“ลูกรัก เ้ากลับมาแล้ว...”
“ท่านแม่”
ทันใดนั้นมู่เอ้าเทียนกับหยวนเป่าก็เอ่ยขึ้นพร้อมกัน
หยวนเป่าะโลงจากเก้าอี้และกระโจนเข้าไปในอ้อมแขนของฮวาเหยียน
“เอ๋ ท่านนี้คือท่านป้ามู่หรือขอรับ?”
หยวนเป่าเห็นมู่เฉิงอินอย่างรวดเร็ว เขากะพริบตากลมใสและถามด้วยความอยากรู้
มู่เฉิงอินเพิ่งเดินเข้ามาและยังไม่ทันได้กล่าวทักทาย เวลานี้นางยืนอยู่ข้างหลังมู่เสวียนเย่กับฮวาเหยียน ทำให้คนอื่นไม่ได้สังเกตเห็นนางในทันที ทว่าหลังจากหยวนเป่าะโเช่นนั้น มู่เอ้าเทียนก็เงยหน้าขึ้นและมองตรงมายังนางเช่นกัน
มู่เฉิงอินก้มลงพลางลูบศีรษะของหยวนเป่า สีหน้านางเปี่ยมด้วยความอ่อนโยน “เ้าก็คือหยวนเป่าสินะ ช่างฉลาดและน่ารักเสียจริง!”
ทันทีที่มู่เฉิงอินเดินเข้าประตูมา สายตาของนางก็ตกลงบนร่างของหยวนเป่า แม้ร่างเล็กๆ ของเขาจะนั่งอยู่บนเก้าอี้ ทว่าเพียงมองคราเดียวก็สังเกตเห็นได้ นางเอ็นดูจนแทบทนไม่ไหว เหตุเพราะลูกชายของน้องหญิงเหยียนรูปโฉมงดงามนัก
งดงามราวหยกแกะสลัก วิจิตรดั่งตุ๊กตากระเบื้อง เหมือนเด็กน้อยผู้โชคดีในภาพวาด ช่างทำให้ใจคนอ่อนยวบได้โดยไม่รู้ตัว
โดยเฉพาะเด็กคนนี้ไม่เพียงงดงามเท่านั้น แต่ยังฉลาดเฉลียวเป็อย่างยิ่ง เพียงคราแรกที่ได้พบ ก็สามารถคาดเดาตัวตนของนางออก
“ท่านลุงใหญ่เคยบอกข้าว่า ท่านป้ามู่ทั้งอ่อนโยนและงดงาม โดดเด่นเหนือผู้คน ดังนั้นหยวนเป่าจึงจำท่านได้ในพริบตาขอรับ”
เสียงของเด็กน้อยเปี่ยมด้วยความจริงใจ เมื่อลอยเข้าหูของมู่เฉิงอินย่อมมีแต่ความยินดี
มู่เสวียนเย่ที่อยู่ข้างๆ มิได้กล่าววาจาสักคำก็โดนหยวนเป่าเอ่ยนามไปด้วย ปลายหูของเขาแดงก่ำ เขาพูดเช่นนี้กับหยวนเป่าั้แ่เมื่อใด? เ้าเด็กแสบนี่ต้องเรียนรู้มาจากมารดาเป็แน่
“หืม? แม่นางมู่เฉิงอินจากตระกูลมู่มาหรือ รีบเชิญนางเข้ามาเร็วเข้า”
ในที่สุดมู่เอ้าเทียนก็เอ่ยขัดจังหวะ เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้พลางมองไปทางมู่เฉิงอิน
นี่คือแขกผู้มีเกียรติ ภรรยาของบุตรชายเขาในอนาคต
มู่เอ้าเทียนพอใจเป็อย่างยิ่งกับลูกสะใภ้คนนี้ ดังนั้นท่าทางของเขาจึงดูกระตือรือร้นถึงที่สุด
“เฉิงอินคารวะท่านลุงมู่ ข้ามากะทันหัน รบกวนท่านลุงมู่แล้วเ้าค่ะ”
มู่เฉิงอินพูดอย่างตรงไปตรงมา
ถ้อยคำเรียกขานว่าท่านลุงมู่ทำให้มู่เอ้าเทียนพอใจกับมู่เฉิงอิน ลูกสะใภ้ที่เขาคาดหวังคนนี้มาก ดังนั้นเขาจึงยกมือขึ้นโบกและกล่าวว่า “หาได้รบกวนไม่ พวกเราล้วนเป็ครอบครัวเดียวกัน มิต้องเกรงใจ”
“เย่เอ๋อร์ ยังไม่รีบพาแม่หนูเฉิงอินมานั่งอีก”
เมื่อเห็นว่ามู่เสวียนเย่ยืนนิ่งเหมือนเสาถูกตรึงไว้กับที่ มู่เอ้าเทียนจึงอดไม่ได้ที่จะเปิดปากเรียก
บุตรชายคนโตผู้นี้สายตาช่างมืดบอดนัก เทียบกับเมื่อก่อน ถือว่าฝีมือขึ้นสนิมกว่าเดิมมากทีเดียว
คนไม่กี่คนพากันนั่งลง
ในระหว่างการทักทายโต้ตอบกัน ไม่มีใครสนใจเจียงจื่อเฮ่าและทิ้งเขาไว้ด้านหลังทั้งเช่นนั้น...
เจียงจื่อเฮ่ากวาดสายตามองคนเ่าั้ไปมา สุดท้ายเมื่อพบว่าไม่มีผู้ใดสนใจเขา จึงกระแอมไอเพื่อเตือนทุกคนถึงการดำรงอยู่ของตน
“แค่กๆ”
ฮวาเหยียนกำลังกระซิบกับหยวนเป่าถึงเื่ที่เกิดขึ้นในโรงน้ำชา และเื่ที่มู่เฉิงอินกับพี่ใหญ่ของนางสานสัมพันธ์กัน ทันใดนั้นก็ได้ยินเจียงจื่อเฮ่าไอเสียงดัง
ฮวาเหยียนเลิกคิ้วใบหลิวของนาง เปิดปากกล่าวว่า “ข้าบอกว่าให้โยนคนผู้นี้ออกไป เหตุใดเขาจึงยังอยู่ที่นี่?”
ทหารยามทั้งสองที่ประตูเตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินฮวาเหยียนพูดย้ำอีกครั้ง พวกเขาจึงรีบก้าวไปข้างหน้าทันที
เจียงจื่อเฮ่าหันมอง มู่อันเหยียนผู้นี้ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็จะจับเขาโยนออกไปจริงหรือ? และนั่นทำให้เ้าตัวร้องลั่นทันที
“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวๆๆ...เรามีเื่ต้องคุยกัน อย่ากระทำการรุนแรง!”
เขาะโเสียงดัง
หน้าตาอันใดไม่ต้องรักษาแล้ว ยังจะมีความแข็งกระด้างเช่นเมื่อครู่อยู่ที่ใด
“ให้เวลาเ้าสามนาที กล่าวคำสั่งเสียของเ้า พูดเสร็จก็รีบไสหัวออกไปจากที่นี่”
ฮวาเหยียนเชิดคางขึ้น พลางเอ่ยอย่างหยิ่งยโส
น้ำเสียงนี้ คำพูดนี้ ทำเจียงจื่อเฮ่าโมโหจนแทบหงายหลัง เหตุใดปากของนางจึงอาบพิษเช่นนี้?
มู่เอ้าเทียนนับว่าเป็คนฉลาดมีไหวพริบผู้หนึ่ง หืม? บุตรสาวแสนรักของเขาดูเหมือนจะอารมณ์เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเหลือบมองบุตรชายคนโต มู่เสวียนเย่ลูบจมูกของตนเอง ก่อนเดินมาตรงหน้ามู่เอ้าเทียนและเล่าเื่คร่าวๆ ซึ่งเกิดขึ้นที่โรงน้ำชาซินเยว่ในวันนี้ให้บิดาฟัง
“มู่อันเหยียน เ้าพูดให้มันดีๆ หน่อยมิได้หรือ?”
เจียงจื่อเฮ่าหายใจฮึดฮัด
ฮวาเหยียนเหลือบมองเขา “ข้าก็ยังพูดจาดีๆ กับเ้าอยู่ มิเช่นนั้นเ้าคงถูกข้าจับโยนออกไปนานแล้ว”
ฟังสิฟัง นี่เรียกว่าพูดดีได้หรือ?
ดูเถิดว่าหน้าตาของแม่นางผู้นี้งดงามยิ่ง ทว่าเหตุใดวาจาจึงร้ายกาจถึงเพียงนี้!
แต่เจียงจื่อเฮ่าไม่กล้าด่าคน เขารู้จักบิดาของตนเองดี หากวันนี้เขาถูกไล่ออกจากจวนตระกูลมู่ เขาย่อมต้องมีจุดจบที่ข้างถนนเป็แน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ตอนนี้ขาและเท้าของเขาใช้การไม่สะดวก เกรงว่าเขาอาจต้องกลายเป็ขอทาน
บิดาของเขาเป็คนหัวดื้อ ไม่พูดจาเลื่อนเปื้อน เื่ราวที่บิดาแน่ใจแล้ว ต่อให้ใช้วัวสิบแปดตัวก็ไม่อาจฉุดรั้งได้
เหมือนครั้งเขาถูกส่งตัวไปค่ายทหาร เขาร้องไห้จนสลบแล้วฟื้น ฟื้นแล้วสลบอีกหน สุดท้ายบิดาไม่กล่าวอันใดสักคำก็โยนเขาออกนอกจวน แม้จะผ่านมานานปี ทว่าเพียงนึกถึงเขาก็ยังคงน้ำตาซึม
ยามนี้บิดาไล่เขาออกมาอีกครา ทั้งยังให้เสื้อผ้าติดตัวมาแค่สองชุดกับเงินอีกสองตำลึง ซึ่งเขาใช้เงินไปจนหมดแล้ว กล่าวคือหากเขาไม่อาจเติมเต็มความปรารถนาของบิดา พาเด็กน้อยที่ชื่อหยวนเป่าผู้นี้กลับไป เขาย่อมไม่มีทางให้ไปต่อเป็แน่
ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าสงสาร
เขาเป็นายน้อยผู้สง่างามของตระกูลเจียง ทว่าตอนนี้ไม่มีแม้บ้านให้กลับ องค์รัชทายาทที่เป็ลูกพี่ลูกน้องก็ไม่พอใจ สหายที่ไปมาหาสู่ก็ถูกบิดาเตือนไว้ จะไปพักที่โรงเตี๊ยมก็ปราศจากเงิน ยามนี้เหลือเพียงทางเดียวคือต้องพักอาศัยอยู่ที่จวนตระกูลมู่ไปก่อน
ทว่าบัดนี้ตระกูลมู่เองก็ไม่้าเขา ประสงค์จะขับไล่เขาออกไป...
จู่ๆ เจียงจื่อเฮ่าก็รู้สึกว่าตนช่างน่าสงสารนัก เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตน นึกถึงความทุกข์ยากที่ตนเองได้รับ สุดท้ายเขาก็มิอาจอดกลั้นได้และเริ่มร้องไห้คร่ำครวญออกมา
เขามีหน้าตาที่นับว่าหล่อเหลา เสียงร้องไห้ดังชัดเจน ทว่าเขากลับไม่เขินอายแม้สักนิด เพียงแต่การที่เกิดมาเป็ชายชาตรีทว่ากลับร่ำไห้ด้วยท่าทางเช่นนี้ ช่างทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกไร้คำพูดอยู่บ้างจริงๆ...
“เจียงจื่อเฮ่า เ้าเป็บ้าไปแล้วหรือ!”
ฮวาเหยียนบันดาลโทสะ
เจียงจื่อเฮ่าเปิดปากตั้งใจจะประชดกลับ แต่เมื่อคิดถึงสถานการณ์ในยามนี้ของตนเอง เขาจึงเก็บความไม่พอใจกลับไป “ข้าไม่มีที่ไปจริงๆ บิดาของข้ายืนกรานว่าหยวนเป่าเป็หลานชายของเขา ให้ข้าพาเ้าตัวน้อยกลับไป หากพากลับไม่ได้ ข้าก็ไม่มีที่ให้ไปต่อแล้ว!
เ้าก็เห็นแล้วว่าขาของข้าหัก ควรสงสารและรับข้าเข้าจวน รอให้ผ่านไปสักสองสามวันก่อน ข้าจะหาโอกาสอธิบายให้บิดาฟังอย่างละเอียด หากข้าสามารถอธิบายได้สำเร็จ ข้าจะจากไปแต่โดยดี เ้าว่าอย่างไร?”
เจียงจื่อเฮ่าเจรจาด้วยความระมัดระวังเป็อย่างยิ่ง
“ไม่ได้!”
มู่เอ้าเทียนโบกมือ เจียงจื่อเฮ่าผู้นี้เป็ดั่งหมีโง่ที่คิดจะพาหลานชายของเขาไป อย่างไรก็ไม่มีทาง
“ท่านอ๋องมู่ ท่านทนเห็นข้าทรมานดั่งกายอยู่บนถนน ทว่าหัวอยู่ที่อื่นได้หรือ?”
เจียงจื่อเฮ่าะโอีกครั้ง
ทุกคนล้วนพูดไม่ออก คำเปรียบเปรยที่ว่าศีรษะกับร่างกายแยกออกจากกัน ถูกใช้ในลักษณะนี้ได้หรือ?
“เ้าจะอาศัยอยู่บนท้องถนนหรือไม่ เกี่ยวอันใดกับข้า?”
มู่เอ้าเทียนกล่าว
“แต่ข้าต้องกลายเป็เช่นนั้นเพราะท่านบุกไปทวงหนี้ที่จวนตระกูลเจียง สุดท้ายเกิดเื่เข้าใจผิด ทำให้บิดาของข้าคิดว่ามู่อันเหยียนแห่งตระกูลมู่กับข้าเป็คู่ผัวตัวเมียกัน และให้กำเนิดบุตรมาหนึ่งคน ข้ามีร้อยปากก็มิอาจเถียงได้...!”
“เ้ายังมีหน้ามาพูดอีกหรือ?”
เมื่อเอ่ยถึงเขาก็โกรธขึ้นมาอีก เื่นี้ทำลายชื่อเสียงบุตรสาวแสนล้ำค่าของเขา เวลานี้หลายคนภายนอกล้วนลือกันว่าเจียงจื่อเฮ่าเป็สามีของบุตรสาวเขา และเป็พ่อของหยวนเป่า ซึ่งนั่นทำให้เขาโมโหเป็อย่างยิ่ง
“หาใช่ความผิดของข้าไม่ ข้าเองก็เป็เหยื่อเช่นกัน”
เจียงจื่อเฮ่าสะอื้นไห้ ทั้งร่างดั่งมะเขือยาวถูกน้ำค้างแข็ง [1]
“หึ เหยื่อหรือ? เ้ายังกล้าพูดเช่นนั้นอยู่อีกหรือ? เื่อื่นข้าไม่ขอกล่าวถึง อ๋องเช่นข้ารู้ดีว่าพ่อเ้ามีแผนการอันใด เขาแค่ไม่อยากตอบแทนบุญคุณที่บุตรสาวของข้าช่วยชีวิตเ้าไว้ ทั้ง้าลักพาตัวหลานชายของข้า เช่นนั้นก็ให้เขาไปละเมอเพ้อพกเอาเองเถิด!”
เชิงอรรถ
[1] มะเขือยาวถูกน้ำค้างแข็ง อุปมาถึงการไร้สติ ไร้ิญญา เอื่อยเฉื่อย เหี่ยวเฉา มาจากการที่หลังฤดูน้ำค้างแข็งมาถึง ใน่เช้าตรู่ของดินแดนทางเหนือ เนื่องจากอุณหภูมิลดลงในเวลากลางคืน น้ำบนพืชป่าจะก่อตัวเป็น้ำค้างแข็งบาง ซึ่งในเวลานี้มะเขือยาวที่ยังไม่ได้เก็บจะมีิัย่น เหี่ยวแห้ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้