หนิงมู่ฉือสั่งให้ขันทีพ่อครัวอายุน้อยทั้งหลายทำหมั่นโถวเซียงเฟยจำนวนไม่น้อย ก่อนจะนำไปนึ่งในลังถึงโดยใช้ไฟแรง ไม่นานทั่วทั้งห้องเครื่องก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของหมั่นโถวเซียงเฟย กลิ่นนี้ดึงดูดได้แม้กระทั่งฝูงผีเสื้อ ฝูงผีเสื้อบินว่อนอยู่แถวห้องเครื่องเกิดเป็ภาพที่น่าดูนัก
หนิงมู่ฉือเห็นภาพนี้ก็วิ่งออกไปอย่างตื่นเต้น เมื่อวิ่งวนไปรอบๆ ฝูงผีเสื้อพลันเข้ามาบินวนรอบตัวนาง นางเห็นเช่นนั้นจึงหัวเราะร่าด้วยความสนุกสนาน เหล่าผีเสื้อไม่เพียงบินวนอยู่รอบๆ แต่ยังบินมาเกาะตามชุดและไหล่ของนางอีกด้วย
ขันทีหัวหน้าพ่อครัวตะลึงอ้าปากค้าง หมั่นโถวเซียงเฟยส่งกลิ่นหอมไปทั่วทั้งวัง ั้แ่ตำหนักอันฝูทางตะวันตกไปถึงตำหนักเหยียนโสวทางตะวันออก ล้วนได้กลิ่นหอมของหมั่นโถวเซียงเฟยด้วยกันทั้งสิ้น
ในเวลาเดียวกันนี้เอง ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินซึ่งกำลังอ่านฎีกาจากขุนนางก็เงยพระพักตร์ขึ้น พร้อมทั้งสูดกลิ่นหอมที่โชยเข้ามานี้ เขาอดหันไปถามจางกงกงอย่างแปลกใจไม่ได้ “เสี่ยวจางจื่อ วันนี้ห้องเครื่องทำอาหารอะไร”
จางกงกงที่ในมือถือแส้ตอบด้วยรอยยิ้ม “ทูลฝ่าา วันนี้แม่นางหนิงเข้าวังมาสอนขันทีพ่อครัวรุ่นใหม่ เช่นนั้นคงเป็ฝีมือแม่นางหนิงพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินยิ้มขณะเอ่ย “สตรีนางนี้น่าสนใจนัก” แย้มสรวลพร้อมกับส่ายหน้า ก่อนจะก้มหน้าอ่านฎีกาจากขุนนางต่อ
บรรดานางกำนัลที่เดินผ่านห้องเครื่อง พอเห็นว่ามีฝูงผีเสื้อบินอยู่แถวนี้มากมายชวนให้รู้สึกตื่นเต้นดีใจนัก ะโอย่างตื่นตะลึงออกมา “พวกเ้าดูห้องเครื่องสิ มีผีเสื้อบินอยู่เต็มไปหมดเลย พวกเรารีบไปดูกันเถิด!”
“เอาสิๆ”
นางกำนัลหญิงในชุดสีชมพูวิ่งตรงไปยังฝูงผีเสื้อ เอ่ยออกมาอย่างประหลาดใจ “น่าแปลกจริง นี่ก็ใกล้จะเข้าฤดูหนาวแล้ว เหตุใดถึงยังมีผีเสื้ออยู่อีก”
หนิงมู่ฉือมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นนางกำนัลหญิงไม่น้อยเล่นกับผีเสื้ออย่างสนุกสนาน รู้สึกอิจฉายิ่งนัก
นางเห็นไอน้ำลอยขึ้นมาจากลังถึงไม้ไผ่ จึงเอ่ยปากบอกขันทีพ่อครัวอายุน้อยทั้งหลาย “เอาล่ะ นำออกจากลังถึงไม้ไผ่ได้แล้ว”
ขันทีพ่อครัวทั้งหลายจ้องลังถึงไม้ไผ่อยู่นานแล้ว ได้ยินคำนั้นก็พยักหน้าอย่างดีอกดีใจ รีบลุกขึ้นยืนแล้วเปิดฝาลังถึงไม้ไผ่ออก ทันทีที่เปิดฝาออก กลิ่นหอมพลันโชยเข้าจมูกมาเป็อย่างแรก
นางยิ้มขณะมองหมั่นโถวเซียงเฟย แต่ละชิ้นหน้าตาน่ารับประทาน อีกทั้งยังมีสีชมพู ให้ความรู้สึกคล้ายดอกกุหลาบที่กำลังเบ่งบานเต็มที่ก็ไม่ปาน
นางหยิบขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ทว่ามันร้อนจนนางต้องถือสลับมือไปมา นางค่อยๆ บิออกมาชิ้นเล็กๆ แล้วนำเข้าปาก หลับตาดื่มด่ำกับรสชาติ “พวกเ้ารีบลองชิมเถิด”
บรรดาขันทีพ่อครัวรุ่นใหม่ทั้งหลายรีบหยิบขึ้นมาคนละชิ้น แล้วนำเข้าปาก มันอร่อยจนต้องยกนิ้วโป้งให้ เอ่ยกับหนิงมู่ฉือด้วยน้ำเสียงตะลึง “ฝีมือการทำอาหารของแม่นางหนิงนี่ที่หนึ่งเลย นี่ไม่ใช่หมั่นโถวของโลกมนุษย์แล้ว แต่คือหมั่นโถวของเง๊กเซียนฮ่องเต้บน์ต่างหาก!”
หนิงมู่ฉือได้ยินคำชม ยิ้มจนตาหยีเป็รูปพระจันทร์เสี้ยว คนในวังทั้งหลายเมื่อได้กลิ่นหอมของหมั่นโถว ต่างให้ข้ารับใช้ของตำหนักตัวเองรีบมายื้อแย่งเอาไป
ขันทีพ่อครัวรุ่นใหม่ทั้งหลายไม่เคยเห็นภาพเหตุการณ์เยี่ยงนี้มาก่อนในชีวิต มองนางกำนัลและขันทีของตำหนักต่างๆ ที่อ้าปากค้างตาโตขณะมองหมั่นโถว ผิดกับหนิงมู่ฉือที่มีท่าทีสงบนิ่งกว่ามาก นางเอ่ยกับข้ารับใช้ที่กำลังแย่งจะเอาหมั่นโถวไปให้จงได้ว่า “ทุกคนไม่ต้องใจร้อน มีเพียงพอให้ทุกคนแน่นอน ทุกคนค่อยๆ หยิบไปเถอะ”
ทว่าประโยคนี้ไม่ได้ผลเท่าใดนัก ทุกคนต่างแย่งหมั่นโถวกันจ้าละหวั่น แม้แต่เศษที่ติดอยู่ที่ลังถึงไม้ไผ่ก็ยังไม่เหลือ ในใจหนิงมู่ฉือรู้สึกดีใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้เห็น
ที่แท้การทำอาหารให้คนทานก็เป็ความสุขอย่างหนึ่ง
หมั่นโถวเซียงเฟยถูกนำไปวางขึ้นโต๊ะเสวยของฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจิน เพียงได้กลิ่นท้องก็ส่งเสียงร้อง รอจนทดสอบพิษเสร็จก็หยิบขึ้นมาหนึ่งชิ้น ยิ้มจนตาหยีพร้อมกับเอ่ยถาม “เราไม่เคยเห็นหมั่นโถวเยี่ยงนี้มาก่อนเลย กลิ่นหอม รูปลักษณ์สวยงาม ไม่รู้ว่ารสชาติจะดีสักเพียงใด”
เมื่อกัดเข้าไปหนึ่งคำ อดยกนิ้วโป้งชมเชยไม่ได้ แย้มสรวลพลางเอ่ย “นี่เป็หมั่นโถวที่อร่อยที่สุดเท่าที่เราเคยทานมาเลย รสชาติยอดเยี่ยมมาก เมื่อกินคู่กับอาหารของนางหนูหนิงเหล่านี้ รสชาติยิ่งยอดเยี่ยมเข้าไปใหญ่”
จางกงกงซึ่งยืนอยู่ด้านข้างอดลอบกลืนน้ำลายไม่ได้ มองฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินกัดหมั่นโถวเข้าไปหนึ่งคำ เคี้ยวก่อนจะกลืนลงท้อง ทันใดนั้นท้องของจางกงกงพลันส่งเสียงร้องออกมา
ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินหันไปมองจางกงกงพร้อมกับแย้มยิ้ม ก้มมองหมั่นโถวที่เหลืออีกแค่ไม่กี่ชิ้น ทว่าก็ทำใจมอบมันให้จางกงกงไม่ลงจริงๆ เขามองจางกงกงที่ส่งยิ้มกระอักกระอ่วนมาให้ จึงยิ้มพร้อมกับตรัสว่า “หิวแล้วหรือ เช่นนั้นก็ไปที่ห้องเครื่องสิ”
จางกงกงยิ้มแห้ง โค้งกายบังคมลา ก่อนจะรีบวิ่งไปยังห้องเครื่อง ขณะที่ในใจหวังเป็อย่างยิ่งว่า ในห้องเครื่องจะยังมีหมั่นโถวเหลือให้ตัวเองอยู่บ้าง
ซูเฟยเป็หนึ่งในสี่ราชชายาที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุด ย่อมต้องได้ทานหมั่นโถวเซียงเฟยอยู่แล้ว นางทานพร้อมกับนึกตะลึงในฝีมือการทำอาหารของหนิงมู่ฉือ นางหันไปเอ่ยกับองค์หญิงซีเยวี่ยว่า “ในวังมีแม่ครัวผู้นี้เข้ามา สีหน้าเต๋อเฟยคงจะดูไม่ค่อยดีเป็แน่”
องค์หญิงซีเยวี่ยได้ฟังก็ยิ้มออกมา “อย่างไรตำแหน่งฮองเฮาก็ต้องเป็ของพี่สาว พี่สาวไม่จำเป็ต้องกังวลไปหรอกเพคะ”
“เฮ้อ แต่่นี้ยังไม่มีข่าวคราวหรือท่าทีว่าฝ่าา จะทรงแต่งตั้งใครเป็ฮองเฮาเลย” น้ำเสียงของซูเฟยเต็มไปด้วยความเศร้าใจขณะเอ่ยอย่างทอดถอนใจ
ต่อมาไม่นานซูเฟยก็เอ่ยออกมาด้วยแววตาเ้าเล่ห์ “ซีเยวี่ย เ้าว่าข้ารับนางมาเป็คนของข้า เพื่อช่วยข้าอีกแรงดีหรือไม่”
องค์หญิงซีเยวี่ยนิ่งไปชั่วครู่ หนิงมู่ฉือมักจะปรากฏตัวอยู่ข้างกายจ้าวซีเหอเสมอ ทำให้นางไม่ได้รู้สึกดีต่อสตรีผู้นี้เท่าใดนัก
นางส่งยิ้มให้ซูเฟย “นางมีฝีมือทำอาหารเป็เลิศ ท่านคิดจะใช้ฝีมือการทำอาหารของนางเพื่อให้ได้พระทัยของฝ่าาหรือเพคะ”
ซูเฟยยิ้มเอียงอายพลางเอ่ยตอบ “เ้าช่างรู้ใจข้าที่สุด ข้ามองคนไม่ผิดจริงๆ”
“แล้วพี่สาวจะทำอย่างไร วันนี้ตอนนางจะออกจากวัง จะให้คนไปจับตัวนางมาหรือเพคะ” ประกายตาขององค์หญิงซีเยวี่ยเต็มไปด้วยความร้ายกาจขณะเอ่ยกับซูเฟย ผู้ชายที่นางไม่ได้ ผู้ใดก็อย่าหวังจะ
ซูเฟยมององค์หญิงซีเยวี่ยผาดหนึ่ง ก่อนจะกำมือแน่น ทำให้เล็บที่ยาวของซูเฟยจิกเข้าไปในเนื้อ แลดูน่าหวาดกลัวยิ่งนัก “ยังต้องจับตัวอีกหรือ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าถ้าข้าเอ่ยปาก นางจะปฏิเสธข้าได้ลง!”
“พี่สาว สตรีผู้นี้เ้าเล่ห์นัก พวกเราต้องระวังนางให้ดี จะให้ผู้ใดรู้เื่นี้ไม่ได้เด็ดขาด”
ซูเฟยนอนเอกเขนกอย่างสบายอกสบายใจอยู่บนตั่งคนงาม ในมือกอดเตาอุ่นหุ่มด้วยขนสัตว์นุ่มนิ่มเอาไว้ ขณะที่ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “ต้องกลัวอันใด ต่อไปนางมีแต่จะได้ดี รอให้ข้าขึ้นเป็ฮองเฮาเมื่อใด ข้าจะตอบแทนให้คนที่ช่วยเหลือข้าอย่างงาม!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้