แต่เดิมเขาจะไปหาหลงเซี่ยวอวี่ที่จวนฉีอ๋อง ไม่คิดว่าจะได้พบมู่จื่อหลิงระหว่างทาง
เขาแปลกใจเล็กน้อย แม้มู่จื่อหลิงจะแต่งกายเยี่ยงบุรุษ เขาก็ยังจำได้ั้แ่แวบแรกที่เห็น
“นายน้อย เป็องค์ชายหกเ้าค่ะ” เสี่ยวหานเอ่ยเตือน
มู่จื่อหลิงมองไปทางหลงเซี่ยวเจ๋อที่กำลังวิ่งมาหาพวกนาง ในใจคิดว่า ขนาดนี้แล้วยังจำได้อีกหรือ หลงเซี่ยวเจ๋อนี่ตาไฟตาทอง [1] หรือ ในฉับพลันนั้นในใจก็ปรากฏแผนการหนึ่งขึ้นมา
นางมองกระเป๋าเงินฟีบแบนบนตัวเสี่ยวหาน ก่อนจะชี้ไปยังหอสุราที่ใหญ่ที่สุดซึ่งอยู่ไม่ไกล “เสี่ยวหาน ข้าหิวเสียแล้ว พวกเราไปกินข้าวที่หอเยวี่ยอวี่เถิด”
เสี่ยวหานมองไปที่หอสุราแห่งนั้น กล่าวเตือนว่า “นายน้อย หอสุราแห่งนั้นเป็หอสุราที่แพงที่สุดในเมือง อาหารเพียงจานเดียวก็ปาเข้าไปสองสามร้อยตำลึงแล้ว บนตัวพวกเรามีเงินแค่ไม่กี่ตำลึงเองนะเ้าคะ”
“ไม่เป็ไร มีคนมาเลี้ยงแล้วนี่ไง” มู่จื่อหลิงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็แย้มรอยยิ้มมองไปทางหลงเซี่ยวเจ๋อ
ในที่สุดหลงเซี่ยวเจ๋อก็วิ่งมาถึงตรงหน้ามู่จื่อหลิงพลางหอบหายใจ “พี่สะใภ้สาม เป็ท่านจริงๆ ด้วย เหตุใดจึงสวมชุดบุรุษเล่า ข้าเกือบจำท่านไม่ได้แล้ว นี่พวกท่านจะไปที่ใดกัน”
“ข้าเห็นว่าหอสุราแห่งนั้นไม่เลว จึงอยากไปลิ้มลอง” มู่จื่อหลิงชี้ไปที่หอเยวี่ยอวี่พลางกล่าว
สายตาหลงเซี่ยวเจ๋อมองไปยังทิศทางที่มู่จื่อหลิงชี้ กล่าวอย่างประจบประแจงว่า “พี่สะใภ้สาม ท่านตาถึงเสียจริง หอเยวี่ยอวี่เป็หอสุราที่มีชื่อเสียงโด่งดัง อาหารล้วนเป็อาหารชั้นเลิศ ไป ข้าจะเลี้ยงพวกท่านมื้อใหญ่เอง”
มู่จื่อหลิงไม่คิดว่าหลงเซี่ยวเจ๋อจะมีน้ำใจเช่นนี้ เพิ่งจะหยอกเย้าเขาไปไม่นาน เวลานี้ยังสามารถมาเลี้ยงข้าวอย่างใจกว้างได้
นางคิดว่านางต้องใช้กลอุบายเล็กน้อยมาล่อให้หลงเซี่ยวเจ๋อติดกับ เขาเป็ถึงองค์ชาย กระเป๋าเงินต้องตุงเป็แน่ แต่เขากลับเป็ฝ่ายอาสาเลี้ยงนางเอง นางจึงไม่เกรงใจหลงเซี่ยวเจ๋ออีก เดินไปที่หอเยวี่ยอวี่อย่างสง่าผ่าเผยทันที
พวกเขาเดินไปถึงหน้าประตูหอเยวี่ยอวี่ มู่จื่อหลิงพบว่าที่แห่งนี้คนพลุกพล่านนัก แต่ด้านซ้ายขวาของหอเยวี่ยอวี่ที่กั้นเป็ร้านค้าไม่กี่ร้านนั้นกลับว่างเปล่า จึงอดสงสัยมิได้
ผู้คนมากมายถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงไม่มีคนมาเปิดร้านค้าขายที่นี่เล่า หากมาเปิดร้านที่นี่ได้จะต้องเป็แหล่งที่เงินทองไหลมาเทมาเป็แน่
“ร้านค้าด้านข้างหอเยวี่ยอวี่ไม่กี่ห้องนี้เหตุใดจึงไม่มีผู้ใดมาค้าขายเล่า” มู่จื่อหลิงเอ่ยข้อสงสัยภายในใจออกมา
“นายน้อย ร้านรวงพวกนี้ล้วนเป็กรรมสิทธิ์ของหอเยวี่ยอวี่ หอเยวี่ยอวี่นั้นสร้างขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ผู้ที่สามารถเข้าไปได้ล้วนเป็พวกขุนนางระดับสูง ทั้งเถ้าแก่ก็ลึกลับยิ่งนัก มักสวมหน้ากากเอาไว้ตลอดเวลา ไม่มีผู้ใดเคยเห็นหน้าตาของเขา ได้ยินว่าเขาไม่ชื่นชอบเสียงอึกทึกครึกโครมจึงซื้อร้านรวงด้านข้างหอเยวี่ยอวี่แล้วปล่อยให้ว่างไว้ พ่อค้าแม่ค้าหาบเร่เล็กๆ กลัวจะล่วงเกินเข้าจึงมิกล้าเข้ามาร้องเร่ขายในบริเวณหอเยวี่ยอวี่เ้าค่ะ” เสี่ยวหานกล่าวด้วยท่าทางลึกลับ
มู่จื่อหลิงถอนหายใจอย่างเงียบๆ อย่าได้เป็เศรษฐีไร้สมองได้หรือไม่ มีร้านค้าที่ทำเลดีเช่นนี้ แต่กลับทิ้งให้ว่างลง ช่างสิ้นเปลืองเสียจริง ถ้าหากนางได้มาเปิดร้านยาสักห้องคงจะดี
คิดเช่นนี้ นางก็มองหลงเซี่ยวเจ๋ออย่างได้คืบจะเอาศอก “ท่านเป็องค์ชาย หากท่านพูด เถ้าแก่อาจจะเห็นแก่หน้าท่าน ขายร้านค้าให้ท่านก็เป็ได้”
หลงเซี่ยวเจ๋อที่ถูกถามก็แปลกใจ จึงถามอย่างโง่งม “พี่สะใภ้สาม ตัวข้ามีเงินพอใช้แล้ว ต้องซื้อร้านค้าด้วยเหตุใด”
มู่จื่อหลิงกลอกตาใส่เขา “ไม่ใช่ท่านที่จะซื้อ เป็ข้าที่้าซื้อ”
หลงเซี่ยวเจ๋อยิ่งแปลกใจมากขึ้นไปอีก “พี่สะใภ้สาม ท่านขาดเงินหรือ ข้าให้ท่านได้ มิจำเป็ต้องซื้อร้านค้าหรอก”
มู่จื่อหลิงรู้ว่าหลงเซี่ยวเจ๋อใจกว้าง แต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะใจกว้างถึงขนาดที่สามารถควักเงินตนเองมาให้นางใช้จ่ายได้อย่างปราศจากความลังเล
นางมิอยากอธิบายอะไรกับหลงเซี่ยวเจ๋อให้มากความ จึงเอ่ยออกไปสามคำอย่างเกียจคร้าน “ข้ามีใช้"
“พี่สะใภ้สาม เถ้าแก่ผู้นั้นแม้แต่หน้าตา องค์ชายต่างๆ ก็ยังไม่เคยเห็น ก่อนนี้ข้ากับพี่ห้าเคยลองแล้ว แต่ถ้าท่าน้าซื้อจริงๆ ท่านให้พี่สามช่วยเป็ธุระให้เถิด พี่สามต้องมีวิธีเป็แน่” หลงเซี่ยวเจ๋อกล่าวเตือนด้วยความปรารถนาดี
ใต้หล้านี้ไม่มีผู้ใดกล้าทำให้พี่สามเสียหน้า ถ้าหากพี่สามออกหน้าให้ อย่าว่าแต่ร้านค้าสักห้องเลย ต่อให้ถนนสองสามสายเขาก็ล้วนสามารถซื้อกลับมาได้
ไปหาหลงเซี่ยวอวี่? นางเชื่อว่าหลงเซี่ยวอวี่มีความสามารถนั้นอย่างแน่นอน ทว่านางมิอยากไป ทั้งยังมิกล้าด้วย ท่าทางสูงส่งของเขาเช่นนั้น จะยอมลดเกียรติลงมาช่วยนางได้อย่างไร
และนางก็มิปรารถนาให้หลงเซี่ยวอวี่รู้ว่านางมาเปิดร้านยาด้านนอก นางไม่รู้ว่าหลงเซี่ยวอวี่จะสนใจหรือไม่ ทว่าก็ยังมิปรารถนาให้เขารู้ ช่างเถิด ค่อยหาวิธีด้วยตนเองแล้วกัน
มู่จื่อหลิงส่ายศีรษะ ราวกับนึกสิ่งใดขึ้นมา กล่าวเตือนว่า “มิจำเป็ ข้าหาวิธีเอง ท่านเองก็ห้ามไปบอกเขา มิเช่นนั้นข้าจะให้ท่านลิ้มรสยามี่ลู่ทุกวัน”
หลงเซี่ยวเจ๋อรีบกุมใบหน้าที่เพิ่งหายบวมของตนด้วยสีหน้าระแวดระวัง “พี่สะใภ้สามวางใจเถิด ข้าจะไม่บอกพี่สามแน่”
มู่จื่อหลิงผงกศีรษะด้วยความพึงพอใจ “ไปเถิด ข้าหิวมากแล้ว”
สามคนเข้าไปหอสุราพร้อมกันโดยมิได้กล่าวอะไร การตกแต่งของหอสุราแห่งนี้โดดเด่นและมีเอกลักษณ์เป็อย่างยิ่ง มองเพียงแวบเดียวทำให้รู้ว่ารสนิยมของเถ้าแก่นั้นมิธรรมดา
พวกมู่จื่อหลิง้าห้องส่วนตัวชั้นสอง และสั่งอาหารที่แพงที่สุด
ดังนั้นมื้อใหญ่เพียงมื้อเดียวก็ผลาญเงินบนตัวของหลงเซี่ยวเจ๋อไปจนหมด
หลงเซี่ยวเจ๋อกลับจ่ายเงินออกไปด้วยท่าทางใจกว้างอย่างยิ่ง ไม่มีท่าทางเสียดายเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรเสียก็เป็เงินที่พี่สามมอบให้ สิ่งที่พี่สามมีคือเงิน ทว่ามู่จื่อหลิงกลับไม่รู้แม้แต่น้อยว่าเงินที่จ่ายไปนั้นเป็เงินของจวนตน
หลังกินจนอิ่มหนำสำราญ พวกเขาก็เดินลงมาเตรียมกลับจวน เมื่อมาถึงหน้าบันได ชั้นสามกลับเกิดความวุ่นวายขึ้น
“รีบดูเร็ว เป็เถ้าแก่เย่”
“ข้ามากินข้าวที่นี่บ่อยครั้ง นี่เป็ครั้งแรกที่ได้เห็นเถ้าแก่เย่”
“เขาลึกลับเป็อย่างยิ่ง”
“นั่นน่ะสิ...”
“พี่สะใภ้สาม คนผู้นั้นคือเถ้าแก่ผู้ลึกลับแห่งหอเยวี่ยอวี่ ก่อนนี้ข้าเคยเห็นอยู่ครั้งหนึ่ง” หลงเซี่ยวเจ๋อกล่าวกับมู่จื่อหลิงที่อยู่ด้านข้าง
มู่จื่อหลิงแปลกใจเหลือเกิน นางมองไปตามเสียงนั้นก็เห็นบุรุษผู้สวมอาภรณ์สีแดงใส่หน้ากากผีเสื้อสีเงินปิดใบหน้าครึ่งหนึ่ง กำลังเยื้องย่างลงบันไดมาอย่างช้าๆ
แม้บุรุษผู้นั้นจะสวมหน้ากากปิดหน้าไปครึ่งหนึ่ง แต่ยังคงสามารถมองเห็นกรอบใบหน้าได้อย่างชัดเจน และสามารถจินตนาการใบหน้าส่วนบนได้จากใบหน้าส่วนล่าง ต้องเป็ใบหน้าหล่อเหลาอย่างแน่นอน
--------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ตาไฟตาทอง มีดวงตาที่สามารถแยกสิ่งเท็จจริงได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้