เพียงโบกมือสบายๆ ก็สามารถทำให้นางหายไปอย่างรวดเร็วราวกับเถ้าถ่านและควัน [2]
ล้วนมิอาจต่อสู้ได้เลยสักนิด
ฮวาเหยียนสบถด่ามารดามันเถิด ตี้หลิงหานเพิ่งอายุเท่าไหร่กัน? อายุยี่สิบสี่หรือยี่สิบห้าปีก็ทะลวงถึงระดับจอมยุทธ์แล้ว ระดับจอมยุทธ์เชียวนะ ต้องผ่านระดับปรมาจารย์ไปถึงสิบสองขั้นถึงจะเป็มหาปรมาจารย์ และเหนือกว่าระดับมหาปรมาจารย์ก็คือระดับจอมยุทธ์...
ผู้เฒ่าติงยังกล้าบอกว่านางเป็ผู้มีพร์อีกหรือ? อยากจะะโถามผู้เฒ่านั่น ให้ลองมาดูว่าผู้มีพร์ที่แท้จริงแล้วนั้นหน้าตาเป็อย่างไร
ติ๋ง ติ๋ง
ฮวาเหยียนได้ยินเสียงน้ำลายตัวเองไหล
“นั่น... รอสักครู่! ”
ภายในพริบตาพลันได้ยินเสียงฮวาเหยียนร้องะโ พลังลมปราณที่พลุ่งพล่านก็ถูกรวบรวมและจัดการอย่างหมดจดเรียบร้อยในทันที หลังจากนั้นสองตาที่เอ่อล้นด้วยน้ำตาก็จ้องมองไปที่ตี้หลิงหาน "ฝ่าา มีอันใดก็พูดกันดีๆ คนโบราณกล่าวเอาไว้ว่าสุภาพบุรุษเคลื่อนไหวด้วยปากแต่ไม่เคลื่อนไหวมือ"
น้ำเสียงนั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง กลายเป็เสียงที่โศกเศร้ายิ่งนัก
สามีที่สามารถยืดและงอ ปรับตัวตามสถานการณ์ได้ เมื่อถึงเวลาที่ต้องยอม เขาก็ควรจะยอม
ใครจะไปรู้ว่าองค์รัชทายาทที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้จะเป็ผู้ฝึกยุทธ์ระดับจอมยุทธ์กัน นางไม่อยากพ่ายแพ้ จึงจำเป็ต้องเมินคำที่ตนเองเพิ่งจะสบถด่าองค์รัชทายาทไปในก่อนหน้านี้ และในเวลานี้เองการเสแสร้งแกล้งแสดงใบหน้าที่อ่อนแอย่อมเป็ทางออกที่ดี
ตี้หลิงหานจ้องไปทางสตรีที่อยู่ตรงหน้า เขารู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก ก่อนจะสงสัยว่าเวลาเพียงแค่สี่ปีนี้จะสามารถเปลี่ยนคนคนหนึ่งไปอย่างสมบูรณ์แบบได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ? สตรีจากตระกูลใหญ่ผู้สง่างามและโด่งดังไปทั่วเมืองหลวง เหตุใดถึงได้กลายเป็เช่นนี้ได้...
หน้าด้านไร้ยางอาย?
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นาน ตี้หลิงหานก็คิดคำคำนี้ขึ้นมาได้
ความเร็วในการเปลี่ยนสีหน้านี้เกรงว่าแม้แต่นักแสดงงิ้วก็ยังเทียบไม่ติด
เขาถูกผิวที่หนาของฮวาเหยียนพาให้ใอยู่กับที่ ชายหนุ่มไม่รู้จริงๆ ว่าเขาควรจะจัดการนางตอนนี้เลยดีหรือไม่
ฮวาเหยียนไม่สนใจว่าตี้หลิงหานจะมองนางอย่างไร ตอนนี้นางรู้สึกเสียใจภายหลังยิ่งนัก แม้จะนับว่านางได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของตี้หลิงหานผู้สวมบทบาทสุภาพบุรุษแล้ว แต่ทำไมนางถึงต้องพูดออกไปด้วยเล่า เพราะั้แ่สมัยโบราณคนที่อาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันต้องก้มหัวยอมให้ฝ่ายชายและตกเป็เบี้ยล่าง นางแสดงตนอย่างกล้าหาญ องอาจในการเปิดโปงความจริงเช่นนั้น แล้วฉากต่อมาเป็เช่นไร นางคิดว่าอีกฝ่ายเป็แค่คนธรรมดา แต่ทว่าสุดท้ายแล้ว เขากลับเป็ถึงองค์รัชทายาทผู้มีวรยุทธ์สูงส่ง
"มู่อันเหยียน หน้าของเ้ายังหนากว่ากำแพงเมืองเสียอีก"
สีหน้าของตี้หลิงหานเ็ายิ่งนัก เขาเยาะเย้ยเสียดสีอย่างไร้ความเกรงใจ
ฮวาเหยียนนึกด่าเขาในใจเป็ร้อยรอบแต่กลับไม่แสดงออกทางสีหน้าเลยแม้แต่น้อย ทั้งการเปลี่ยนสีหน้าของนางก็เป็ไปด้วยความรวดเร็ว
“ฝ่าา ท่านเป็ที่นับหน้าถือตา อีกทั้งใจยังกว้างดั่งมหาสมุทร ดังนั้นอย่าถือสากับหญิงสาวด้อยประสบการณ์อย่างหม่อมฉันเลยเพคะ? ดีหรือไม่เพคะ? พวกเรามาคุยกันดีๆ เถิดเพคะ”
รอยยิ้มของฮวาเหยียนนั้นงดงามยิ่งกว่าดอกท้อ นางตั้งใจที่จะละเลยคำพูดของตี้หลิงหานที่หาว่านางหน้าหนา มันก็แค่การเย้าแหย่เล่นเท่านั้น ระดับวรยุทธ์ของตี้หลิงหานนั้นอยู่ในระดับที่สามารถสังหารนางได้ด้วยนิ้วมือเพียงนิ้วเดียว นางย่อมตระหนักในเื่นี้ได้มิใช่หรือ?
“จู่ๆ ก็จะให้เปิ่นกงคุยกับเ้าดีๆ หรือ? ”
ตี้หลิงหานถาม สีหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความเ็า เขายืนกอดอก ใบหน้าเย้ยหยันและไม่อาจปิดซ่อนความเ็าที่แผ่จากคิ้วตาของเขาได้
ในใจฮวาเหยียนนั้นไร้ซึ่งความศรัทธาและความเกรงกลัว ทว่าใบหน้าของนางกลับแสดงความหวาดผวาออกมา
“ฝ่าา เดิมทีหม่อมฉันก็เป็เพียงหญิงสาวจากตระกูลอ๋องผู้อ่อนแอไร้พลังต่อกรกับผู้ใด หม่อมฉันได้เห็นฉากนองเืเช่นนี้แล้วก็ทำให้ใจนสมองพลันขาวโล่งไปหมด หากทำให้พระองค์ขุ่นเคืองใจ พระองค์ผู้มีจิตใจกว้างขวาง โปรดอย่าได้คิดถือสาหม่อมฉันเลยเพคะ อย่าได้ยึดติดกับเื่เล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ได้หรือไม่? ”
ดูท่าทีการยอมรับความผิดน่าจะเป็ทางออกที่ดีที่สุด
ใบหน้าของตี้หลิงหานครุ่นคิดครั้งแล้วครั้งเล่า
เขารู้สึกว่าสตรีที่อยู่ตรงหน้าเขาคือมู่อันเหยียนตัวปลอม ความสามารถในการเบิกตาโตพลางพูดเื่ไร้สาระนั้นช่างเปิดโลกให้กับผู้คนเสียจริง หญิงสาวจากตระกูลอ๋องผู้อ่อนแอไร้พลังต่อกรเช่นนั้นหรือ? นางกล้าพูดออกมาได้อย่างไร
"เฮอะ"
ตี้หลิงหานหัวเราะเยาะ
“เมื่อครู่เ้าเพิ่งกล่าวว่าข้ามิใช่บุรุษมิใช่หรือ?”
ตี้หลิงหานเชิดคาง แสดงท่าทีเย่อหยิ่งพลางจ้องมองไปที่ฮวาเหยียน
อึก
ฮวาเหยียนลอบกลืนน้ำลาย ช่างเป็สายน้ำชโลมจิตใจเสียจริงหลังจากที่ผ่านสถานการณ์ที่เลวร้ายก่อนหน้านี้มา
บุรุษย่อมให้ความสำคัญกับเื่เช่นนี้มาก
ทันใดนั้นนางก็โบกมือกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “จะเป็เช่นนั้นได้อย่างไร ฝ่าาคงได้ยินผิดไป ร่างกายของพระองค์ทรงแข็งแรงยิ่งนัก แท่งทองของพระองค์ย่อมไม่มีวันโรยรา มากด้วยพละกำลังขย่มเขย่าทุกท่าทาง หนึ่งคืนเจ็ดครา ทุกค่ำคืนคึกคักราวกับเป็เ้าบ่าวมือใหม่...”
"หุบปาก"
ใบหน้าของตี้หลิงหานเปลี่ยนเป็มืดสนิททันที
สตรีผู้นี้ไม่เหลือยางอายแล้วใช่หรือไม่? กล้าที่จะพูดจาอันใดมั่วซั่ว แล้วสิ่งที่นางพูดแปลว่าอะไรกัน? เป็เ้าบ่าวมือใหม่ทุกคืน? นี่กำลังสาปแช่งเขาอย่างนั้นหรือ?
ฮวาเหยียน "...! "
เหตุใดถึงโกรธอีกแล้วล่ะ!
บอกว่าไม่ใช่บุรุษก็โกรธ บอกว่าเป็บุรุษผู้เปี่ยมพละกำลัง แท่งทองคำไม่มีวันโรยราก็ยังโกรธอีก ฝ่าาผู้นี่ช่างปรนนิบัติเอาใจยากเสียจริง
ฮวาเหยียนเบะปากและไม่พูดจาอันใดอีก
...
ตี้หลิงหานพบว่ามู่อันเหยียนที่อยู่ตรงหน้ามีความสามารถเป็ที่หนึ่งในการยั่วโมโหคน เขาเองก็ี้เีจะเล่นลิ้นกับนางต่อแล้ว ดังนั้นเขาจึงถามขึ้นมาอีกครั้งด้วยความเ็า
“มู่อันเหยียน ของของเปิ่นกง เอาคืนมาเดี๋ยวนี้”
ฮวาเหยียนรู้ว่านี่เป็โอกาสสุดท้ายที่ตี้หลิงหานจะมอบให้นาง หากนางไม่สามารถเอาของสิ่งนั้นออกมาได้อีก องค์รัชทายาทเต่ามีขน [3] นั้นคงต้องใช้กำลังกับนางแน่ แต่นางไม่รู้จริงๆ ว่าของสิ่งนั้นคืออะไร? หากอยากรู้ว่ามันคืออะไร นางต้องโยนคำถามเข้าจุดและถามซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนหรือ?
“ฝ่าา ใน่ไม่กี่ปีมานี้ศีรษะของหม่อมฉันหลงลืมไปหลายอย่าง พระองค์ช่วยบอกใบ้ให้หน่อยได้หรือไม่ว่ามันคือของสิ่งใด? ”
นางถามด้วยน้ำเสียงของเด็กดีที่ว่านอนสอนง่าย ทำให้คนอื่นแทบไม่รู้เลยว่าก่อนหน้านี้นางหยิ่งผยองและจองหองเพียงใด
การแสดงออกของตี้หลิงหานค่อนข้างเ็า เขาจ้องไปที่มู่อันเหยียนด้วยท่าทีที่เยาะเย้ยและดูถูก
"เจียงจื่อเฮ่า ดอกบัวพันปี"
หกคำที่ถูกพ่นออกมาจากริมฝีปากบางของตี้หลิงหานนั้นปลุกนางให้ตื่น
ฮวาเหยียนใเป็อย่างยิ่ง อะ... อะไรนะ?
เจียงจื่อเฮ่า ดอกบัวพันปี?
ช่างน่าประทับใจยิ่งนัก เื่ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อนนั้น ยาอายุวัฒนะที่นางฉกฉวยเอามาจากเจียงจื่อเฮ่า ถูกนางและหยวนเป่าแบ่งกันกินเข้าไปแล้ว แท้จริงแล้วของสิ่งนี้เป็ของตี้หลิงหานหรอกหรือ?
ข้าทำพลาดไปใช่หรือไม่? สถานการณ์ตอนนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่?
อา...
ฮวาเหยียนรู้สึกปวดฟันกรามยิ่งนัก
นี่มันอะไรกันเนี่ย!
นี่นางเข้าใจผิดทั้งหมดเลยหรือ?
นึกว่าของที่ตี้หลิงหาน้าคือของขวัญแทนใจแทนรักของเขากับมู่อันเหยียน ทว่ากลับกลายเป็ดอกบัวพันปีที่นางขโมยไป ์ทรงโปรด
ดวงตาของฮวาเหยียนสั่นเทา เป็ไปไม่ได้เลยที่จะยอมรับในเื่นี้ สถานการณ์ยามนี้คับขันแล้วจริงๆ หากยอมรับเื่นี้ ทุกอย่างคงจบแล้วจริงๆ
ตี้หลิงหานมองฮวาเหยียนที่อยู่ตรงหน้า ในยามนี้นางก้มศีรษะลง เขาจึงมองไม่เห็นสีหน้าของนาง เงาเทียนในคุกมืดที่มืดสนิทสาดกระทบใบหน้าของนาง ไม่รู้นางกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ตี้หลิงหานคิดว่าคงไม่ใช่เื่ดีแน่ๆ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฮวาเหยียนก็พูดขึ้นมาว่า “ฝ่าา เจียงจื่อเฮ่าที่ท่านพูดถึงคือผู้ใดกัน? หม่อมฉันไม่รู้จักเขาเลยจริงๆ แล้วดอกบัวอายุพันปีนี่เป็ของแบบไหนกันหรือ? ”
ตี้หลิงหานมองไปยังใบหน้าที่ไร้เดียงสาของฮวาเหยียน พลันนึกเยาะเย้ยในใจ หากไม่ใช่เพราะเขาที่จับได้ว่าคนที่ขโมยดอกบัวพันปีคือนาง ท่าทางที่ไร้เดียงสาและน่าสงสารของนางในยามนี้ คงสามารถหลอกลวงผู้คนได้แล้วจริงๆ
“ไม่ยอมรับหรือ? ”
ตี้หลิงหานถามพลางหรี่ตามองการแสดงของฮวาเหยียน
“ฝ่าา หม่อมฉันไม่เข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัสจริงๆ ระหว่างเรามีเื่เข้าใจใช่หรือไม่เพคะ?”
ฮวาเหยียนตอบด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่รู้ไม่เห็นอันใดทั้งสิ้น
ตี้หลิงหานก้าวเข้าไปข้างหน้า ั์ตาสีดำสนิทของเขาเ็าราวกับแรู่เาไฟ แสดงให้เห็นถึงความเฉียบขาดและไม่แยแสต่อโลก เขาก้มตัวลงและโน้มเข้าไปตรงหน้าฮวาเหยียน
ฮวาเหยียนประหม่าอยู่เล็กน้อย การกระทำของเขาพาให้นางใจนก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว ทว่าเพียงก้าวเดียวก็แสดงให้เห็นแล้วว่าใจของนางเต็มไปด้วยความประหม่า
แต่ดูเหมือนว่าตี้หลิงหานจะไม่เห็นมัน เขาพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำอยู่ในลำคอว่า “ทหาร ไปเชิญคุณชายเจียงมา บอกว่าข้าเรียกให้เขามายืนยันตัวตนของคนผู้หนึ่ง”
เชิงอรรถ
[1] งอและยืดได้ อุปมาผู้ที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ได้
[2] หายไปอย่างรวดเร็วเหมือนเถ้าถ่านและควัน อธิบายว่าหายไปอย่างหมดจดในระยะเวลาอันสั้น
[3] คนที่ชอบกัดแทะ ใส่ใจรายละเอียดมากเกินไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้