“ทราบแล้วเ้าค่ะ หลิงเอ๋อร์จะเป็เด็กดี...ท่านย่า เมื่อใดหลิงเอ๋อร์ถึงจะไปพบท่านแม่ได้เ้าคะ” มู่จื่อหลิงนึกถึงมารดาที่ยังมิได้พบหน้าผู้นั้น เมื่อใดจึงจะได้พบ จะได้ถือโอกาสตรวจดูอาการเจ็บป่วยของนาง
ได้ยินคำพูดนี้ เหล่าไท่จวินก็ประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ยังตอบว่า “มารดาเ้าพักรักษาตัวอยู่ที่สวนจิ้งซิน จากที่นี่ไป หนทางไกลนัก รอวันที่เ้าว่างแล้วค่อยไปก็ยังมิสาย”
เหล่าไท่จวินรู้ว่าั้แ่สามขวบมู่จื่อหลิงก็เปลี่ยนไป นิ่งเงียบไม่พูดจา ไม่เคยเป็ฝ่ายเรียกร้องพบหน้าหลี่เอินมาก่อน แค่นั้นนางก็แปลกใจมากพอแล้ว ทว่าตอนนี้มู่จื่อหลิงสามารถเปลี่ยนแปลงตนเองได้ นางก็ปลื้มใจนัก
มู่จื่อหลิงได้แต่พยักหน้า ได้ยินเสี่ยวหานกล่าวว่าสวนจิ้งซินอยู่ห่างไปไกลถึงชานเมือง ที่นั่นตั้งอยู่ข้างูเาเคียงลำธาร เป็สถานที่ที่ดีในการพักรักษาตัว
หลังจากมู่เจิ้นกั๋วกลับมาจากสนามรบก็พาหลี่เอินไปรักษาตัวที่สวนจิ้งซิน เมื่อวานรีบร้อนกลับมาดูมู่จื่อหลิง จากนั้นก็กลับไปเสียแล้ว
ดูท่าบิดานางผู้นี้คงมีรักลึกซึ้งต่อมารดานางจริงๆ ทว่าเหตุใดจึงปฏิบัติต่อนางอย่างเฉยชา แม้แต่บุตรสาวแต่งออกก็ไม่มาส่งสักหน่อยเล่า
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ในใจลึกๆ ของมู่จื่อหลิงก็ปรากฏความรู้สึกของการถูกทอดทิ้งอันเบาบาง
“หลิงเอ๋อร์ ย่ารอเ้าออกจากจวน ก็จะไปสวดภาวนาที่วัดชิงอัน ต่อไปอยู่ที่จวนฉีอ๋องต้องระมัดระวังทุกเื่ อย่าได้ยั่วโทสะฉีอ๋องโดยเด็ดขาด หากไม่จำเป็ก็ไม่ต้องเข้าวังหลวง” เหล่าไท่จวินเอ่ยกำชับอย่างใส่ใจ
ในใจมู่จื่อหลิงรู้สึกปลาบปลื้มยิ่งนัก แม้เหล่าไท่จวินจะมิอาจอยู่เป็เพื่อนนางได้ แต่ก็ยังคำนึงถึงนาง แค่นี้นางก็พอใจมากแล้ว
“ท่านย่าวางใจ หลิงเอ๋อร์ทราบแล้ว” มู่จื่อหลิงมิสนว่าในจวนฉีอ๋องจะมีมหันตภัยร้ายอะไร แค่ไม่มายั่วยุนางเข้า ทุกคนก็จะอยู่กันอย่างสงบไม่มีเื่มีราว
ส่วนวังหลวง นางรู้อยู่แล้วว่าเป็สถานที่เช่นใด คงไม่เหยียบย่ำเข้าไปอย่างโง่เขลาแน่นอน
-
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนบ่ายกำลังใกล้เข้ามา
สี่ผอ [1] เดินเข้ามาด้วยใบหน้ายินดี “ฤกษ์มงคลใกล้จะมาถึงแล้ว รีบนำมงกุฎหงส์สวมให้เ้าสาวใหม่ออกจากเรือนเร็ว”
สาวใช้ด้านข้างใช้สองมือประคองมงกุฎหงส์ขึ้นมาสวมบนศีรษะของมู่จื่อหลิงอย่างระมัดระวัง แล้วนำผ้าคลุมสีแดงคลุมศีรษะนางทับอีกชั้น
สี่ผอแบกมู่จื่อหลิงออกจากเรือน
“หลิงเอ๋อร์” เหล่าไท่จวินตามออกมา เงาร่างของนางหดหู่ดูโดดเดี่ยวราวกับนางแก่ชราขึ้นไปอีกสองสามปี
“ท่านย่าวางใจ หลิงเอ๋อร์จะต้องสบายดีแน่ ต่อไปหากมีเวลาว่าง หลิงเอ๋อร์จะไปเยี่ยมท่านที่วัดชิงอันนะเ้าคะ” มู่จื่อหลิงอาวรณ์หญิงชราผู้นี้ ผู้ที่มอบความอบอุ่นให้นางเป็คนแรก
สำหรับนางแล้วแม้เพิ่งรู้จักเหล่าไท่จวินได้เพียงวันเดียว แต่กลับมีความรู้สึกดีให้นางไม่น้อย
หากนางกลับไปไม่ได้จริงๆ ต่อไปเมื่อมีโอกาสจะต้องเคารพกตัญญูต่อนางแน่นอน แค่ไม่รู้ว่าหลังจากพบกันครั้งนี้แล้ว เมื่อใดจะได้พบกันอีก
ในขณะที่ด้านนอกมีเสียงตีฆ้องลั่นกลอง ครึกครื้นขึ้นมา
ภายในจวน กลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้น ทว่าไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงกรีดร้องราวกับหมูถูกเชือดนี้ของมู่อี๋เสวี่ย “กรี๊ด! หน้าข้า! ตัวข้า! เกิดอันใดขึ้น”
ทั้งๆ ที่เมื่อวานนางก็อาบน้ำไปตั้งสิบกว่ารอบแล้ว อีกอย่างฤทธิ์ของผงกัดกร่อนก็มิได้เป็เช่นนี้ ทั่วทั้งตัวบวมแดง เกิดเหตุใดขึ้นกันแน่
มู่อี๋เสวี่ยตื่นขึ้นมา อยากจะออกไปขัดขวางมู่จื่อหลิง คาดไม่ถึงว่าจะเห็นร่างกายของตนเองบวม หมดหนทางที่จะออกไปพบปะผู้คนแล้ว เมื่อเห็นใบหน้าที่น่าเกลียดเช่นนี้ นางก็แทบจะเป็ลม
-
แม้จะกล่าวว่าเป็งานแต่งงานที่มิได้รับคำอวยพร แต่ก็เป็ไทเฮาพระราชทานสมรส ฉีอ๋องมาสู่ขอด้วยตนเอง ฉากขึ้นเกี้ยวเ้าสาวจึงโอ่อ่านัก
ขบวนสีแดงยาวสิบลี้ เกี้ยวหลังใหญ่แปดคนหาม ตีฆ้องลั่นกลองไม่ขาดแม้แต่อย่างเดียว สมกับหน้าตาราชวงศ์
หลังจากสี่ผอวางมู่จื่อหลิงลงบนพื้น ก็มีชายหนุ่มใบหน้าเ้าเล่ห์สวมชุดกี่เพ้าสีแดง หน้าอกกลัดดอกไม้แดงขนาดใหญ่ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันธพาละโลงมา คนผู้นี้คือโอรสองค์ที่หก
“พี่สะใภ้สาม วันนี้พี่สามติดธุระมามิได้ จึงให้เปิ่นหวงจื่อ [2] มารับท่านแทน” หลงเซี่ยวเจ๋อกล่าวอย่างชั่วร้าย ยื่นมือออกมาเตรียมพยุงนางขึ้นเกี้ยว
มู่จื่อหลิงอยู่ภายใต้ผ้าคลุมศีรษะจึงไม่เห็นท่าทางของเขา ทว่าแค่ฟังจากน้ำเสียงก็รู้สึกว่ากวนประสาทยิ่งนัก พี่ชายสู่ขอภรรยาแต่ให้น้องชายมารับแทน ทั้งยังมีธุระมามิได้?
ทันทีที่มาถึงก็วางอำนาจต่อนางเสียแล้ว แล้วนางจะไม่มอบของขวัญตอบแทนได้อย่างไร ของเหลวไร้สีไร้กลิ่นค่อยๆ กลิ้งออกจากแขนเสื้อไหลไปสู่กลางฝ่ามือ นางไม่กล่าวอะไรใช้มือวางบนมือของหลงเซี่ยวเจ๋อขึ้นเกี้ยว
หลงเซี่ยวเจ๋อชะงักไป มือนุ่มนิ่มนั้นเย็นสบายอย่างยิ่ง เมื่อได้สติเขาก็คิดว่าเหตุใดหญิงสาวนางนี้จึงไม่สำรวมเลยแม้แต่น้อย พยุงมือบุรุษตามใจชอบ
เมื่อครู่เขาแค่ทำท่าทีไปอย่างนั้นเอง จะรู้ได้อย่างไรว่านางจะพยุงมือเขาขึ้นเกี้ยวจริง เมื่อพบว่าคนตรงหน้าไม่อยู่แล้ว จึงเกาจมูกด้วยใบหน้าเหยเก ก่อนจะขึ้นไปนั่งบนหลังม้า
บนท้องถนนเต็มไปด้วยประชาชนที่พากันวิพากษ์วิจารณ์ หญิงสาวมากมายจับจ้องไปที่เกี้ยวด้วยสายตาอิจฉาริษยา อิจฉาเสียจนอยากให้ผู้ที่นั่งในเกี้ยวเป็ตนเอง
“สมกับที่ไทเฮาพระราชทานสมรสด้วยตนเอง ขบวนยิ่งใหญ่นัก ได้ยินมาว่าคุณหนูใหญ่จวนจงอี้โหวนับว่าเป็หญิงงามผู้หนึ่งเลยทีเดียว”
“ชิ! งามเยี่ยงใดก็เป็แค่กระสอบฟางใบหนึ่ง ดูได้แต่มิอาจทำประโยชน์ แต่งเข้าไปก็เป็ได้แค่แจกันดอกไม้”
“ใช่ๆ ฉีอ๋องของข้าคงไม่ชมชอบกระสอบฟางเช่นนี้ แม้แต่หางตาคงไม่เหลือบมองเป็แน่”
“ฉีอ๋องของเ้าอะไรกัน เป็ของข้า”
“ของข้า...”
เมื่อมู่จื่อหลิงเข้าไปในเกี้ยว ก็คลุมศีรษะปิดพักสายตา จึงมิได้รับผลกระทบจากเสียงโหวกเหวกโวยวายด้านนอกเลยแม้แต่น้อย
หลงเซี่ยวเจ๋อที่อยู่บนหลังม้าได้ยินปวงประชาพากันวิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่ถือสา ทั้งยิ่งฟังยิ่งชอบใจ ยิ้มชอบอกชอบใจไปตลอดทาง ‘พี่สะใภ้สาม บทละครชั้นยอดยังรอท่านอยู่ในภายหลัง รอดูแล้วกันว่าท่านจะทนรับได้หรือไม่?’
ขบวนตีฆ้องลั่นกลองไปตลอดทาง ช่างคึกคักเป็อย่างยิ่ง
เมื่อมาถึงจวนฉีอ๋อง พอหลงเซี่ยวเจ๋อลงจากม้า ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
มู่จื่อหลิงให้สี่ผอแบกมาที่โถงทำพิธี ก็ยังคงไม่เห็นหลงเซี่ยวอวี่ และในห้องโถงใหญ่ก็ไม่มีผู้าุโเลยสักท่าน มีแค่เพียงขุนนางบางส่วนที่ถูกเชิญมาร่วมงานกับคนรับใช้เท่านั้น
ตัวเอกของงานล้วนไม่อยู่จะกราบไหว้ฟ้าดินได้อย่างไร ผู้คนรอบข้างมองไปที่มู่จื่อหลิงพลางกระซิบกระซาบเสียงเบา
“ฉีอ๋องไม่อยู่ จะกราบไหว้ฟ้าดินอย่างไรกัน”
“แม้ฉีอ๋องจะสู่ขอนาง แต่คงไม่มีทางกราบไหว้ฟ้าดินด้วยแน่”
“นั่นน่ะสิ ฉีอ๋องสู่ขอนางก็ถือเป็ผลจากบุญวาสนาที่นางสั่งสมมาสามชาติสามภพแล้ว”
......
ผ่านไปไม่นาน หลงเซี่ยวเจ๋อก็จูงลูกหมูตัวหนึ่งเข้ามาจากด้านนอกอย่างกระตือรือร้น “พี่สะใภ้สาม พี่สามไม่อยู่ เปิ่นหวงจื่อเห็นว่าให้เ้าสิ่งนี้กราบไหว้ฟ้าดินกับท่าน ท่าจะดี”
ในใจหลงเซี่ยวเจ๋อคิดว่า ‘มู่จื่อหลิง อีกประเดี๋ยวเ้าจะต้องขายขี้หน้ายากจนที่จะรับไหว เ้าจะอยากวิ่งชนกำแพงตายหรือไม่นะ’
ใบหน้าของมู่จื่อหลิงที่ถูกบดบังด้วยผ้าคลุมสีแดง ได้ยินแเื่ที่อยู่เต็มห้องกระซิบกระซาบเสียงเบา ท่าทางกำลังรอรับชมบทละครชั้นเลิศ
------------------------------
เชิงอรรถ
[1] สี่ผอ เป็หญิงวัยกลางคนที่มีครอบครัวครบถ้วนสมบูรณ์คอยส่งเ้าสาวขึ้นเกี้ยว
[2] เปิ่นหวงจื่อ คือสรรพนามที่องค์ชายใช้แทนตนเอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้