บทที่ 34 ตระกูลจินแห่งติ้งจง
“เกิดอะไรขึ้น?” หลิวฉงเหวินถามอย่างแปลกใจเล็กน้อย แต่ในขณะเดียวกันเขาก็โบกมือส่งสัญญาณอย่างเงียบๆ นักรบด้านหลังกระจายตัวตีวงล้อมอย่างฉับไว
ลั่วถูยกกิ่งไม้ที่หักขึ้นอย่างระมัดระวัง จากนั้นก้มลงตรวจสอบ ผ่านไปครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นมากล่าวว่า “มีคนมาถึงผาปากเหยี่ยวก่อนเราก้าวหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็มิตรหรือศัตรู... ”
“ทางเส้นนี้มีคนใช้บ่อยอย่างนั้นหรือ?” ท่าทีของหลิวฉงเหวินเคร่งขรึมขึ้นทันควัน
“ไม่ ทางเส้นนี้มีคนใช้น้อยมาก คนที่รู้ทางนี้มีเพียงอาจารย์ปรุงยาไม่กี่คน ข้าเคยตามอาจารย์มาครั้งหนึ่ง ในเวลาอื่นแม้แต่พรานล่าสัตว์ก็น้อยนักที่ใช้ทางเส้นนี้ และจากรอยเท้าบนพื้น บอกได้เลยว่าฝ่ายตรงข้ามเพิ่งผ่านไปไม่นาน อีกทั้งยังจำนวนไม่น้อยเลย ทางที่พวกเขามาต่างจากพวกเราไม่มากนัก” กล่าวจบ ลั่วถูพลางชี้ไปยังกิ่งไม้ที่เขายกขึ้นมา และกล่าวต่อด้วยความเครียดขึงว่า “กิ่งไม้ชนิดนี้เหนียวอย่างมาก คนธรรมดาเดินผ่านไม่มีทางหักง่ายๆ แต่รอยหักตรงนี้ราวกับถูกกระแทกจากของแข็ง ในคนกลุ่มนี้มีหลายคนที่มีร่างเนื้อแข็งแกร่งมาก! วรยุทธ์เช่นนี้ไม่ใช่คนธรรมดาจะฝึกฝนได้”
จมูกของลั่วถูสูดดมกลางอากาศ ราวกับััได้ถึงลมปราณของคนพวกนั้น
“เ้าแน่ใจหรือ?” ท่าทีของหลิวฉงเหวินทวีความเคร่งขรึมยิ่งขึ้นไปอีก
“ข้ามั่นใจ ข้าเคยได้ยินการฝึกฝนวรยุทธ์ชนิดหนึ่ง ต้องใช้ยาน้ำพิเศษในการกลั่นร่างกายั้แ่เด็ก จากนั้นใช้กระบองตี ฝึกความอดทนต่อการโจมตี พวกเขาปล่อยหมัดใส่กำแพง ใช้ร่างกายทุบทราย... ท้ายที่สุดก็ฝึกจนสำเร็จกระดูกเหล็กทองแดง เพียงแต่คนเช่นนี้ในท้ายที่สุด ิัจะด้านชาไร้ความรู้สึก ถ้าฝึกจนแข็งแกร่งถึงขีดสุด หากใช้เพียงดาบกระบี่ธรรมดาไม่อาจสร้างาแได้ ร่างกายเต็มไปด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล แต่วรยุทธ์เช่นนี้มีข้อเสียอย่างหนึ่ง นั่นคือผู้ฝึกจะควบคุมลมปราณในร่างได้อย่างยากลำบาก ก่อนที่พวกเขาจะฝึกสำเร็จ ทุกครั้งที่ได้รับแรงกระตุ้นจากสิ่งเร้าภายนอก ก็จะใช้ลมปราณโจมตีกลับเพื่อป้องกันตัวโดยไม่ได้ตั้งใจ ต่อให้สิ่งเร้าที่ัักับิัของเขาจะเป็แค่กิ่งไม้ท่อนหนึ่งก็ตาม” ลั่วถูกล่าวอย่างเรียบเฉย
“กายาทองกลั่นโลหิตของตระกูลจินแห่งติ้งจง... ” ผู้ที่กล่าวขึ้นครั้งนี้กลับเป็แม่ทัพตงหลี่
“ท่านแม่ทัพตงหลี่ก็เคยได้ยินวิชาฝึกร่างกายประหลาดนี้ด้วยหรือขอรับ?” ลั่วถูไม่ได้ใเท่าไรนัก เพราะตระกูลตงหลี่มีตำแหน่งสูงส่งไม่น้อยในเผ่ามนุษย์ การที่รู้จักชื่อวิชาลับเช่นนี้ไม่ใช่เื่แปลกแต่อย่างใด
ลั่วถูรู้ถึงขนาดว่าวิชากายาทองกลั่นโลหิตนี้แท้จริงแล้วมีต้นกำเนิดจากซากศิลาแห่งหนึ่ง วิธีฝึกฝนคล้ายกับวิธีที่เขาเคยฝึกร่างกายเมื่อครั้งยังเด็ก แต่เพราะในโลกชั้นล่างนี้มีสัตว์อสูรที่กลั่นโลหิตแล้วน้อยเกินไปจนไม่พอให้เก็บไปทำยาได้ จึงทำได้เพียงนำสมุนไพรพิเศษบางอย่างมาปรุงแทน
ถึงวิชากายาทองกลั่นโลหิตจะแข็งแกร่งมาก แต่การใช้ยาแทนเืสัตว์อสูร กลับทำให้ผู้ฝึกวิชาต้องสูญเสียอายุขัยเสียแทน นับว่าเป็วรยุทธ์ที่ค่อยๆ บั่นทอนชีวิตของผู้ฝึกตนก็ไม่ผิดนัก ในเมื่อไม่มีเืของสัตว์อสูรเซวี่ยเลี่ยนคอยหล่อเลี้ยงชีวิตที่ถูกบั่นทอนให้ฟื้นกลับคืน อีกทั้งวรยุทธ์นี้เมื่อฝึกจนถึงระดับสูงสุดก็อยู่แค่ระดับศิษย์าขั้นเก้าเท่านั้น ไม่มีทางทะลวงสู่ระดับปรมาจารย์ได้
ทว่าในโลกชั้นสูงนั้นต่างออกไป พวกเขาอาจรวบรวมสมุนไพรสำหรับปรุงยาได้มากพอ ได้ยินว่าตระกูลที่แข็งแกร่งเ่าั้ ไม่เพียงใช้เืสัตว์อสูรเซวี่ยเลี่ยนเท่านั้น ทั้งยังใช้เืของัด้วยซ้ำ มีกระทั่งคนเคยฝึกวิชากายาทองกลั่นโลหิตจนประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ ฝึกจนร่างกายเป็ดั่งอาวุธ กลายเป็เทพาในสมัยนั้นก็ว่าได้ ถูกขนานนามว่าเทพทอง แม้แต่จักรพรรดิก็ไม่กล้าดูถูกใต้เท้าเทพทองท่านนี้... แต่ว่า ที่แห่งนั้นคือโลกชั้นสูง ไม่ใช่สถานที่ที่ทรัพยากรขาดแคลนอย่างโลกชั้นล่าง แต่เขาเริ่มได้กลิ่นลมปราณสมุนไพรเืัลอยมาในอากาศแล้ว คาดว่าวิชากายาทองกลั่นโลหิตของคนผู้นี้น่าจะเพิ่งเริ่มฝึกได้ไม่นานเท่านั้น
“วิชาฝึกร่างกายของตระกูลจินแห่งติ้งจงไม่ใช่ความลับอะไร ก็แค่วิธีทำร้ายตัวเองเท่านั้น” ในน้ำเสียงของตงหลี่เช่อแฝงไว้ซึ่งเจตนาดูถูก
“คาดว่าคงเป็วิชากายาทองกลั่นโลหิตของตระกูลจิน ข้าได้กลิ่นสมุนไพรเืัลอยอยู่ในอากาศ เกรงว่าน่าจะฝึกมาไม่น้อย ถึงสามารถใช้สมุนไพรเืัได้ ตำแหน่งในติ้งจงของเขาคงสูงใช่เล่นแน่!” ลั่วถูพยักหน้า เขาไม่ได้แสดงความเห็นกับวิชากายาทองกลั่นโลหิตแต่อย่างใด เขาเพียงออกความเห็นโดยอิงจากความรู้เื่สมุนไพรของตนเท่านั้น
“ถ้าคนของตระกูลจินจากติ้งจงปรากฏตัวขึ้นที่นี่จริง เช่นนั้นเกรงว่าการเดินทางบนูเานี้คงไม่ง่ายเสียแล้ว... ” หลิวฉงเหวินถอนหายใจ คนอื่นอาจไม่รู้ความหมายของการปรากฏตัวขึ้นของตระกูลจิน แต่เขากลับรู้ดีเพราะเขาคือตระกูลข้าราชการของตระกูลตงหลี่ ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลตงหลี่กับตระกูลจิน ไม่เคยญาติดีกันมาก่อน เหมือนกับที่ตงหลี่เช่อดูถูกตระกูลจิน และตระกูลจินก็มองตระกูลตงหลี่เป็ศัตรูเช่นกัน
เขตติ้งจงกับเขตตูชางอยู่ห่างกันไม่ไกลกัน โดยที่ตระกูลตงหลี่ในตูชางและมีความแค้นกับตระกูลจินสืบทอดกันมานับสิบกว่ารุ่นแล้ว หรือจะเรียกว่าแค้นตลอดกาลก็ไม่ผิดนัก... แต่ภายใต้กฎของเผ่ามนุษย์ ตอนนี้ทั้งสองตระกูลไม่ได้ขัดแย้งกันถึงขั้นเอาชีวิตในที่แจ้งได้
“เช่นนั้นพวกเรายังจะไปผาปากเหยี่ยวไหม?” เฉิงอิงเอ่ยปากถาม
“ไม่ต้องรีบร้อน ที่เนินฝั่งนั้นมีต้นไม้ถูกฟ้าผ่าต้นหนึ่ง ภายในลำต้นว่างเปล่า ข้างในมีความกว้างจั้งกว่า พี่ใหญ่เฉิงถ้าเกิดฝนตกหนักขึ้นมาพวกท่านส่งแม่ทัพตงหลี่ไปที่โพรงไม้ก่อน ข้างในนั้นคงไม่มีปัญหาอะไร พวกข้าจะไปดูลาดเลาที่ผาปากเหยี่ยวก่อน ถ้าเกิดพวกนั้นพุ่งเป้ามาที่พวกเราจริง ไม่แน่ว่าฝนตกอาจเป็เื่ดีก็ได้!” ลั่วถูไม่กล้าให้ทุกคนเสี่ยงขึ้นไปที่ผาปากเหยี่ยว แต่เมื่อคิดดูอีกทีแล้ว ตอนนี้ขอเพียงปกป้องแม่ทัพตงหลี่ได้ คนอื่นน่าจะไม่ขัดข้องอะไร ต่อให้ต้องตากฝนจริงก็คงไม่เกี่ยงงอนแน่นอน
“เช่นนั้นก็ดี!” หลิวฉงเหวินยินดี เขาพบว่าเ้าเด็กตรงหน้าเขาถึงเป็เพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง แต่ความคิดรอบคอบ ถึงคราวจำเป็ก็มีความเป็แม่ทัพใหญ่อยู่ในตัวเหมือนกัน
ตงหลี่เช่อมองไปยังลั่วถูครู่หนึ่ง มุมปากยกเป็รอยยิ้ม ราวกับเขาได้เห็นเงาของตัวเองบนร่างของเด็กหนุ่มตรงหน้า แต่ เขาไม่มีประสบการณ์เหมือนลั่วถูในตอนนี้ เพราะเขาเปิดิญญาได้ง่ายดายไม่เปลืองแรงสักนิด เพียงครั้งที่สองก็สำเร็จแล้ว ในเวลานั้นเขาเพิ่งอายุได้สิบปี ทำให้เขากลายเป็คนสำคัญที่ตระกูลต้องดูแล ไม่เหมือนกับลั่วถูในตอนนี้ที่ยังคงเป็คนขนศพต้อยต่ำคนหนึ่ง อาจเป็เพราะประสบการณ์ที่พิเศษ ทำให้เด็กหนุ่มผู้นี้มีความคิดอ่านลึกล้ำและใจเย็นไม่สมอายุของเขา
ต้นไม้ที่ถูกฟ้าผ่าบนเนินเขาทางตะวันออกมีขนาดใหญ่มาก รากใหญ่ั์พันกันไปมา ครึ่งหนึ่งไม่มีใบไม้แล้ว อีกครึ่งหนึ่งยังคงเขียวชอุ่ม มองขึ้นไปชวนให้รู้สึกแปลกพิลึก แต่ส่วนของลำต้นกลับว่างเปล่าเหมือนกับเป็ห้องว่างห้องหนึ่ง
ลั่วถูจุดไฟบนหญ้าที่เก็บมาจากข้างทาง ในขณะที่หลิวฉงเหวินเตรียมจะเดินเข้าไปในโพรงไม้ ก็ชิงโยนหญ้าติดไฟเข้าไปในถ้ำเสียก่อน จากนั้นหยุดหลิงฉงเหวินไว้
ควันที่ลอยออกมาจากถ้ำต้นไม้ เบาบางมาก ยังไม่ทันลอยขึ้นไปในอากาศก็จางหายไปแล้ว
“นี่คือสมุนไพรเยี่ยเสวียน ของเช่นนี้มีในป่ามากมาย แค่จุดไฟก็ได้ยาไล่งูไล่แมลงชั้นเลิศแล้ว พอถูกควันเข้าพวกงูกับแมลงก็จะหนีไปเอง ดังนั้นก่อนเข้าถ้ำทางที่ดีต้องจุดสมุนไพรเยี่ยเสวียนก่อน ไม่เช่นนั้นในถ้ำที่มีกิ่งไม้ใบไม้แห้งมากมายขนาดนั้น ข้างใต้คงมีงูมดแมลงพิษซ่อนอยู่แน่ ต่อให้พวกเราตรวจสอบดีแค่ไหนก็ไม่พอ...” ลั่วถูยิ้มแย้ม
“ทักษะไม่เลว!” ตงหลี่เช่อยิ้มแย้ม หลิวฉงเหวินที่กำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง ถึงกับรีบหุบปาก เพราะเขาเห็นตะขาบตัวยาวสองฉื่อตัวหนึ่งคลานออกจากถ้ำอย่างรวดเร็ว บนหลังส่องประกายสีม่วงทอง เขี้ยวคมคู่นั้นดูเหมือนกับมีดสั้นสองเล่มทีเดียว...
“ตะขาบจื่อเป่ยจิน บ้าเอ๊ย พี่หลิว ช่วยข้าจับมันที เ้านี่มันยาชั้นดีเชียวนะ... ” เมื่อลั่วถูเห็นตะขาบั์ก็แทบะโตัวลอย ล้วงเอาถุงประหลาดที่เหมือนกับทอด้วยด้ายทองออกมาจากอก พลางะโลั่น
ได้ยินลั่วถูเรียกเช่นนี้ ถึงหลิวฉงเหวินจะลังเลเล็กน้อย แต่ก็รีบยกมือสั่งทหารทุกนายให้ล้อมไว้ทันที ถึงเขาจะเห็นว่าตะขาบตัวนั้นเองก็ใเหมือนกัน ต้องเป็สัตว์มีพิษร้ายแน่นอน ถ้าโดนกัดเข้าสักคำ งานนี้ไม่ตายก็ใกล้ตายกันไปข้าง ถ้าเป็เขาคงทุบมันตายทั้งอย่างนี้แน่นอน ทว่าพอลั่วถูกล่าวเช่นนั้น ขืนตีไปคงไม่ดีแน่
“ระวังตัวด้วย กดมันไว้ก็พอ ซ่งตง รีบช่วยข้าจับเ้าตัวเล็กนั่นเร็ว ใช่ ยาวแค่ฉื่อเดียวก็เอา จับไว้ให้ข้าทั้งหมดเลย ถ้ำต้นไม้กลายเป็รังตะขาบไปได้อย่างไรกัน... ” ลั่วถูะโอย่างดีใจหลายครั้ง
พอซ่งตงได้ยินเข้าก็ได้แต่หน้าซีดตาเหลือกไปแล้ว แต่เจียงิ่กลับตื่นเต้นดีใจ เอาถุงออกมาถุงหนึ่งเช่นกัน คล่องแคล่วว่องไวถึงขนาดจับได้หลายตัวแล้ว แต่ละตัวยาวเกือบหนึ่งฉื่อทั้งนั้น พวกตัวเล็กตัวน้อยไม่อยู่ในสายตานางสักนิด
พอเห็นตะขาบมากมายขนาดนี้แห่ออกมาจากถ้ำ ในใจของทุกคนได้แต่ขนลุกชัน ถ้าไม่ใช่ลั่วถูจุดสมุนไพรเยี่ยเสวียนไล่เสียก่อน ถ้าเกิดพวกเขาเข้าไปทันที เกรงว่าคงมีคนโดนกัดไม่น้อย
ตัวที่ยาวเกือบฉื่อถูกจับไปหมดแล้ว ลั่วถูดูจะมีถุงด้ายทองไม่น้อยเลย หนึ่งถุงใส่ไว้หลายตัว เพียงแต่หลังจากตะขาบจื่อเป่ยจินถูกจับได้ ลั่วถูไม่ได้ยื่นมือไปจับตัวมันแต่อย่างใด เขากลับโรยผงยาประหลาดรอบตัวมัน เหลือช่องว่างเล็กๆ ไว้ช่องหนึ่ง จากนั้นลั่วถูเปิดปากถุงด้ายทองที่ใหญ่ที่สุดและวางไว้ตรงช่องว่างนั้น
“ตอนนี้ปล่อยมันได้แล้ว!” ลั่วถูผ่อนลมหายใจและเอ่ยขึ้น
คนหลายคนมองลั่วถูด้วยความประหลาดใจ และปล่อยกิ่งไม้ในมือ ตะขาบจื่อเป่ยจินราวกับถูกกระตุ้นจากอะไรบางอย่าง เมื่อถูกปล่อยเป็อิสระ ร่างที่ยาวสองฉื่อก็พุ่งตัวทันที พุ่งผ่านช่องว่างเล็กๆ เข้าไปในถุงด้ายทองโดยตรง
ลั่วถูปิดปากถุงอย่างรวดเร็ว จากนั้นแขวนไว้ที่เอวอย่างยินดี ที่จริงแล้วเขาอยากเก็บมันในแหวนมิติมากกว่า แต่ไม่รู้ว่าสิ่งมีชีวิตเข้าไปจะตายหรือไม่ ตะขาบจื่อเป่ยจินที่มีชีวิตต้องขายได้ราคามากกว่าตัวที่ตายแล้วแน่นอน
“ตอนนี้น่าจะไม่มีสัตว์ที่มีพิษแล้ว... ” ขณะที่คำกล่าวของลั่วถูจบลง ฝนเม็ดใหญ่ก็ตกลงบนศีรษะของเขา เมฆดำครึ้มคล้อยต่ำจนราวกับกดทับลงบนศีรษะของทุกคน เสียงลมพัดทำให้ทั้งป่ามีเสียง “ซ่าๆ ” ดังขึ้นไม่ขาด ท้องฟ้าในตอนนี้ช่างดำมืดเหลือเกิน
“ทุกคนเก็บกิ่งไม้แห้งมาให้เยอะหน่อย เผื่อว่ากลางคืนจะต้องพักที่นี่...” เมื่อหลิวฉงเหวินออกคำสั่ง ฝนเททันที อุณหภูมิของป่าตอนกลางวันและกลางคืนต่างกันไม่น้อย เตรียมกิ่งไม้แห้งให้มากหน่อยย่อมเป็เื่ดี
“พี่หลิว เื่นี้ให้คนอื่นทำเถอะ พวกเราไปดูที่ผาปากเหยี่ยวกันเถอะ” สายตาของลั่วถูกลับเบนไปทางผาปากเหยี่ยว ตอนนี้เขากับพวกตงหลี่ลงเรือลำเดียวกันแล้ว หากคิดจะออกจากป่าแห่งนี้อย่างปลอดภัย ก็ต้องกำจัดอันตรายทั้งหมดทิ้งไปเสีย
“เฉิงอิง เ้าอยู่ที่นี่คอยปกป้องท่านแม่ทัพ ถ้าเกิดเื่อะไรขึ้น ข้าจะมาเอาศีรษะของเ้าด้วยตัวเอง” หลิวฉงเหวินกล่าวอย่างโเี้
“ท่านผู้บัญชาการโปรดวางใจ หากพวกเรายังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าใครก็ห้ามแตะต้องท่านแม่ทัพแม้แต่ปลายนิ้ว!” เฉิงอิงตอบกลับอย่างจริงจัง
“พวกเ้าระวังตัวด้วย วิชากายาทองกลั่นโลหิตของตระกูลจินแม้จะเป็วิชาที่ทำร้ายตัวเองไปบ้าง แต่ก็ไม่อาจดูถูกได้ ถ้าคนที่มาเป็จินหยินซิน พวกเ้าต้องรีบกลับมาทันที พวกเราเสี่ยงเดินทางตากฝนได้ แต่เ้าไม่ใช่คู่มือของจินหยินซิน! ถ้าเป็คนอื่น ก็ทำตามที่เ้าเห็นสมควร ถ้าเื่นี้ไม่อาจจัดการได้ ก็ค่อยคิดหาวิธีอื่น” แม่ทัพตงหลี่ออกคำสั่งสุดท้าย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้