หลี่เฟยะเิหัวเราะ ในดวงตาคล้ายแฝงความเวทนา เพราะเป็อีกหนึ่งคนที่ต้องตายด้วยดาบของเขา
ตอนนี้เองดาบในมือหลี่เฟยเปล่งแสงจ้า ก่อนจะพุ่งไปหาเย่เฟิงด้วยความเร็วขั้นสุด
สายตาของเย่เฟิงวาบประกายแสง แม้เขาจะอยู่เพียงขอบเขตบ่มเพาะกายาขั้นที่ 5 แต่ิญญาาเทพัที่ถูกปลุกขึ้นมาได้มอบความว่องไวและความเฉียบแหลมให้แก่เขา จึงไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดา ๆ อีกต่อไปแล้ว
แม้รังสีดาบของหลี่เฟยจะว่องไว แต่กลับเชื่องช้าในสายตาของเย่เฟิงนัก
ขณะที่รังสีดาบของหลี่เฟยพุ่งเข้ามา หอกของเย่เฟิงก็พุ่งออกไป มันช่างรวดเร็วและอัดแน่นไปด้วยพลังอันน่าทึ่ง
เย่เฟิงนั้นฝึกห้ากระบวนท่าของเคล็ดวิชาหอกเงินประกายจนชำนาญ พลังของหอกนี้จึงอยู่เหนือระดับการบ่มเพาะของเขาไปแล้ว
“วูบ” หอกคมกริบแทงทะลุแขนข้างที่หลี่เฟยถือดาบ
“อ้าก!” หลี่เฟยส่งเสียงร้องก่อนดาบจะหลุดมือไป เขา้าจะถอยหลัง ทว่ากลับรู้สึกเย็น ๆ ที่ลำคอ
ปลายหอกเงินประกายของเย่เฟิงกำลังจี้ที่ลำคอของหลี่เฟย
ซ่งซินหลิงรู้สึกเกินคาด เย่เฟิงใช้หอกครั้งเดียวก็เอาชนะหลี่เฟยที่อยู่จุดสูงสุดของขอบเขตบ่มเพาะกายาขั้นที่ 6 ได้แล้ว นางไม่เคยคิดเลยว่าเย่เฟิงจะมีพลังถึงเพียงนี้
“เปราะบางนัก ไม่รู้ว่าระหว่างเ้ากับข้าใครคือเศษขยะกันแน่?” เย่เฟิงเยาะเย้ย ขณะมองหลี่เฟยที่กำลังมีสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไร เดิมทีเขาไม่้าโต้เถียงกับหลี่เฟย แต่อีกฝ่ายกลับเป็ฝ่ายยั่วยุก่อน
“ทางที่ดีปล่อยข้าไปซะ มิเช่นนั้นตระกูลหลี่ข้าไม่ปล่อยเ้าไว้แน่ พี่ชายข้าสามารถฆ่าเ้าได้ง่าย ๆ ถึงเวลานั้นข้าจะทำให้เ้าได้ตายแบบไร้ที่ฝัง!” หลี่เฟยปิดาแบนแขนข้างที่โดนโจมตีพลางข่มขู่เย่เฟิงไปด้วย
ตระกูลหลี่มีอิทธิพลอย่างมากในเมืองหลวง นี่คือสาเหตุที่ทำให้หลี่เฟยกล้าวางอำนาจมาตลอด
“เย่เฟิง อย่าหุนหันพลันแล่น เ้าฆ่าเขาไม่ได้ พี่ชายของหลี่เฟยคือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตบ่มเพาะกายาขั้นที่ 9 ทั้งยังมีิญญาาที่ร้ายกาจ พลังกล้าแกร่ง หากเ้าทำอะไรเขา พี่ชายเขาต้องตามล่าเ้าเพื่อเอาคืนแน่” ซ่งซินหลิงเตือนเย่เฟิง ดูเหมือนจะรู้จักพี่ชายของหลี่เฟยเป็อย่างดี
“หูหนวกเหรอ ยังไม่ปล่อยข้าอีก แล้วก็คุกเข่าขอโทษข้าด้วย!” หลี่เฟยได้ใจ ได้ยินความเก่งกาจของพี่ชายเขา เย่เฟิงก็น่าจะคุกเข่าขอร้องเขา
“ปล่อยเ้า ขอโทษเ้าเนี่ยนะ?” เย่เฟิงหรี่ตาลงเล็กน้อย พร้อมทวนคำพูดของหลี่เฟย
“ใช่ ถ้าเ้าทำให้ข้าพึงพอใจได้ ข้าจะให้พี่ชายข้าเมตตาเ้า” เห็นเย่เฟิงลังเล หลี่เฟยก็ยิ่งได้ใจกว่าเดิม
“จะตายอยู่รอมร่อแล้วยังกล้าอวดดีอีก ช่างโง่เขลายิ่งนัก!” เย่เฟิงแสยะยิ้ม ดวงตาเผยประกายจิตสังหาร มือออกแรง ปลายหอกก็แทงลำคอของหลี่เฟย
“เ้ากล้าฆ่าข้า...”
หลี่เฟยเบิกตาโพลงทันที และยากที่จะเปล่งเสียงออกมาในวินาทีสุดท้ายของชีวิต จนกระทั่งวินาทีที่ตายนั่น หลี่เฟยก็ยังไม่อยากเชื่อว่าตัวเองต้องมาตายเช่นนี้
“ฮู่ว!” สองมือของซ่งซินหลิงกุมอกและถอนหายใจยาว นางไม่นึกฝันว่าชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ตรงหน้าจะเผด็จการถึงเพียงนี้ แม้รู้เื่พี่ชายของหลี่เฟยรวมทั้งอำนาจของตระกูลหลี่ แต่ก็ยังลงมือฆ่าอีกฝ่ายอย่างไม่ลังเล
“เ้าฆ่าหลี่เฟย บนตัวเขามีมุกิญญา เมื่อมุกิญญาแตกสลาย พี่ชายของหลี่เฟยก็สามารถรับรู้ถึงกลิ่นอายของเ้าได้ทันที ข้าว่าเ้าอย่าไปเมืองหลวงจะดีกว่า” ซ่งซินหลิงกล่าวขณะมองเย่เฟิง นางเตือนด้วยความหวังดี ถึงอย่างไรหลี่หงผู้เป็พี่ชายของหลี่เฟยก็ไม่ใช่คนที่เย่เฟิงจะรับมือได้
“ไม่เป็ไร หากพี่ชายของหลี่เฟยตามมาเอาคืน ข้าจะจัดการเอง” เย่เฟิงกล่าวอย่างไม่แยแส หากเผชิญหน้ากับคนที่อยู่ขอบเขตบ่มเพาะกายาขั้นที่ 8 แล้วขี้ขลาดตาขาว เช่นนั้นเขาจะกลายเป็ผู้แข็งแกร่งได้เยี่ยงไร
หลังจากเดินทางอยู่ในเทือกเขาปี้หลิงนานหลายวัน หลี่เฟยจึงสะสมชิ้นส่วนสัตว์อสูรได้ไม่น้อย รวมทั้งยาเม็ดบางส่วนที่ไว้ใช้รักษาาแและขจัดพิษได้ ซึ่งเย่เฟิงเก็บทั้งหมดนี้ไปอย่างไม่เกรงใจ ทว่ามีกระดาษสีเหลืองแผ่นหนึ่งดึงดูดสายตาของเย่เฟิง บนกระดาษแผ่นนี้มีเครื่องหมายเส้นทาง แม้มันจะค่อนข้างเก่า แต่ลายลักษณ์อักษรบนนั้นยังคงชัดเจน
“จวนเทียนจี!” ตำแหน่งตรงเครื่องหมายที่ทำสัญลักษณ์ไว้มีชื่อนี้เขียนไว้อย่างชัดเจน
ซ่งซินหลิงกะพริบตาปริบ ๆ กล่าวว่า “จวนเทียนจีน่าจะอยู่ในพรรคเทียนจีของสำนักยุทธ์เทียนเสวียน กระดาษแผ่นนี้คือแผ่นที่ที่นำไปยังแดนลับ ไม่คิดว่าหลี่เฟยจะมีของสิ่งนี้”
“แผนที่แดนลับ?” สายตาของเย่เฟิงเผยประกายคมกริบ หลี่เฟยพกกระดาษแผ่นนี้ติดตัว เห็นได้ชัดว่ามันสำคัญมาก และแดนลับที่ถูกทำเครื่องหมายไว้ในแผนที่นี้จะต้องมีบางอย่างพิเศษ
เย่เฟิงคิดในใจ ก่อนจะเก็บกระดาษแผ่นนั้นไป กล่าวกับซ่งซินหลิงว่า “เห็นทีหลังจากได้เข้าสำนักยุทธ์เทียนเสวียน เราต้องไปแดนลับนี่สักรอบแล้ว”
“อืม” ซ่งซินหลิงพยักหน้า มีโอกาสเช่นนี้ นางเองก็อยากไปแดนลับสักครั้ง
หลังจากหลี่เฟยตาย เย่เฟิงก็ร่วมเดินทางไปกับซ่งซินหลิง เมื่อพบเจอสัตว์อสูรระหว่างทางก็ร่วมมือกันกำจัดและแบ่งชิ้นส่วนเท่า ๆ กัน ทั้งสองจึงค่อย ๆ สนิทกันและกลายเป็สหาย
ในที่สุดวันนี้เย่เฟิงกับซ่งซินหลิงก็มาถึงเมืองหลวง
เมืองหลวงช่างกว้างใหญ่ ไม่ใช่สิ่งที่โยวโจวจะเทียบได้ กองกำลังในเมืองหลวงมีมากมาย เจริญรุ่งเรือง ผู้คนที่เดินตามท้องถนนอาจเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตรวมชี่ หรือแม้กระทั่งขอบเขตยุทธ์แท้ที่แข็งแกร่งกว่า
ที่เมืองหลวง เย่เฟิงรับรู้ได้ว่าตัวเองหดเล็กลงถนัดตา ประหนึ่งน้ำหยดหนึ่งในมหาสมุทร
ขณะนั้นเย่เฟิงกับซ่งซินหลิงนั่งอยู่ในภัตตาคารแห่งหนึ่ง และยังสั่งของกินเล่นมาสองสามอย่าง
“เย่เฟิง เรารอที่นี่สักครู่ อีกเดี๋ยวศิษย์พี่ข้าจะมารับเรากลับไป” ซ่งซินหลิงกล่าวพลางยิ้มขณะมองเย่เฟิง นางอยากให้เย่เฟิงพักอยู่ที่บ้านของศิษย์พี่นาง
“รอเ้ากลับไปกับศิษย์พี่ เดี๋ยวข้าก็จะไปแล้ว” เย่เฟิงกล่าว เขาชอบไปไหนมาไหนคนเดียวมากกว่า และไม่อยากรบกวนคนอื่น
ซ่งซินหลิงกล่าวว่า “บ้านของศิษย์พี่ข้าใหญ่มาก จัดเตรียมห้องหับให้คนเดียวได้ ไม่มีปัญหาหรอก”
เย่เฟิงไม่ได้พูดอะไร แต่ขณะนั้นได้ยินเสียงพูดคุยจากโต๊ะหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล
“พวกเ้ารู้หรือยัง สำนักยุทธ์เทียนเสวียนเปิดรับศิษย์ก่อนกำหนดครึ่งปี เื่นี้ทำทุกคนใกันมากเลยล่ะ อัจฉริยะรุ่นเยาว์อายุต่ำกว่าสิบแปดทั่วทั้งอาณาจักรจ้าวต่างรีบไปที่เมืองหลวง เพื่อลงทะเบียนเข้าร่วมการสอบของสำนักยุทธ์เทียนเสวียน”
“สำนักยุทธ์เทียนเสวียนจะเปิดรับศิษย์ทุก ๆ สามปี ตามหลักแล้ว ยังเหลือเวลาอีกครึ่งปีกว่าจะถึงกำหนดเปิดศิษย์ใหม่ แต่ทำไมถึงเปิดรับศิษย์ก่อนกำหนดเล่า?” มีคนหนึ่งถามด้วยความสงสัย
“ลือกันว่า สาเหตุที่สำนักยุทธ์เทียนเสวียนเปิดรับศิษย์ก่อนกำหนด เป็เพราะคนคนหนึ่ง คนนั้นคือหนานกงหลิงซวงผู้ปลุกิญญาาหงส์ได้เมื่อหลายวันก่อน ทางสำนักยุทธ์เทียนเสวียนจึง้าตัวหนานกงหลิงซวง เพราะงั้นการที่เปิดรับศิษย์ก่อนกำหนด นั่นก็เพื่อดึงหนานกงหลิงซงให้เข้าร่วมสำนักยุทธ์” คนนั้นอธิบายด้วยสีหน้าตื่นเต้น
หัวข้อบทสนทนาของโต๊ะนี้น่าสนใจมาก จึงมีคนไม่น้อยต่างหันมามองทางด้านนี้
เย่เฟิงก็ฟังเช่นกัน พร้อมกับดวงตาเผยประกายแสงเยือกเย็น
“หนานกงหลิงซวง หญิงสาวผู้ปลุกิญญาาหงส์ขั้นเขียวได้เมื่อหลายวันก่อน พร์ล้ำเลิศอย่างที่คิด แม้แต่สำนักยุทธ์เทียนเสวียนก็ยังเปิดรับศิษย์ก่อนกำหนด”
“ไม่ใช่แค่นี้ ลือกันว่าตระกูลเฉินแห่งเมืองหลวงจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลหนานกง อีกฝ่ายคือเฉินอ้าวเทียนอัจฉริยะชั้นยอดแห่งตระกูลเฉิน เฉินอ้าวเทียนกับหนานกงหลิงซวงได้แต่งงานกัน จากนั้นจะถูกส่งต่อไปยังคนรุ่นต่อไป”
เหล่าผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ พวกเขาใกับความเก่งกาจของหนานกงหลิงซวง แต่ก็สนใจการแต่งงานของเฉินอ้าวเทียนกับหนานกงหลิงซวงมากกว่า
ได้ยินผู้คนพูดคุยกัน เย่เฟิงก็เหยียดยิ้มอย่างเ็า เขาไม่อยากพูดอะไร แต่จะรอพิสูจน์ทุกอย่างในวันทดสอบ
“เย่เฟิง เ้าบอกว่าเ้ามาจากโยวโจว หนานกงหลิงซวงที่พวกเขาพูดถึง เ้ารู้จักไหม?” ซ่งซินหลิงกล่าวถามเย่เฟิง
“รู้จัก” เย่เฟิงพยักหน้าไม่ปฏิเสธ
“ว่ากันว่าผู้หญิงคนนี้ปลุกิญญาาหงส์ขั้นเขียวได้ พลังต้องแข็งแกร่งมากแน่ สามอันดับแรกของการสอบเข้าสำนักยุทธ์เทียนเสวียนครั้งนี้อาจจะมีนาง เย่เฟิง พลังของเ้าก็ไม่เลว ห้าสิบอันดับแรกคงไม่มีปัญหา เ้าพยายามเข้าล่ะ!” ซ่งซินหลิงกล่าวต่อ พร้อมกับยกกำปั้นเล็ก ๆ ขึ้น เพื่อเป็การให้กำลังใจเย่เฟิง ในความคิดของซ่งซินหลิง หนานกงหลิงซวงแข็งแกร่งมาก แต่อันดับหนึ่งของการสอบจะเป็ของศิษย์พี่นางตลอดไป
“ข้าจะพยายาม” เย่เฟิงระบายยิ้ม
ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกัน มีสองชายหนุ่มเดินขึ้นบันไดนอกภัตตาคาร สองคนนี้หล่อเหลาไร้ที่ติ คนที่อยู่ทางขวาดูไม่ธรรมดา มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนทั่ว ๆ ไป
การมาของพวกเขาดึงดูดสายตาของผู้คนไม่น้อย จู่ ๆ มีคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “โจวมู่ไป๋กับหวังหลง”
“โจวมู่ไป๋ อัจฉริยะแห่งตระกูลโจว เขาอายุสิบเจ็ดก็อยู่จุดสูงสุดของขอบเขตบ่มเพาะกายาแล้ว อีกแค่ก้าวเดียวก็จะถึงขอบเขตรวมชี่ ทั้งยังปลุกิญญาาต้าเผิงขั้นเขียวได้ด้วย ในภายภาคหน้าอาจเป็อีกคนที่เทียบเคียงกับเฉินอ้าวเทียนได้” มีคนหนึ่งกล่าว ซึ่งชาวเมืองหลวงรู้ทั่วกันว่าคนอย่างโจวมู่ไป๋มีพร์ที่น่าทึ่งแค่ไหน
ผู้คนต่างเลื่อมใสโจวมู่ไป๋ในฐานะนายน้อยแห่งตระกูลโจว ดังนั้นไม่ว่าโจวมู่ไป๋ไปไหนก็จะกลายเป็จุดสนใจของเหล่าผู้คน
“หวังหลงคนนั้นก็ไม่เลว อัจฉริยะแห่งตระกูลหวัง เขาอายุสิบหกก็อยู่ขอบเขตบ่มเพาะกายาขั้นที่ 7 ปลุกิญญาาขั้นเหลือง ถึงแม้พร์จะสู้โจวมู่ไป๋ไม่ได้ แต่ก็เป็อัจฉริยะผู้เก่งกาจคนหนึ่ง ได้ยินมาว่าครั้งนี้หวังหลงก็เข้าร่วมการสอบของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนด้วย น่าจะคว้าอันดับดี ๆ ได้”
เหล่าผู้คนต่างกระซิบกระซาบ ขณะสายตาไปหยุดอยู่ที่ชายหนุ่มผู้สวมเข็มขัดรอบเอว
ซ่งซินหลิงหันไปมองโจวมู่ไป๋กับหวังหลง ก่อนจะยิ้มแย้มออกมา กล่าวว่า “ศิษย์พี่ ท่านมาแล้วหรือ!”
โจวมู่ไป๋กับหวังหลงเดินมาที่ด้านหน้าโต๊ะของพวกเย่เฟิง โจวมู่ไป๋ส่งยิ้มจาง ๆ ให้ซ่งซินหลิง กล่าวว่า “เดินทางมาเหนื่อย ๆ ศิษย์น้องตามข้ากลับจวนเถอะ”
จากนั้นโจวมู่ไป๋มองเย่เฟิง ก่อนจะหรี่ตาลงเล็กน้อย กล่าวถามว่า “คนนี้คือ?”
ซ่งซินหลิงกล่าวพลางยิ้มว่า “คนนี้คือเย่เฟิง เจอกันที่เทือกเขาปี้หลิง จึงร่วมเดินทางด้วยกัน ระหว่างทางก็ยังดูแลข้าเป็อย่างดี”
ได้ยินคำพูดของซ่งซินหลิง สีหน้าของโจวมู่ไป๋เกิดความผันผวนเล็กน้อย ก่อนจะกลับมาเป็ปกติในพริบตา หากไม่สังเกตก็ไม่มีทางมองเห็น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้