการกลับชาติมาเกิดซึ่งควรนิ่งเฉยในความมืด เวลานี้กลับมีแสงสีม่วงพร่างพราวรอบด้าน ทั้งยังปรากฏคลื่นแสงในอากาศสองเส้น เส้นหนึ่งสีดำอีกเส้นหนึ่งสีขาว พันอยู่รอบกุญแจดอกนั้น
หลานเซียวไม่เด็ดเดี่ยวพอจะก้าวไปข้างหน้า ในตอนที่กำลังลังเล ก็เห็นว่าเส้นแสงสีม่วงพุ่งตรงมาทางตน แม้อยากหนีแต่ไม่สามารถขยับตัวได้ จากนั้นเขาก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อทารกในอ้อมกอดถูกเส้นแสงนั้นห่อหุ้มเอาไว้!
เขาใทั้ง้าหยุดยั้งสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ร่างกายกลับถูกจองจำ จุดจิติญญาทั้งร่างก็ถูกเส้นแสงเ่าั้รัดแน่น ในเวลานี้ทารกทั้งสองถูกหุ้มด้วยเส้นแสงสีขาวและดำเอาไว้ข้างกุญแจแห่งการกลับชาติมาเกิดทั้งสองฝั่ง ขณะเดียวกัน รอยหว่างคิ้วก็ปรากฏแสงแห่งจิติญญาขนาดใหญ่ขึ้น นำพาเด็กน้อยเข้าไปอาบชโลมภายใต้ประกายแสงสีม่วง
หลานเซียวกังวลมาก แต่ทารกน้อยกลับไม่ได้รับรู้ถึงภัยและอันตรายใด จึงพากันหัวเราะคิกคัก
สถานการณ์นี้กินเวลากว่าครึ่งชั่วยาม เมื่อเด็กทั้งสองกลับสู่อ้อมกอดหลานเซียวอีกครั้งก็หลับสนิทไปแล้ว นอกจากรอยบริเวณหว่างคิ้วที่ต่างจากปกติ ส่วนอื่นก็ไม่ได้ผิดแปลกอย่างใด
หลานเซียวไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือกังวล เด็กทั้งสองถูกพาไปคำนับสามครั้งที่กุญแจแห่งการกลับชาติมาเกิด แล้วรีบรุดออกจากพื้นที่ต้องห้าม...
ณ แคว้นเฟิ่งเทียน
ทันทีที่หลิ่วไป๋เจ๋อกลับถึงชิงหลิ่วถัง ก็ถูกหลิ่วชิงเหยียนผู้เป็หัวหน้าตระกูลเรียกตัวไปห้องตำรา ส่วนอูิโยวเดินเตร่ไปมาในสวนของคฤหาสน์ด้วยท่าทีเบื่อหน่าย
ไม่แปลกใจเลยที่เป็ชิงหลิ่วถัง ต้นไม้ในสวนนี้ล้วนเป็ต้นหลิวทั้งหมด แต่เทียบกับหุบเขาไป่หลิงไม่ได้สักนิด นอกจากจะเล็กเกินไปแล้ว การตกแต่งนั้นดูเข้มงวดไม่ต่างอะไรกับอุปนิสัยของผู้นำหลิ่ว สิ่งนี้ทำให้อูิโยวหมดคำจะกล่าว
เพราะทานอาหารกลางวันจนอิ่มแปล้ อูิโยวจึงหาวออกมาหลายต่อหลายครั้ง เขาเคยมาที่นี่หลายหน ทำให้คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ดี ดังนั้นจึงมองหาต้นหลิวที่สูงและกิ่งหนาที่สุด แล้วะโขึ้นไปซ่อนตัวในร่มเงานั้นและผล็อยหลับไป
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด เสียงคนทะเลาะกันไม่ไกลก็ดังรบกวนอูิโยวที่อยู่ในห้วงฝัน
“ท่านคุยอะไรกับท่านพ่อกันแน่ ทำไมท่านถึงอนุญาตให้เข้าไปในห้องตำราเพียงผู้เดียว”
จากน้ำเสียง สำเนียง และท่วงท่าอันดุดัน ไม่ต้องมองก็รู้ว่าผู้ใด อูิโยวี้เีเกินกว่าจะเข้าไปแทรก จึงขยับพลิกตัวนอนต่อ
เสียงใต้ต้นไม้ยังคงดังไม่หยุด ในที่สุดก็ได้ยินเสียงของหลิ่วไป๋เจ๋อที่เอ่ยออกมาอย่างจนใจ “เฉิงเฟิง”
“อย่าคิดว่าท่านอายุมากกว่าข้านิดหน่อยแล้วจะเก่งกว่าข้านะ เพียงโตกว่าแค่สองปี รอให้อายุเท่าท่าน ข้าจะแข็งแกร่งกว่าแน่นอน”
น้ำเสียงช่างบาดหูเสียจริง อูิโยวปัดกิ่งหลิวออกแล้วะโลงไปให้คนที่อยู่ใต้ร่มไม้ได้ยิน
“เมื่อเ้าโตกว่านี้สองปี พี่ชายเ้าก็อายุมากกว่าสองปีเช่นกัน ถึงเวลานั้นเขาก็ยังโตกว่าเ้าอยู่ดี แล้วก็ยังคงแข็งแกร่งกว่าเ้า!”
เด็กหนุ่มในชุดสีน้ำเงินเงยหน้าขึ้นมอง คิ้วคมดุจอินทรี ดวงตาสดใสกลมโตทอประกาย ใบหน้านี้เห็นได้ชัดว่าเป็เด็กชายที่ยังไม่ถึงวัยสวมกวาน มองเทียบกับหลิ่วไป๋เจ๋อที่อยู่ข้างๆ ก็พบว่ามีความคล้ายคลึงกันถึงสามส่วน ในเวลานี้เด็กชายจ้องมองอูิโยวที่อยู่บนต้นไม้ด้วยความโกรธขึ้ง เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า
“ทำไมเป็เ้าอีกแล้ว ที่นี่ไม่ใช่หุบเขาไป่หลิง คนนอกอย่างเ้าเข้าออกตามใจชอบได้อย่างไรกัน!"
“ข้าพอใจเช่นนี้ เ้ามายุ่งอะไรด้วย”
หลิ่วเฉิงเฟิงโกรธจนแก้มพองเหมือนลูกหนัง ในขณะที่อูิโยวยังนอนอยู่บนต้นไม้ แกว่งขาสองข้างไปมาด้วยท่าทีสบายอกสบายใจ หลิ่วไป๋เจ๋อฟังทั้งสองต่อปากต่อคำกันจนกลายเป็เื่ปกติไปแล้ว
เมื่อรู้ว่าตนเองไม่สามารถเอาชนะได้ หลิ่วเฉิงเฟิงก็สะบัดแขนเสื้อขึ้น แล้วยิงเข็มเย็นเยียบออกจากข้อมือมุ่งไปยังทิศที่อูิโยวอยู่
“ระวัง!”
ถึงไม่ได้รับการเตือนจากหลิ่วไป๋เจ๋อ อูิโยวก็สามารถหลบหลีกเข็มเล่มนั้นได้อย่างง่ายดาย
“เฉิงเฟิง ครั้งนี้เ้าทำเกินไปแล้วนะ!”
หลิ่วไป๋เจ๋อตำหนิอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเ็า น้องชายคนนี้ช่างเอาแต่ใจจริงๆ
หลิ่วเฉิงเฟิงชี้นิ้วไปยังอูิโยวและเถียงกลับ
“เขาเป็แค่คนนอก ท่านตำหนิข้าเพราะคนนอกอย่างนั้นหรือ”
อูิโยวะโลงมายืนอยู่หน้าหลิ่วเฉิงเฟิง และเชิดคางใส่อีกฝ่าย
“อะไรกัน เถียงสู้ข้าไม่ได้ก็ลงไม้ลงมือเลยหรือ ในส่วนนี้เ้าก็สู้พี่ชายเ้าไม่ได้สักนิด แค่พี่ของเ้าเอ่ยเพียงประโยคเดียว ข้าก็ยอมรับความพ่ายแพ้ด้วยความเต็มใจแล้ว” ที่สำคัญคือหลิ่วไป๋เจ๋อไม่ใช่คนพูดมาก แต่สามารถพูดย้ำประโยคนั้นซ้ำๆ จนอีกฝ่ายรู้สึกเหมือนจะขาดอากาศหายใจเลยน่ะสิ!
“เ้า เ้า…”
หลิ่วเฉิงเฟิงโกรธมาก โกรธจนดวงตาแดงก่ำ ั์ตาเริ่มฉ่ำรื้น แสดงให้เห็นถึงความเสียใจ
“ท่าน พวกท่านรังแกคนด้อยกว่า ไม่เป็สุภาพบุรุษ ฮึ!”
“เกินไปแล้ว!”
ไม่รู้ว่าหลิ่วชิงเหยียนมาั้แ่เมื่อใด เพราะเขาเป็ผู้าุโ อูิโยวจึงทักทายด้วยท่าทีนอบน้อมและเอ่ยเรียกว่า “ท่านผู้นำตระกูลหลิ่ว”
ยามอยู่ต่อหน้าหลิ่วชิงเหยียน หลิ่วเฉิงเฟิงไม่กล้าทำตัวไม่ดี แล้วยืนอยู่ข้างกายเขาอย่างเชื่อฟัง
“ท่านผู้นำอูเป็เช่นไรบ้าง”
“ขอบคุณในความห่วงใยของท่านผู้นำหลิ่ว บิดาข้าสบายดีขอรับ”
หลิ่วชิงเหยียนพยักหน้า ลูบเคราและเอ่ยขึ้น “ในเมื่อเ้ามายังเฟิ่งเทียนแล้วก็อยู่ที่นี่ต่ออีกหน่อยเถิด หลายวันก่อนเจ๋อเอ๋อร์ยังไม่ค่อยเข้าใจตำราการเปลี่ยนแปลงทางการแพทย์ ทักษะการแพทย์ของเ้าสูงกว่าเจ๋อเอ๋อร์ ข้าจึงอยากรบกวนให้เ้าช่วยไขข้อสงสัยให้เขาใน่สองสามวันนี้หน่อย”
“ท่านผู้นำหลิ่วกล่าวเกินไปแล้ว”
หลิ่วชิงเหยียนโบกมือ หันกลับมามองหลิ่วเฉิงเฟิง ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “แล้วเ้ามาทำอะไรที่นี่ ตามข้าไปห้องตำราเดี๋ยวนี้”
“ขอรับท่านพ่อ”
หลิ่วเฉิงเฟิงยังไม่ขยับไปไหน รอจนหลิ่วชิงเหยียนเดินออกไป เขาก็พูดกับหลิ่วไป๋เจ๋ออีกประโยค
“รอดูเถอะ ปีหน้าข้าจะต้องเก่งกว่าท่าน ข้าจะไปศึกษาศิลปะการต่อสู้เพื่อเป็ศิษย์ของสำนักมิ่งเก๋อ หึ!”
เมื่อหลิ่วเฉิงเฟิงก้าวออกจากสวนหลังคฤหาสน์ อูิโยวก็ขยับไปเบื้องหน้าหลิ่วไป๋เจ๋อ จิ้มนิ้วไปที่หลังมือของเขาและเอ่ยขึ้น
“น้องชายของเ้าน่าเบื่อจริงๆ ยังดื้อดึงเหมือนเดิม ใครๆ ก็มองออกว่าพวกเ้าไม่ได้มีมารดาคนเดียวกัน”
หลิ่วไป๋เจ๋อปัดมือเขาออกก่อนจะเดินไปที่ม้านั่งหินข้างบ่อน้ำ
“ท่านผู้นำตระกูลหลิ่วบอกว่าเ้ากำลังอ่านตำราการเปลี่ยนแปลงทางการแพทย์อยู่อย่างนั้นหรือ” อูิโยวเข้าไปหาเขาและเอ่ยถามอีกครั้ง
“อืม!”
“เพราะเ้ามองไม่เห็น เด็กรับใช้คนนั้นจึงเป็คนอ่านตำราให้ฟังใช่หรือไม่ แต่การฟังจากคนอื่นนั้นเหนื่อยเปล่า ข้าหาคนมาแกะสลักสำเนาใส่ต้นไผ่ให้เ้าดีไหม แบบนี้เ้าจะได้อ่านด้วยตนเองได้”
“ไม่ต้อง!”
“หากมีสิ่งที่ไม่เข้าใจเ้าจะทำอย่างไรเล่า”
“ไม่มีสักหน่อย!”
อูิโยวเม้มริมฝีปาก ไม่เอ่ยถามอีก แล้วก้มหยิบก้อนหินขึ้นมาก่อนจะโยนลงไปในบ่อน้ำใสจนเกิดเป็ระลอกคลื่น ปลาคาร์ฟที่อยู่ก้นบ่อะโพลิกตัวขึ้นเหนือผิวน้ำ
“โห เ้าปลาตัวนี้ตัวโตแล้ว นำไปตุ๋นดีหรือไม่”
“เ้าก็ลองดูเองสิ!”
เ้าคนนี้ไปโกรธไปโมโหอะไรมากันเนี่ย ตัวเขาไปยั่วให้โมโหอย่างนั้นหรือ หลังจากคิดอยู่นานก็ยังหาคำตอบไม่ได้
เมฆเคลื่อนบังดวงอาทิตย์ ลมเย็นผ่านพัด กิ่งก้านต้นหลิวแกว่งไกว หลิ่วไป๋เจ๋อหันไปหาอูิโยวและเอ่ยเบาๆ ว่า
“ปลายฤดูใบไม้ผลิ เมืองหลวงแห่งนี้จะคึกคัก”
“ทำไมหรือ” อูิโยวไม่รู้ซึ่งเหตุผล
“เ้าก็ทายดูสิ!”
อูิโยว “…”
ดูสิว่าชายผู้นี้พูดจาอย่างไรถึงทำให้ผู้อื่นยอมรับความพ่ายแพ้ด้วยความเต็มใจเช่นนี้ได้ หลิ่วเฉิงเฟิงเอ๋ย เ้าอย่าได้เรียนรู้สิ่งนี้จากพี่ชายของเ้าเป็อันขาด แต่จากนิสัยของเด็กคนนั้น การที่จะเรียนรู้เพื่อเป็คนเงียบขรึมเช่นนี้ดูท่าทางคงจะเป็เื่ยาก
—--------------------------------
[1] ไม่รู้ฟ้าสูงเพียงใด แผ่นดินหนาแค่ไหน หมายถึงไม่เข้าใจในความซับซ้อนของบางสิ่งหรืออธิบายถึงความเย่อหยิ่งไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ อะไรควรหรือไม่ทำ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้