กล่าวจนจบ หลินฟู่อินก็หายใจหอบเล็กน้อย ท่าทางคล้ายใกลัวอย่างหนักหน่วง
ทำให้หวงฝู่จินคิดขึ้นมาได้ว่าแม้เด็กหญิงเบื้องหน้าจะหาญกล้าเพียงใดก็ยังมีความรู้สึก ยังหวาดกลัวยังเป็กังวลได้
ทว่าจะแสดงออกเป็เพียงหนทางสุดท้าย มิได้ใจเย็นสงบนิ่งเพียงนั้น
นั่นคือสิ่งที่หลินฟู่อิน้าให้อีกฝ่ายคิด
ทว่าคำของนางทำให้หวงฝู่จินมีความหวังยิ่งขึ้น
เขาถามต่อทันที “เ้าเรียนการแพทย์มาจากที่ใด?”
“ท่านแม่สอนมา”
“เช่นนี้เอง!” หวงฝู่จินพยักหน้า แล้วถามต่อเสียงเย็น “ทำคลอดม้าได้หรือไม่?”
“ไม่ได้” หลินฟู่อินตอบตามตรง ทว่าทันทีที่พูดจบสองคำก็ััถึงความเย็นเยือกจากด้านหลัง จึงแกล้งสงบนิ่งพูดต่อว่า “แต่หากม้าคลอดยากก็ลองได้”
ตอนนี้นางพอทราบแล้วว่าบุรุษลึกลับตรงหน้านาง้าสิ่งใดกันแน่
แต่ในใจนางกลับรู้สึกสิ้นหวังจริงๆ นางเคยแต่ช่วยทำคลอดคน ไม่เคยทำคลอดสัตว์ ไม่มีประสบการณ์เลยแม้แต่นิดเดียว
แต่จะให้คนตรงหน้าคิดว่านางไร้ประโยชน์ไม่ได้เด็ดขาด
หาไม่แล้ว ชีวิตนางคงจบไม่ได้ดีกว่าการโดนเผาทั้งเป็เท่าไหร่นัก
“ม้าท่านคลอดยากจริงหรือ?” คิดๆ ดู นางก็ถือโอกาสทำความเข้าใจสถานการณ์ให้มากขึ้นอีกหน่อย
หวงฝู่จินประหลาดใจกับความเฉลียวฉลาดของอีกฝ่าย เขาจ้องนางกลับสักครู่ก่อนจะตอบ “ใช่”
หลินฟู่อินพยักหน้า
“ข้าจะลองทำให้ดีที่สุด”
นั่นถือเป็การรับปาก
หวงฝู่จินประหลาดใจ เด็กคนนี้ทำให้เขาตกตะลึงได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ชาวใต้ล้วนหยิ่งผยอง โดยเฉพาะผู้รู้วิชาแพทย์ เขาออกเดินทางตามหมู่บ้าน พบหมอเก่าแก่หลายราย เมื่อได้ยินว่าต้องทำคลอดให้ม้าก็ล้วนแต่โมโหจนแทบจะทุบกำแพง
ล้วนแต่บอกว่าเขาหลอกลวงผู้อื่นมากเกินไป เป็การทำลายชื่อเสียงทั้งยังลบหลู่วิชาแพทย์!
คนเหล่านี้ไม่รู้ต่ำรู้สูง ขนเพียงหนึ่งเส้นของเ้าต้าเสวี่ยเฟยเยี่ยนม้าของเขามีค่ามากกว่าชีวิตต่ำต้อยพวกมันนับร้อยเท่า!
ดังนั้นเขาจึงคิดว่าต้องใช้แรงเกลี้ยกล่อมเด็กน้อยนามหลินฟู่อินคนนี้สักเล็กน้อยเพื่อให้นางยอมทำคลอดต้าเสวี่ยเฟยเยี่ยน ข่มขู่เอาชีวิตนางเสียหน่อย หากนางยังไม่ยอมก็เอาชีวิตทารกทั้งสอง น้องๆ ของนางมาข่มขู่เสีย
ทว่ากลับไม่ต้องลงแรงใช้วิธีเ่าั้เลยแม้แต่น้อย
ทำให้เขารู้สึกราวกับตนไร้ประโยชน์เหลือเกิน
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ลอบคิดในใจ ‘เป็เด็กที่แปลกเหลือเกิน’...
เมื่อหลินฟู่อินเห็นม้าสีขาวที่นอนอยู่บนผ้าขนแกะอย่างดีกำลังส่งเสียงกรีดร้องอย่างเ็ป นางก็ตกตะลึงขึ้นมา
โลกนี้ยังมีม้าที่งดงามถึงเพียงนี้อยู่ด้วยหรือ?
“นี่คือต้าเสวี่ยเฟยเยี่ยน หนึ่งในม้าที่โด่งดังที่สุดในโลก รวดเร็วยิ่งกว่าม้าตัวใด เดินบนหิมะไม่ทิ้งรอยเท้า ยามวิ่งดั่งลมถลา เร็วยิ่งกว่านกนางแอ่นโบยบิน”
ด้วยเกรงว่าเด็กหญิงจะไม่ทราบมูลค่าของม้าตัวนี้ เขาจึงได้ออกปากอธิบาย
ที่แท้ก็เป็ม้าที่หายากเพียงนี้ เขาถึงได้ทุ่มเทเพื่อมันนัก
แต่ดูเหมือนตอนนี้เ้าม้าแสนแพงประหนึ่งรถบีเอ็มดับเบิลยูจะคลอดยากจนหมดเรี่ยวแรงเสียแล้ว
หลินฟู่อินนิ่วหน้าโดยไม่รู้ตัว หวงฝู่จินที่ลอบสังเกตสีหน้านางอยู่จึงได้ขมวดคิ้วลงเช่นกัน
“พอจะมั่นใจหรือไม่?”
“คำถามนี้ไม่ถามผู้รักษาจะดีที่สุด” หลินฟู่อินมองเขา สายตาคู่นั้นสงบนิ่งเป็อย่างยิ่ง สงบเสียจนไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้าดูแคลน
ดวงตาของหวงฝู่จินทอประกายวาบ
ทว่าในยามนี้นางที่มีท่าทีสงบนิ่ง กลับชวนให้เขาโล่งใจขึ้นมาบ้าง
“ไปหาชุดแห้งๆ กับรองเท้าให้แม่นางหลิน” เขากวาดตามองไปเห็นเท้าของนางแล้วก็ออกคำสั่งขึ้นมา
ผู้ใต้บังคับบัญชาของชายหนุ่มต่างก็อับอายขึ้นมา ล้วนแต่เป็บุรุษตัวโตๆ จะไปหาชุดสตรีกับรองเท้าได้จากที่ใดเล่า?
กระทั่งสตรีในเป่ยหรงเองก็มีเท้าใหญ่ เด็กคนนี้ย่อมสวมใส่ไม่ได้เป็แน่
ขณะที่ทุกคนกำลังเคร่งเครียดกันอยู่นั่นเอง หลินฟู่อินก็โบกมือเอ่ยขึ้นเสียงเบา “ไม่จำเป็”
หวงฝู่จินขมวดคิ้วแต่ไม่กล่าวคำใด
เพราะหลินฟู่อินก้าวขาไปจนถึงต้าเสวี่ยเฟยเยี่ยนแล้ว ยามนี้นางนั่งยองๆ ลงข้างศีรษะม้าแล้วััมันเบาๆ
“เ้าม้า อย่ายอมแพ้นะ ข้าจะช่วยเ้าเอง” พูดจบนางก็ลุกขึ้น ไม่ใช่ว่านางทำไปเพื่อให้ดูลึกลับอะไร แต่คิดว่าม้าเองก็มีจิตใจไม่ต่างจากมนุษย์
ในตอนที่คนเราคลอดลูก สิ่งแรกที่นางต้องทำกับคุณแม่ที่เข้ามาในห้องคลอดคือการให้กำลังใจ นางเชื่อว่ากับม้าตัวนี้ก็เช่นกัน
ในตอนนี้หวงฝู่จินขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม
เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาล้วนแต่มองหน้ากันอย่างตกตะลึง
พวกเขาเห็นม้าตัวนั้นร้องไห้
ในเวลาเดียวกันก็เห็นว่าในดวงตาคู่นั้นของมันมิได้ดูถือตัวอีกต่อไป ทว่าเต็มไปด้วยความสิ้นหวังลึกล้ำทั้งยังปวดใจ
ทุกคนต่างทราบกันทั้งนั้นว่าม้าตัวนี้หยิ่งผยองเพียงใด กระทั่งในยามคลอดยากจนไร้เรี่ยวแรง ก็ยังได้ยินเพียงเสียงร้องครวญคราง ทว่ามิได้หลั่งน้ำตา
“แม่นางหลิน ต้าเสวี่ยเชื่อในตัวท่านแล้ว!” ใครสักคนอุทานขึ้นอย่างยินดี
หลินฟู่อินชะงักไป ม้าตัวนี้ชื่อว่าต้าเสวี่ยนี่เอง ดูไปแล้วก็เหมาะดีเหมือนกัน
กระทั่งหวงฝู่จินเองก็ยังตื่นเต้นไปด้วย ทว่าใบหน้ายังคงความสงบ “ต้องรักษาต้าเสวี่ย รักษาทั้งแม่ทั้งลูกเอาไว้ให้ได้!”
ทีแรกเขายังคิดว่าต้าเสวี่ยคงไม่ไหวแล้ว คงต้องได้แต่ยอมให้หลินฟู่อินผ่าท้องเพื่อเอาลูกออกมา
อย่างน้อยก็ยังเหลือลูกของมันเอาไว้
แต่ตอนนี้ราวกับได้เห็นความหวังแล้ว!
แม้ร่างเล็กๆ เบื้องหน้ามิอาจทำให้รู้สึกวางใจเลยแม้แต่น้อย ทว่าไม่ทราบเพราะเหตุใดจึงรู้สึกว่าเขาผ่อนคลายลง กระทั่งตัวเองยังแปลกใจ
หลินฟู่อินทราบว่าครั้งนี้รับปากเอาไว้ว่าจะทำให้ดีที่สุด จึงได้พยักหน้าด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง
เมื่อปลอบใจม้าแล้ว นางก็เดินไปตรวจสอบบริเวณช่องคลอดม้าที่ยังไม่ขยายตัวเต็มที่ โชคดีที่มีเืออกไม่มาก
ทว่าน้ำคร่ำแตกออกมามากแล้ว สถานการณ์แบบนี้ควรรีบคลอดออกมาให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นหากน้ำคร่ำเริ่มแห้งแล้วลูกม้ายังไม่คลอดออกมา ลูกม้าในท้องจะหายใจไม่ออกเอาได้…
“จากนี้ฟังคำสั่งข้า!” สีหน้าหลินฟู่อินหนักแน่น รอบกายปล่อยรัศมีผู้สั่งการออกมา นางหันไปมองหวงฝู่จิน สีหน้าท่าทางพร้อมรบเต็มที่
“ดี!” แม้ปกติชายหนุ่มจะถนัดออกคำสั่ง ทว่าในยามนี้เขากลับรับปากตกลง
จากนั้นจึงหันไปสั่งคนของตนเอง “จากนี้พวกเ้าทุกคนฟังคำสั่งของแม่นางหลิน!”
“ขอรับ!” บุรุษร่างใหญ่ทั้งหลายส่งเสียงรับคำสั่งพร้อมกัน ก่อนจะหันไปมองหลินฟู่อินด้วยสายตามีความหวัง
ทีแรกที่นายท่านของพวกเขาไปเอาตัวเด็กคนนี้มา ทำให้ทุกคนล้วนแต่คิดว่าผู้เป็นายคงสิ้นหวังอย่างยิ่ง จึงได้ดื่มพิษดับกระหาย
ทว่ายามนี้เมื่อเห็นดวงตาเฉียบคม ท่าทีสงบนิ่ง ทุกคนล้วนแต่เชื่อมั่นในตัวนาง!
สมแล้วที่เป็คนเืเย็น ผ่าท้องมารดาที่สิ้นชีพด้วยกรรไกรเพื่อเอาตัวเด็กออกมา!
เพียงแค่คิด บุรุษตัวโตๆ เช่นพวกเขายังอดตัวสั่นไม่ได้ ไม่ว่าใครก็ยังไม่อาจหาญกล้าถึงเพียงนั้น
ยังไม่ต้องกล่าวถึงว่าชาวใต้ล้วนแต่หวงแหนร่างกายและเส้นผมที่บิดามารดาให้มา การรักษาสิ่งเหล่านี้เอาไว้นับเป็การกตัญญู…
พวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่าสายตาที่ตนใช้มองหลินฟู่อินเปลี่ยนไปแล้ว กระทั่งหลินฟู่อินเองก็วุ่นวายอยู่กับการเตรียมช่วยทำคลอดม้าจึงไม่ได้สังเกตเลยแม้แต่น้อย
“ไปเตรียมไข่ดิบมาตะกร้าหนึ่งก่อน ตอกไข่ป้อนม้าโดยตรง” เด็กหญิงออกคำสั่งในทันที
“นี่มัน…” ทุกคนมองหน้ากัน ข้ามองเ้า เ้ามองข้า
ป้อนไข่ให้ม้าหรือ? วิธีเช่นนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย…
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้