“ฉางหลิน ฉางกุ้ย พวกเ้าอยู่นี่ทำอันใดกัน?” เสียงกังวานดังมาจากเื้ัของพวกเขา
หูฉางหลินได้ยินดังนั้น จึงมองย้อนกลับไป ทันใดนั้นบนใบหน้าก็ปรากฏความปีติยินดีขึ้นทันที จึงรีบตรงเข้าไปทักทาย ปากฉีกยิ้ม “ท่านลุง ดีเหลือเกิน กำลังพูดถึงท่าน ท่านก็มาพอดี ...หูจื่อ ตามท่านปู่เ้าออกมาอีกแล้วหรือ? ”
คนที่มาเป็ชายชราผมสีดอกเลา สีหน้าเปล่งปลั่งมีชีวิตชีวาและกำลังวังชาดี ท่าทางอายุมากแต่ยังแข็งแรงนัก เป็ท่านลุงของสองพี่น้องสกุลหูนามว่าหวังหงเซิงนี่เอง ข้างกายเขามีเด็กชายอายุราวสิบขวบอยู่ ท่าทางกำยำน่าเอ็นดู ดูใสซื่อบริสุทธิ์ยิ่งนัก
“ทำไมหรือ? หาข้ามีเื่อันใดกัน ลองเอ่ยมาให้ลุงฟังว่าจะสามารถช่วยอะไรได้บ้าง?” เสียงหวังหงเซิงมีพลัง พอเปิดปากเสียงก็ดังกังวานดุจตีระฆังดึงดูดความสนใจของผู้อื่น
“ท่านปู่!” เจินจูยื่นศีรษะออกมาจากเื้ัของหูฉางกุ้ย ใบหน้าอ่อนวัยมีรอยยิ้มหวาน
“ท่านลุง” หูฉางกุ้ยเรียกตามขึ้นมา
“โอ้ เป็เจินจูหรือ ไม่ได้เจอกันเสียนาน เปลี่ยนไปขาวขึ้นขนาดนี้แล้วหรือ อีกนิดปู่ก็จำมิได้แล้ว ฉางกุ้ย พาบุตรสาวเ้าออกมาชมโลกภายนอกเสียหน่อย แต่อย่าไม่ระวังจนได้รับาเ็สิ” หวังหงเซิงพินิจพิเคราะห์ใบหน้าเล็กขาวนวลของเจินจูด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ดึงเด็กชายข้างกายออกมา “หูจื่อ ทึ่มแล้วหรือ เหตุใดไม่ทักทายคนเล่า”
เด็กชายยิ้มเอียงอาย “ท่านอา น้องเจินจู”
เด็กชายนามว่าหวังหรงฟา ชื่อเล่นว่าหูจื่อ เป็หลานชายคนเล็กสุดของหวังหงเซิง ปีนี้อายุสิบขวบ รูปร่างแม้ไม่สูงแต่ร่างกายกำยำล่ำสัน เขาติดตามหวังหงเซิงเรียนรู้การล่าสัตว์มานานแล้ว
“พี่หูจื่อ” เจินจูตอบ
“ท่านลุง ท่านดูในนี้สิ” หูฉางหลินจูงหวังหงเซิงเข้ามา เปิดม่านฟางที่คลุมออกแล้วชี้ไปที่กระต่าย
“โอ้ กระต่ายมากมายเช่นนี้มาจากที่ไหนกัน? พวกเ้าจับมาหรือ?” หวังหงเซิงแปลกใจ กระต่ายนี่ไม่ใช่จะจับได้ง่ายถึงเพียงนั้น
หูฉางหลินมองซ้ายขวาเล็กน้อย แล้วจึงกดเสียงเบากล่าวว่า “ท่านลุง นี่เป็กระต่ายที่ข้ากับฉางกุ้ยรมควันโพรงกระต่ายจับมาได้ในหลายวันมานี้ เมื่อครู่ข้าไปถามพ่อค้าคนกลางมา ราคารับซื้อต่ำเกินไป กำลังอยากจะถามท่าน ว่ามีร้านอาหารที่คุ้นเคยที่รับซื้อกระต่ายหรือไม่?”
“รมควัน? พวกเ้าใช้ไฟรมควันโพรงกระต่ายหรือ? หากเป็เช่นนั้น กระต่ายทั้งคอกต่างถูกพวกเ้ายกมาหมดเลยหรือ ลูกกระต่ายเล่า?”
หวังหงเซิงหน้ามืดขรึมลงเล็กน้อย พอเขาได้ยินว่าเป็กระต่ายที่ได้จากการรมควัน ก็รู้กลอุบายในทันที วิธีเอาไฟรมควันโพรงกระต่ายนี้ไม่ใช่เื่ที่เป็ความลับพิเศษอะไร นายพรานส่วนใหญ่ล้วนรู้กันดี แล้วเหตุใดไม่ค่อยใช้วิธีนี้กันเล่า? นั่นเป็เพราะหลักการ “เผาป่าเพื่อทำนา สูบน้ำออกจากทะเลสาบเพื่อจับปลา [1]” ทุกคนต่างเข้าใจดี ปีนี้ยกกระต่ายมาทั้งคอก ปีหน้ากระต่ายจะมาจากที่ใด? อาหารที่เชื่อมโยงเป็ลูกโซ่ก็จะชะงักไป ไม่ยุ่งวุ่นวายแย่หรือ
ไม่เหลือทางออกไว้เช่นนี้ มองเพียงประโยชน์ที่อยู่ตรงหน้า ไม่คำนึงถึงแผนการระยะยาว ไม่ใช่แผนการที่ยั่งยืนอย่างแน่นอน ชาวบ้านของหมู่บ้านสกุลหวังที่ขึ้นเขาต่างก็เข้าใจเหตุผลนี้
ตอนแรกหูฉางหลินก็งงงวย มองเจินจูแวบหนึ่ง จากนั้นจึงยิ้มแล้วกล่าว “ท่านลุง ท่านวางใจ พวกข้าไม่ได้จับกระต่ายมาหมดทั้งเขาหรอกขอรับ แค่วิ่งไปทั่วป่าดงดิบหลายแห่งหน่อย แต่ละที่รมควันกระต่ายมาสองสามคอก ลูกกระต่ายล้วนเลี้ยงอยู่บ้านอย่างดี เลี้ยงอีกแค่สองสามเดือนก็ขายได้แล้ว”
“อื้ม พวกเ้ารู้หลักการนี้ก็ดี แต่... กระต่ายไม่เหมาะที่จะเลี้ยงหรอกนะ พวกข้าเลี้ยงมาหลายครั้งแล้ว ทุกครั้งล้วนเลี้ยงได้ไม่นาน” คิ้วของหวังหงเซิงที่เพิ่งคลี่ออกขมวดขึ้นมาอีก
“ กระต่ายต่างเลี้ยงไว้ในบ้านหูฉางกุ้ย กระต่ายบางตัวเลี้ยงมาได้ครึ่งเดือนแล้ว ตอนนี้ดูท่าทางค่อนข้างดีเลย ล้วนเป็เด็กสองคนเจินจูกับผิงอันที่เลี้ยง พวกเขาสองคนรู้หลักการว่าจะต้องเลี้ยงกระต่ายอย่างไร” หูฉางหลินตอบแล้วมองไปทางเจินจู
“ท่านปู่ การเลี้ยงกระต่ายต้องให้ความสำคัญเื่ความสะอาด พวกมันไม่ดื่มน้ำดิบแล้วก็กินอาหารที่มีน้ำมากไม่ได้ ทำตามนี้ก็เลี้ยงได้แล้วขอรับ” เจินจูกล่าวไปพลางเหลือบมองสีท้องฟ้าไปพลาง ยิ้มแล้วกล่าวเพิ่ม “ท่านปู่ ท่านมีเวลาไปดูที่บ้านข้าก็จะรู้ ตอนนี้จัดการปัญหากระต่ายไม่กี่ตัวนี่ก่อนเถิดขอรับ”
หวังหงเซิงหัวเราะ “ฮ่า ฮ่า” ทันที แล้วกล่าว “ได้ ปู่ดูกระต่ายก่อน”
กล่าวแล้วก็คว้ากระต่ายขึ้นมาทันที ใช้มือชั่งน้ำหนักดู มองสภาพกระต่ายอีกหน แล้วจึงพยักหน้ากล่าว “ใช้ได้ กระต่ายไม่เลว พวกเ้าแบกตามข้ามา”
คนหนึ่งขบวนเดินตามหวังหงเซิงไปพลางคุยไปพลาง มุ่งไปยังกำแพงเมืองทางใต้ หูฉางหลินถาม “ท่านลุง วันนี้มิใช่วันตลาด พวกท่านมาทำไมกันหรือ? ”
“โอ้ โรคเก่าของป้าสะใภ้พวกเ้ากำเริบน่ะ ปวดเอวรุนแรงนัก ข้าจึงเข้าเมืองมาเอายาให้นาง” หวังหงเซิงกล่าว
“อาการปวดเอวของป้าสะใภ้กำเริบอีกแล้วหรือ? ครั้งก่อนดูแล้วยังดีมากอยู่เลย” หูฉางหลินขมวดคิ้วกังวลใจ
“นี่มิใช่ว่าใกล้จะเข้าหน้าหนาวแล้วหรือ พออากาศเย็นหน่อยก็กำเริบ ช่วยไม่ได้ คนแก่ตัวลงการเจ็บป่วยก็มากขึ้น ไม่เป็ไร เอายาไม่กี่เทียบมาทานก็พอ” หวังหงเซิงตบบ่าเขาเบาๆ
เจินจูที่เดินอยู่ด้านหลังฟังอย่างตั้งใจ นางมีความทรงจำเกี่ยวกับท่านย่าคนนี้เล็กน้อย เป็หญิงชราที่มองโลกในแง่ดีและใจกว้าง คิ้วโค้ง ท่าทางมักจะยิ้มโดยไม่กล่าวอะไร แม้ว่าเวลายิ้มใบหน้าจะเต็มไปด้วยริ้วรอย แต่ก็ทำให้ผู้คนมีความสุขนัก
หวังหรงฟาที่เดินอยู่ข้างกายนางชำเลืองมองเป็ระยะๆ ไม่เจอกันไม่กี่เดือน นึกไม่ถึงเลยว่าเ้าถั่วงอกที่ผอมเล็กแห้งเหี่ยวจะเปลี่ยนไปจนเหมือนช่อดอกไม้ที่ขาวนุ่ม ดวงตาสว่างไสวราวกับอัญมณี มุมปากเป็เส้นตรงโค้งขึ้นยิ้มบางๆ ทำให้คนละสายตาไปไหนไม่ได้ บนใบหน้าของเขาค่อยๆ แดงระเรื่อขึ้นจางๆ
เจินจูมองไปเพราะรู้สึกได้ หวังหรงฟารีบหันกลับมามองข้างหน้าอย่างว่องไว เจินจูกะพริบตาปริบๆ แล้วไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก เดินตามผู้ใหญ่แถวหน้าไปตลอดทาง
ไม่นานนัก จึงเลี้ยวเข้าที่ซอยหนึ่ง หลังเดินไม่กี่ก้าวก็หยุดอยู่ที่หน้าประตูบ้านหลังหนึ่ง หวังหงเซิงเอื้อมมือขึ้นเคาะประตู “ก๊อก ก๊อก”
“ผู้ใด?” เสียงประตูเปิดออก หลังประตูคือชายร่างคล้ำชุดรัดรูปที่ท่าทางคล้ายเสี่ยวเอ้อ [2]
“เสี่ยวลิ่ว ข้าเอง” หวังหงเซิงยิ้มแล้วกล่าวทักทาย
“โอ้ เป็นายท่านหวัง เหตุใดวันนี้ท่านถึงมาด้วยตนเองเลยเล่า? ก่อนหน้าบุตรชายคนโตสกุลท่านยังมาส่งสินค้าอยู่เลย วันนี้ก็มีของหรือ?” เสี่ยวลิ่วกล่าวพลางหัวเราะ ก่อนจะรีบกล่าวขึ้นอีกว่า “พวกท่านรอสักครู่ ข้าไปเรียกเ้าของร้านก่อน”
“ได้ รบกวนเ้าแล้ว เสี่ยวลิ่ว” หวังหงเซิงกล่าว การออกมาอยู่นอกบ้าน เจรจาการค้าอย่างสุภาพกับผู้คนย่อมเป็การดีนัก
ไม่นาน ร่างของชายที่สวมชุดยาวสีม่วงแบบจีนก็เร่งรีบสับฝีเท้าออกมา ท่าทางอายุห้าสิบต้นๆ สภาพร่างกายสูงใหญ่แข็งแรง ใบหน้ากลมแดง ยังไม่ได้กล่าววาจาก็ยิ้มเบิกบานมาก่อนแล้ว “พี่หวัง วันนี้ลมอะไรหอบมากัน นานแล้วที่ไม่ได้เจอท่าน เหตุใดรอบนี้ถึงวิ่งมาเป็พิเศษเล่า?”
กล่าวจบก็สังเกตเห็นพวกเขาทั้งขบวนขึ้น เหลือบมองพี่น้องสกุลหูที่แบกตะกร้าไผ่สานใบใหญ่สองใบ ในตามีประกายปรากฏออกมาสายหนึ่ง
“น้องชายจาง ไม่ได้เจอกันหลายวันเลย เห็นใบหน้าเ้าแดงทั่วทั้งหน้า ความเป็อยู่ไม่เลวเลยใช่หรือไม่? ” หวังหงเซิงยิ้มแล้วกล่าวตอบ ปีนี้เขาอายุมากขึ้น ล่าเหยื่อได้ก็ไม่ต้องเอาออกมาขายเองมานานแล้ว แต่คบค้าสมาคมกับเ้าของร้านจางผู้นี้มาหลายสิบปี ดังนั้นความสนิทสนมจึงยังมีอยู่ เขาเอียงกายมาทางด้านหลังแนะนำว่า “นี่เป็หลานชายสองคนของข้า แซ่หู เป็คนหมู่บ้านวั้งหลิน วันนี้มาแนะนำคนให้พวกเขาโดยเฉพาะ น้องชาย เ้าลองดูสิว่าสินค้าเหมาะจะเอาไปใช้หรือไม่?”
“ได้สิ พี่หวังแนะนำทั้งที ทุกอย่างล้วนย่อมเป็ไปตามกฎเก่า พวกเราสนิทกันมากี่สิบปีแล้ว ไม่มีทางไม่ดีกับพวกท่านหรอก” เ้าของร้านจาง เป็เ้าของร้านคนที่สองของร้านอาหารสือหลี่เซียงแห่งนี้ เขามีหน้าที่รับผิดชอบในการเลือกซื้อของ และมีมิตรภาพกับนายพรานเก่าแก่ในูเาใกล้เคียง ทุกหน้าหนาวความ้าสินค้าต่างๆ ของูเาจะเพิ่มขึ้นเป็สองเท่า รับจากมือนายพรานไม่เพียงพอนัก ยังต้องไปเลือกซื้อของกับพ่อค้าคนกลางแต่ละแห่งอีก พ่อค้าคนกลางซื้อต่ำขายสูง เ้าของร้านจางจึงมีความสุขที่ได้รับสินค้าพื้นเมืองจากมือนายพรานโดยตรงมากกว่า
“นี่ เ้าของร้านจาง ท่านดูสิ กระต่ายป่าล้วนมีสภาพอ้วนพีนัก” หูฉางหลินถูฝ่ามืออย่างตื่นเต้น เปิดม่านฟางบนตะกร้าออก
เ้าของร้านจางสุ่มหิ้วขึ้นมาหนึ่งตัวดูอย่างละเอียด ชั่งน้ำหนักด้วยมือและวางกลับลงไป หันศีรษะกลับมาดูทางตะกร้ากระต่ายอีกใบ แล้วจับขึ้นมาอีกหนึ่งตัวมองอย่างละเอียดครู่หนึ่งเหมือนเดิม
“อื้ม เยี่ยมเลยทีเดียว กระต่ายป่านี่รูปร่างไม่เล็ก ดูแล้วมีชีวิตชีวา นี่เพิ่งเข้าหน้าหนาว ราคากระต่ายเป็ๆ กับปีที่ผ่านมาต่างกันไม่มาก เมื่อวานเหล่าหลินโถวจับกระต่ายป่ามาสองตัว ให้ราคา 24 เหวิน หากคิดว่าเหมาะสมก็มาชั่งน้ำหนักดู ดีหรือไม่?” ใบหน้าอิ่มเอิบเ้าของร้านจางฉีกยิ้ม ทำให้ใต้คางสามชั้นยื่นออกมาอย่างเสียไม่ได้ เจินจูที่อยู่ด้านข้างมองแล้วจึงยิ้มตาม
หวังหงเซิงพยักหน้า กล่าวเสียงเบาว่า “นี่เป็ราคาที่เหมาะสม ฉางหลิน กระต่ายของพวกเ้าน้ำหนักมาก เมืองไท่ผิงของพวกเรามีเพียงสือหลี่เซียงที่สามารถให้ราคารับรองเป็ที่น่าพอใจได้ พวกเ้าเห็นว่าเหมาะสมก็ไปชั่งให้เ้าของร้านจาง ดีหรือไม่?” เขาชมร้านอาหารอย่างคล่องปาก สือหลี่เซียงนั้นที่จริงแล้วเป็ร้านอาหารใหญ่โตไม่เป็สองรองใคร ในอำเภอเกือบจะทั้งเมือง เปิดสาขาย่อยอยู่หลายร้าน การค้าขายเจริญรุ่งเรืองเป็อย่างมาก
หูฉางหลินได้ฟังแล้ว แม้ราคาจะน้อยกว่าตลาดนิดหน่อย แต่มากกว่าพ่อค้าคนกลางอยู่ไม่น้อย เขาหันศีรษะกลับมามองเจินจู เห็นนางพยักหน้าน้อยๆ ก็รีบตอบกลับไป “ได้ ท่านปู่ ท่านว่าเหมาะสม เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
หวังหงเซิงพยักหน้า ด้วยเหตุนี้ เ้าของร้านจางจึงเรียกขานลูกจ้างในร้านเสียงดัง กระต่ายแปดตัวทั้งหมดสามสิบห้าชั่งครึ่ง เ้าของร้านจางถือลูกคิดนับอยู่พักหนึ่ง สักครู่ผลลัพธ์ก็ออกมาได้ 852 เหวิน เจินจูนั่งยองลงเก็บหินก้อนเล็กมาขีดนับบ้าง พอผลลัพธ์ออกมาเหมือนกันจึงหยัดกายขึ้นยืน หวังหรงเซิงมองนางด้วยความทึ่งอยู่ด้านข้าง เจินจูไม่ได้กล่าวอะไร ใช้เท้าเขี่ยตัวเลขบนพื้นลบทิ้ง
เ้าของร้านจางนับเงินเสร็จก็ส่งให้กับหูฉางหลิน หูฉางหลินรับมาด้วยความตื่นเต้น นับอย่างละเอียดครู่หนึ่ง ในเหรียญทองแดงนี้ล้วนเป็เหรียญหนึ่งร้อยพวงใหญ่ สิบเหรียญหนึ่งพวงเล็ก นับขึ้นมาจึงสะดวกมากนัก
นึกขึ้นว่าในบ้านยังมีกระต่ายตัวผู้อีกสิบตัว เจินจูจึงกลอกตาครุ่นคิด ก่อนวิ่งไปข้างหูของหวังหงเซิงกล่าวเพิ่มไม่กี่ประโยค
“น้องชายจาง กระต่ายนี่ร้านอาหารเ้ายังรับอยู่อีกหรือไม่?” หวังหงเซิงถาม
“รับสิ พี่ชายหวัง พวกเ้าจับกระต่ายป่าได้ก็เอาเข้ามาได้เลย ราคาย่อมดีแน่นอน นี่เข้าหน้าหนาวแล้ว แขกยังชอบทานเนื้อกระต่ายกันมากนัก” เ้าของร้านจางกล่าว เขาเหลือบมองหลานชายสองคนของหวังหงเซิงที่ขายกระต่ายมากมายถึงเพียงนี้ในครั้งเดียว คาดเดาว่ามีวิธีการพิเศษอะไรในการจับกระต่ายป่ากัน
“เช่นนั้นย่อมได้ ครั้งหน้าข้าก็ไม่มาด้วยแล้ว หลานชายข้ามิใช่นายพราน แค่จับกระต่ายได้ไม่กี่ตัว อีกทั้งที่บ้านยังเลี้ยงไว้อีกเล็กน้อย คาดว่าผ่านไปสองวันพวกเขาคงจะเอาอีกคอกหนึ่งมา น้องชาย ต้องฝากวานเ้าให้ช่วยดูแลให้ทีแล้ว” แม้จะสนิทสนมกันมานาน เื่ที่ควรกล่าวก็ควรชี้แจงเสียหน่อยดีกว่า หวังหงเซิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“นี่เป็เื่ธรรมดายิ่ง ข้าจางหย่งฝูเป็คนเช่นไรท่านยังไม่รู้อีกหรือ ขอแค่เอาเข้ามา ราคาย่อมเป็ธรรมไม่หลอกลวง” เ้าของร้านจางตบเข้าที่หน้าอกก่อนกล่าว
เมื่อคนหนึ่งขบวนขอบคุณเ้าของร้านจางจบก็เดินตรงออกจากประตูบ้านไป
เชิงอรรถ
[1] เผาป่าเพื่อทำนา สูบน้ำออกจากทะเลสาบเพื่อจับปลา เป็การเปรียบเปรยถึง การเอาแต่มองเห็นประโยชน์ที่อยู่ตรงหน้า
[2] เสี่ยวเอ้อ คือ บ๋อยหรือบริกรในโรงเตี๊ยมขายสุราอาหาร หรือในที่พักของเหล่านักเดินทางท่องยุทธภพ เสี่ยวเอ้อ แปลว่า ลำดับที่สอง ชาวบ้านทั่วไปในสมัยก่อนนิยมใช้ตัวเลขนับเอา บ้างก็ใช้ลำดับาุโนับว่าเป็ลำดับที่เท่าไร เช่น พี่ใหญ่ พี่รอง น้องสาม บ้างก็ใช้ตัวเลขจับคู่กับคำง่ายๆ มาเรียกเป็ชื่อก็มี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้