“ตกลงอันใด?” จ้าวต้านเอ่ยถาม
เวินซีครุ่นคิดอยู่นาน นางเพิ่งจะมาถึงโลกใบนี้ ยังไม่คุ้นเคยกับสิ่งต่างๆ ดี สารพิษในตัวก็ยังไม่ถูกกำจัด การจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่นั้น นับว่ายากเย็นเกินไป
อีกทั้งในยุคโบราณเช่นนี้ การที่สตรีจะไปไหนมาไหนหรือทำอะไรคนเดียวนั้นจะถูกครหาได้ง่าย แม้ว่านางอยากจะใช้ชีวิตคนเดียว แต่ตอนนี้ยังมิใช่เวลาที่เหมาะสม
ดังนั้นจ้าวต้านที่อยู่ตรงหน้าจึงเป็อีกหนึ่งทางเลือก
“ข้าจะเป็พี่สะใภ้ให้น้องๆ ของเ้า แต่พวกเราห้ามแตะต้องกัน”
จ้าวต้านเข้าใจทันทีว่านางหมายความอย่างไร “เ้าบอกว่าให้เราเป็สามีภรรยากันปลอมๆ อย่างนั้นหรือ?”
เวินซีพยักหน้า “เช่นนั้นแหละ”
“หากเราร่วมมือกันจะสามารถทำได้หลายอย่างแน่ ข้ารับรองเลยว่าอย่างน้อยข้าจะไม่ทำให้ชีวิตของเ้าต้องยากจนขัดสนเช่นนี้” ตอนที่นางกำลังพูดประโยคสุดท้าย ในแววตาของจ้าวต้านนั้นมีหลากหลายอารมณ์ แต่ในที่สุดเขาก็ลดสายตาลงแล้วตอบว่า “ตกลง”
หลังจากจบการสนทนา ทั้งสองก็แบ่งหน้าที่
“ปกติข้าจะต้องออกไปล่าสัตว์ แต่เพราะมีพวกเขาอยู่ จึงไปไกลมิได้ สัตว์ที่หามาได้ก็น้อย”
ชีวิตของพวกเขาจึงขัดสนกันเพราะเหตุนี้
เวินซีได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าทันที “ต่อไปเ้าออกไปล่าสัตว์เถิด ข้าจะดูแลพวกเขาเอง”
“ได้”
ทั้งสองมองหน้ากัน สบตากันครู่หนึ่งแล้วต่างคนก็ต่างแยกย้ายกลับห้อง
จ้าวต้านหาเสื้อผ้าที่สะอาดให้เวินซีเปลี่ยนหลังจากอาบน้ำเสร็จ
บ้านที่พวกเขาอาศัยอยู่นั้นหลังเล็กมาก มีเพียงห้องสองห้อง และเตียงสองหลัง เด็กๆ นอนเบียดกันห้องหนึ่ง ส่วนเขานอนอีกห้อง ตอนนี้มีเวินซีเพิ่มขึ้นมา จ้าวต้านจึงปูพื้นและสละเตียงให้นาง ส่วนเวินซีก็ไม่ปฏิเสธ
จนกระทั่งมาถึงตอนกลางคืน...
ในห้องมีเสียงอู้อี้ที่ร้องอย่างเ็ป พร้อมกับเสียงกวาดสิ่งของตกแตก เวินซีรู้สึกตัวได้อย่างรวดเร็ว เมื่อได้ยินเสียงผิดปกติก็พลันลืมตา
ขณะนั้นเองมีแสงที่ให้ความรู้สึกเย็นะเืแวบผ่านหน้าไป!
เวินซีเบี่ยงตัวหลบโดยสัญชาตญาณ
“จ้าวต้าน!”
นางโกรธมากพลันตะคอกใส่เขาที่ถือกริชไว้อยู่ในมือ “เ้าเป็บ้าไปแล้วหรือ!”
ตอนกลางวันยังปกติดีแท้ๆ แต่พอตกดึกกลับจะฆ่านางเสียอย่างนั้น!
เวินซีหลบไปด้านข้าง จึงทำให้มองเห็นจ้าวต้านได้ถนัดขึ้น
ทันใดนั้นนางก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติไป
ดวงตาของเขาเป็สีแดง สีหน้านั้นน่ากลัวราวกับผีร้ายจากขุมนรก เต็มไปด้วยอารมณ์ที่อยากจะฆ่าฟัน ยามที่เขามองมาที่นาง ดวงตาคู่นั้นช่างเ็าและกระหายเื แตกต่างจากเมื่อตอนกลางวันอย่างสิ้นเชิง
เวินซีตื่นตัวขึ้น พร้อมตั้งท่าป้องกัน “จ้าวต้าน เ้าจำได้หรือไม่ ข้าคือผู้ใด?”
เขาไม่ตอบ ขณะที่แววตาที่เปี่ยมไปด้วยจิตสังหารยังไม่จางหายไป
เห็นได้ชัดว่าเขาจำนางมิได้ เวินซีไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องโจมตีก่อนเพื่อสกัดเขาไว้
เดิมทีนางคิดว่าด้วยทักษะของตนจะสามารถปราบคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย ถึงแม้ว่าร่างกายยังอ่อนแอก็ตาม แต่คิดไม่ถึงเลยว่า จ้าวต้านจะมีทักษะการต่อสู้ที่เก่งกาจกว่า
กริชที่ทิ่มแทงมาครั้งแล้วครั้งเล่า ล้วนเป็จุดปลิดชีพ!
ทว่าจนท้ายที่สุดจ้าวต้านที่บ้าคลั่งก็ค่อยๆ อ่อนแรงลง ราวกับว่าร่างกายเ็ปทรมานหนักหนา เวินซีจึงฉวยโอกาสที่หาได้ยากนี้กดเขาลงอย่างรวดเร็ว วิธีที่ง่ายและเห็นผลดีที่สุดก็คือใช้น้ำหนักของตัวเองกดลงไป
ในที่สุดก็พอจะใช้ประโยชน์จากความอ้วนได้บ้าง
จ้าวต้านถูกกดแน่นอยู่ข้างใต้ อุณหภูมิร่างกายของเขานั้นเย็นผิดปกติ เวินซีสับมือลงที่คอของเขาทันที จ้าวต้านสลบทันใด
ปลอดภัยเสียที
นางถอนหายใจโล่งอกแล้วเตะเขาไปด้านข้าง “ก็ยังดูปกติดีนี่... แล้วเหตุใดจู่ๆ ถึงเป็บ้าไปได้?” นางพึมพำพลางจับชีพจรตรวจดูร่างกายของเขา
ไม่ตรวจดูยังไม่รู้ แต่เมื่อตรวจดูเท่านั้นก็ให้ใ เพราะคิดไม่ถึงมาก่อนว่าร่างกายที่ดูแข็งแกร่งของเขานั้นจะเข้าสู่่บั้นปลายของชีวิตแล้ว?!
มันมิใช่พิษทั่วไป แต่เขาโดนพิษหนอนกู่
เนี่ยนหานกู่ เป็หนอนกู่ที่หายากชนิดหนึ่ง หากทำใส่คนที่กำลังใกล้จะตาย จะสามารถยืดชีวิตไว้ได้
สถานการณ์เช่นนี้รับมือได้ยาก เมื่อหนอนกู่ [1] ออกฤทธิ์จะทำให้สูญเสียสติและเ็ปมาก อีกทั้งอุณหภูมิในร่างกายยังลดต่ำลงอย่างน่าใอีกด้วย เมื่อก่อนอาจารย์ของนางเคยพูดถึงหนอนกู่ชนิดนี้ ว่าคนในสมัยโบราณมักจะทำใส่นักรบที่เก่งกาจ
นางมองดูใบหน้าอันหล่อเหลาของจ้าวต้านค่อยๆ ซีดเซียวลงเพราะความเ็ป ก่อนจะพึมพำ “หากเราเป็สามีภรรยากันจริงๆ อีกสามเดือนเ้าจะปล่อยให้ข้าเป็หม้ายได้เลยนะเนี่ย”
นางถอนหายใจ หาเข็มเงินมาแล้วฝังเข็มให้จ้าวต้าน จากนั้นกัดนิ้วชี้ หยดเืสองสามหยดลงบนริมฝีปากของเขา
ใน่ที่พิษออกฤทธิ์ หากจะช่วยให้เขามีชีวิตอยู่ต่อ และไม่ฆ่าเพื่อปลดปล่อยหนอนกู่ ก็ต้องใช้เืที่ร้อนของนางมาบรรเทาพิษเย็น แต่มันก็ทำได้เพียงบรรเทาเท่านั้น หากจะกำจัดให้หมด จะต้องใช้หญ้าหิ่งห้อยร้อนที่มีอยู่เพียงในพระราชวัง แต่หากไม่ทำอันใดเลยแล้วอดทนใช้ชีวิตต่อไป ก็มีแต่จะทำให้อายุสั้นลง
ตลอดทั้งคืนเวินซีแทบมิได้นอน จนกระทั่งในวันต่อมา
จ้าวต้านลืมตาขึ้น แววตาที่แดงก่ำดังเช่นเมื่อคืนในที่สุดก็หายไปแล้ว เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ และกำลังจะยกมือขึ้น
“อย่าขยับ!”
เวินซีขยี้ตาแล้วดึงเข็มบนร่างกายของเขาออกทีละเล่ม จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองแล้วเอ่ยถาม “เ้าเป็ผู้ใดกันแน่?”
หนอนกู่ที่หายากและมีพลังร้ายกาจเช่นนี้ ไม่มีทางที่จะมาทำใส่นักล่าสัตว์ธรรมดาแน่
จ้าวต้านสบตานางสองสามวินาทีก็ละสายตาออก แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ข้าเป็แค่นักล่า หากจะถามว่าก่อนหน้านี้ข้าเป็ผู้ใด ข้าก็จำมิได้เช่นกัน”
พูดมาก็เหมือนไม่ได้พูด
เวินซีขมวดคิ้วไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็เข้าใจได้ “ช่างเถิด เ้าใช้ชีวิตได้อีกสามเดือน ชีวิตที่เหลือก็ใช้ให้ดีแล้วกัน”
เมื่อจ้าวต้านได้ยินเช่นนั้นก็มองนางด้วยความแปลกใจ “เ้ารู้เื่การแพทย์ด้วยหรือ?”
“กระไรกัน? อยากให้ข้าช่วยหรือ?” เวินซีเลิกคิ้ว
จ้าวต้านส่ายศีรษะด้วยสีหน้านิ่ง “เ้าช่วยข้ามิได้หรอก”
เขาหาหมอมาทั้งใต้หล้าแล้ว ทุกคนล้วนบอกว่าหากโดนเนี่ยนหานกู่จะไม่มีทางรักษาได้
เมื่อจ้าวต้านพูดจบก็เดินออกไป ดูเหมือนกำลังจะไปทำอาหารเช้า
“เดี๋ยวก่อน เอ่อ...วันนี้ข้าทำอาหารเอง ในครัวยังมีผักป่าเหลืออยู่ใช่หรือไม่?”
เวินซีรีบหยุดเขา เพราะไม่อยากจะทานฝีมือของเขาอีกแล้วจริงๆ
นางไปที่ลานบ้านเพื่อตักน้ำ ล้างหน้า แล้วไปทำงานในครัว
ภายในห้องครัวเล็กๆ นี้นอกจากผักป่าแล้วก็ไม่มีสิ่งใดเลย ยากจนเกินจะเยียวยาจริงๆ!
นางส่ายศีรษะอย่างขบขัน หยิบผักป่าขึ้นมาและเริ่มจัดการอย่างชำนาญ
เมื่อก่อนตอนที่นางไปขึ้นเขากับอาจารย์ ก็เคยได้ทานผักป่ากับยาสมุนไพรบ่อยๆ อาจารย์เป็คนเลือกทาน แม้จะมีวัตถุดิบเพียงแค่นี้แต่ก็ต้องทำให้อร่อย
มิฉะนั้นพิษที่อาจารย์ทดสอบใส่ตัวนางจะหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าเดิม
เวินซียุ่งอยู่ในครัวครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ยกขนมผักกับแกงผักมาที่โต๊ะ
เด็กทั้งสามอาบน้ำหวีผมกันเสร็จหมดแล้ว เพียงแค่ยังมัดผมอย่างบิดเบี้ยว
จ้าวต้านเคยบอกชื่อเด็กๆ แล้ว แต่เวินซีคิดว่าจำยาก นางจึงเรียกพวกเขาตามลำดับอายุด้วยรอยยิ้ม ยียี เอ้อเอ้อร์ ซันซาน [2]
“หอมจัง”
ยียีจ้องขนมผักบนโต๊ะอาหารด้วยแววตาเปล่งประกาย ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันทำมาจากผักป่า
เด็กๆ ทานอย่างมูมมามและเอร็ดอร่อย แม้แต่ในตอนที่จ้าวต้านรับรู้ถึงรสชาติ ในสายตาก็ยังฉายแววประหลาดใจ
หลังจากทานเสร็จ เด็กๆ ลูบท้องและชมไม่ขาดปากว่า “นี่เป็อาหารที่ดีที่สุดที่ข้าเคยได้ทานเลย”
เวินซีหัวเราะ
จากนั้นจ้าวต้านก็ขอให้เวินซีทำขนมผักให้อีกเพื่อจะนำไปทานบนเขา
เวินซีมิใช่แค่ดูแลเด็กๆ ที่บ้าน แต่ยังผสมยาใช้เองอีกด้วย โดยนางเก็บวัตถุดิบสำหรับใช้ทำยาจากละแวกใกล้เคียง ซึ่งคนที่นี่คิดว่ามันเป็เพียงหญ้าป่า แต่ในสายตาของเวินซี หญ้าเหล่านี้คือของดีที่มีสรรพคุณเหลือล้น
ผ่านไปเจ็ดวัน
ร่างกายที่อ้วนท้วนของเวินซีก็ผอมลง ไขมันเยิ้มๆ ค่อยๆ หายไปทีละน้อย เป็เพราะนางแช่ตัวในอ่างยา เมื่อสารพิษสลายไป ผิวพรรณก็ดีขึ้นและขาวเนียนขึ้น
จ้าวต้านนำสัตว์ที่ล่าได้กลับมาจำนวนมาก ในตอนที่เข้าประตูมาและได้เห็นนางก็ต้องตกตะลึง
“เ้า...เ้าคือ?”
เชิงอรรถ
[1] หนอนกู่ 蛊虫 หมายถึง สัตว์มีพิษร้ายแรงที่ผ่านพิธีกรรมของชนทางตอนใต้ของจีน มักถูกนำมาใช้ในกิจกรรมทางไสยศาสตร์เช่นการสังหาร ทำร้าย หรือก่อโรคภัยไข้เจ็บให้แก่ผู้คน
[2] ยียี เอ้อเอ้อร์ ซันซาน 一二三หมายถึง ลำดับที่หนึ่ง สอง สาม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้