ในสวนของตำหนักอวี่หาน มู่จื่อหลิงนอนเกียจคร้านอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟย [1] มือข้างหนึ่งหนุนไว้หลังศีรษะ เต็มไปด้วยความผ่อนคลายสำราญใจ ลิ้มลองขนมหวานที่เสี่ยวหานคิดสูตรขึ้นมาใหม่ไป พูดคุยเื่ไร้สาระกับเสี่ยวหานไป
ยามนี้เอง ลุงฝูก็พาบ่าวรับใช้เยาว์วัยผิวขาวละมุนเข้ามา
“คารวะหวางเฟย” ลุงฝูและบ่าวรับใช้ทำความเคารพพร้อมเพรียงกัน
มู่จื่อหลิงวางขนมหวานในมือลง ปัดเศษขนมติดมือออก เหลือบมองบ่าวใช้ที่ยืนอยู่ข้างลุงฝู พูดอย่างเรียบเฉยว่า “ลุกขึ้น ลุงฝูมีเื่ใด”
ผู้ที่ยืนอยู่ข้างลุงฝูเป็ใคร? นางไม่เคยเห็นมาก่อน เกิดมามีริมฝีปากแดงฟันสีขาว ผิวขาวละเอียดท่านนี้คือ ดูไม่เหมือนคนรับใช้แม้แต่น้อย และไม่เหมือนคนงานด้วย จวนฉีอ๋องเหมือนจะไม่มีคนเช่นนี้
“ทูลหวางเฟย ท่านนี้คือพ่อบ้านอันแห่งจวนองค์หญิงใหญ่ เขามีธุระกับท่าน” ลุงฝูชี้ไปทางผู้ที่อยู่ด้านข้าง ตอบอย่างนอบน้อม
องค์หญิงใหญ่? พ่อบ้านอัน?
มู่จื่อหลิงชะงักไป ทว่าก็เข้าใจในชั่วพริบตา
ที่แท้ก็เป็คนจากจวนองค์หญิงใหญ่ มิแปลกที่แม้แต่พ่อบ้านก็มีรูปโฉมเช่นนี้ ผิวขาวอ่อนเยาว์หล่อเหลา
ก่อนหน้านี้หลงเซี่ยวเจ๋อก็เคยอธิบายประยูรญาติทุกคนในราชวงศ์ องค์หญิงใหญ่คือท่านอาเล็กของเขา และเป็น้องสาวเพียงคนเดียวของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
หลงเจียอี๋คือพระธิดาองค์เล็กที่อดีตฮ่องเต้รักเอ็นดูที่สุด ทันทีที่นางเกิดก็ถูกแต่งตั้งเป็องค์หญิงขั้นหนึ่ง เวลานี้อยู่ในระดับขั้นเดียวกันกับฮองเฮาองค์ปัจจุบัน
ทว่าองค์หญิงใหญ่นั้นอายุยี่สิบห้าย่างยี่สิบหก จนถึงวันนี้ก็ยังมิได้อภิเษกสมรส ฮ่องเต้เองก็ปวดพระเศียรเพราะเหตุนี้นัก และสิ่งที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยิ่งปวดพระเศียรก็คือองค์หญิงใหญ่เลี้ยงหนุ่มน้อยหน้าขาวกลุ่มหนึ่งไว้ในจวน
ด้วยเหตุเพราะเื่นี้ ฮ่องเต้ตรัสก็ตรัสแล้ว ด่าก็ด่าแล้ว ลงโทษก็มิอาจหักพระทัยลงโทษสถานหนักได้ สุดท้ายก็มิได้ประโยชน์อันใด ภายใต้ความจนปัญญาจึงได้แต่ปล่อยให้หลงเจียอี๋ประพฤติตัวเหลวไหลต่อไป
องค์หญิงใหญ่นั้นพิถีพิถันเกี่ยวกับรูปลักษณ์หนุ่มหน้าขาวเป็ที่สุด ในจวนจากบนลงล่างนอกจากนางที่เป็สตรีเพียงผู้เดียวแล้ว ล้วนเป็หนุ่มน้อยผิวเนียนหน้าใส และอายุของชายหนุ่มล้วนไม่เกินยี่สิบสองปี
สาเหตุที่องค์หญิงใหญ่เป็เช่นนี้นั้น เป็เพราะปีนั้นถูกชายในดวงใจทำให้เจ็บช้ำน้ำใจแสนสาหัส หลังจากนั้นก็เริ่มใช้ชีวิตเ้าสำราญหลงใหลในกิเลสราคะ
ยามปกติองค์หญิงใหญ่ล้วนอยู่แต่ในจวน ออกไปข้างนอกน้อยครั้งนัก ดังนั้นงานเลี้ยงราชวงศ์อย่างเรียบง่ายครั้งก่อนจึงไม่ได้พบนาง
ทุกครั้งที่ราตรีมาเยือน ประตูจวนองค์หญิงจะปิดแน่น ทว่าข้างในกลับเต็มไปด้วยเสียงสรวลเฮฮา เสียงร้องรำทำเพลงยามค่ำคืน แม้จะมองไม่เห็นภาพด้านใน แต่ก็สามารถจินตนาการได้
คิดมาถึงตรงนี้ มู่จื่อหลิงก็อดที่จะตัวสั่นไม่ได้ ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว ในสมัยโบราณ บุรุษกับสตรีกลุ่มหนึ่งเป็เื่ปกติธรรมดา แต่สตรีกับบุรุษกลุ่มหนึ่งนั้นแปลกพิกลไปแล้ว แค่คิดก็น่าหวาดหวั่นนัก
แต่ว่านางยังไม่เคยพบองค์หญิงใหญ่อะไรนี่มาก่อน พ่อบ้านผู้นี้มาหานางจะมีเื่ใดกัน?
“เ้ามีเื่ใดกับเปิ่นหวางเฟย” มู่จื่อหลิงยืดกายขึ้นอย่างช้าๆ ลุกขึ้นนั่งตัวตรงขึ้นมา เอ่ยถามพ่อบ้านอัน
“หวางเฟย องค์หญิงสกุลข้าเชิญท่านไปสนทนาที่จวน” พ่อบ้านอันกล่าวด้วยเสียงแ่เบานุ่มนวล
มู่จื่อหลิงได้ยินเสียงเช่นนี้ก็ ‘มึนเมา’ ไปแล้ว ทั้งยังองค์หญิงสกุลข้า?
น้ำเสียงของพ่อบ้านอันไม่เหมือนเสียงของบุรุษทั่วไปเลยแม้แต่น้อย อ่อนโยนดุจปุยฝ้าย นุ่มนวลเหลือคณา จู่ๆ ก็ทำให้มู่จื่อหลิงคิดถึงคำนั้นขึ้นมา ‘หนุ่มเ้าสำอาง’ ทว่ารสนิยมขององค์หญิงใหญ่ผู้นี้ช่างพิเศษจริงๆ
“องค์หญิงได้บอกหรือไม่ว่าเื่ใด?” หัวคิ้วของมู่จื่อหลิงขมวดน้อยๆ ถามอย่างนิ่งสงบ
“เหนียงเหนียงไปก็จะได้รู้” พ่อบ้านอันไม่ได้พูดอันใดมาก
บัดนี้มู่จื่อหลิงกระอักกระอ่วนแล้ว องค์หญิงใหญ่ที่ยังไม่เคยพบหน้าผู้นี้เหตุใดจู่ๆ ก็อยากพบนางอย่างไม่มีที่มาที่ไปเล่า?
ในจวนขององค์หญิงใหญ่ล้วนเป็บุรุษ ทั้งยังเป็บุรุษที่พิเศษนัก หวางเฟยสูงศักดิ์เช่นนางไปเพียงลำพังจะเหมาะสมจริงๆ หรือ?
ไม่ไปได้หรือไม่? ทว่าไม่ไปก็ไม่ได้เช่นกัน ต่อให้นางฐานะสูงส่งก็มิอาจสูงส่งไปกว่าองค์หญิงใหญ่ ยามนี้องค์หญิงใหญ่ส่งพ่อบ้านมารับด้วยตนเอง นับว่าให้เกียรติมากแล้ว มิใช่ว่าส่งลิ่วล้อมาสุ่มๆ นางจะยังหาเหตุผลไปปฏิเสธได้อย่างไร
ครานี้ไม่ไปไม่ได้ จะต้องไปเท่านั้น
ท้ายที่สุดมู่จื่อหลิงคิดแล้วคิดอีก นางก็ตัดสินใจว่าจะพาเสี่ยวหานไปด้วย อย่างน้อยมีเสี่ยวหานอยู่ข้างกายนาง เช่นนี้เมื่อไปจวนองค์หญิงใหญ่แล้ว น้อยที่สุดนางก็ยังรู้สึกว่าตนเองยังเป็คนปกติทั่วไปอยู่
อีกอย่างจวนองค์หญิงใหญ่คงไม่ดำมืดเหมือนวังหลวงกระมัง อีกทั้งองค์หญิงใหญ่ผู้นั้นนางไม่เคยพบเจอมาก่อนคงไม่เกลียดขี้หน้านางั้แ่แรกพบ
และในจวนองค์หญิงใหญ่ก็ล้วนเป็บุรุษ คงไม่เห็นนางเป็ศัตรูั้แ่คราแรกที่พบกัน ดังนั้นนำเสี่ยวหานไปก็น่าจะปลอดภัย
เดิมทีพ่อบ้านอันก็เตรียมรถม้าคันใหญ่ไว้ให้มู่จื่อหลิงหนึ่งคัน แต่ว่ามู่จื่อหลิงก็ยังเลือกนั่งรถม้าของตนเอง ใช้สิ่งของของตนเองจึงจะสบายใจ
รถม้าวิ่งมาจอดหน้าจวนองค์หญิงใหญ่ มู่จื่อหลิงถูกเสี่ยวหานพยุงลงมา นางเหลือบมองจวนองค์หญิงใหญ่ จะพูดว่าใหญ่ก็ไม่นับว่าใหญ่ จะพูดว่าเล็กก็ไม่นับว่าเล็ก สิงโตหินสองตัวตั้งตระหง่านอยู่หน้าประตู ทั้งโอ่อ่าและน่าเกรงขาม
ด้านนอกประตูนั้นโอ่อ่าสง่างาม ทว่าด้านในกลับเป็ทิวทัศน์อีกแบบ ในสวนเต็มไปด้วยต้นท้อ เปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวา กลิ่นท้อล่องลอยอบอวลในอากาศ ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจให้มากหน่อย
มู่จื่อหลิงก็อดที่จะสูดลมหายใจเงียบๆ ไม่ได้ จวนองค์หญิงใหญ่นั้นไม่ใช่อย่างที่นางจินตนาการไว้เลย อย่างน้อยดอกท้อเหล่านี้ก็ทำให้คนรู้สึกว่ารสนิยมขององค์หญิงใหญ่มิได้พิเศษเพียงนั้น
พ่อบ้านอันนำมู่จื่อหลิงมาถึงหน้าประตูตำหนักขององค์หญิงใหญ่ แสดงท่าทีให้นางเข้าไป แล้วจากไป
ทิ้งให้มู่จื่อหลิงและเสี่ยวหานยืนอยู่นอกประตู จ้องประตูใหญ่ที่ปิดสนิท สีหน้าของทั้งสองไม่น่ามองอยู่เล็กน้อย เนื่องจากพวกนางได้ยินเสียงที่ไม่ควรได้ยินเข้า
มู่จื่อหลิงยังดี แต่เสี่ยวหานนั้นใบหน้าแดงก่ำ แทบจะหารูบนพื้นมุดลงไป
พ่อบ้านอันให้พวกนางเข้าไปเช่นนี้ ไม่เกรงว่าจะรบกวนเื่ดีๆ ขององค์หญิงใหญ่หรือ
สุดท้ายมู่จื่อหลิงก็ตัดสินใจรอก่อน นางไม่กล้าผลักประตูเข้าไปตามใจ ไม่เพียงแค่ฐานะของนางไม่เอื้ออำนวย แต่ต่อให้เอื้ออำนวยนางก็ไม่คิดเข้าไป
ทว่าพวกมู่จื่อหลิงยืนได้ไม่นาน ก็มีเสียงนุ่มนวลดังมาจากด้านใน
“เหตุใดยังไม่เข้ามา”
มู่จื่อหลิงได้ยินเสียงนี้ สีหน้าก็ชะงักค้าง ที่แท้คนข้างในก็รู้ว่าข้างนอกมีคน
ภายใต้ความจนปัญญา นางจึงได้แต่ทิ้งเสี่ยวหานไว้ด้านนอก นางเสียใจแล้วที่พาเสี่ยวหานมา ช่างน่ากลัวเสียยิ่งกว่าหายนะในวังหลวงเสียอีก
หลังจากมู่จื่อหลิงทิ้งเสี่ยวหานไว้ด้านนอก ตนเองก็สูดลมหายใจเข้าลึก กัดฟันผลักประตูเข้าไป
เมื่อมู่จื่อหลิงเข้าไป เพียงแวบแรกก็เห็นองค์หญิงใหญ่ที่ใช้มือเดียวรองใบหน้า พิงอยู่บนตั่งคนงามอย่างเกียจคร้านเย้ายวน ข้างกายนางมีบ่าวรับใช้หน้านวลผ่องคุกเข่าอยู่สี่คน เครื่องแต่งกายยังคงเป็ระเบียบเรียบร้อย บ้างถือพัด บ้างป้อนองุ่น บ้างนวดไหล่บีบขา
องค์หญิงผู้นี้เข้าใจการเสพสำราญจริงๆ สิ่งที่ควรก็มีทั้งหมด
และอาภรณ์ขององค์หญิงใหญ่ในยามนี้ก็หลุดลุ่ยไปครึ่งตัวอยู่ก่อนแล้ว เผยให้เห็นหัวไหล่หอมกรุ่นขาวกระจ่าง และเอี๊ยมสีแดงเพลิง เห็นผิวพรรณอยู่รำไร มีเสน่ห์เย้ายวนยิ่งนัก เรือนขาเรียวยาวขาวราวกับหิมะไม่มีสิ่งใดปกคลุมเลยแม้แต่น้อย ดึงดูดจิตใจคนอย่างยิ่ง
แม้แต่มู่จื่อหลิงที่ใช้ชีวิตเป็แพทย์มาทั้งสองโลกเห็นอิสตรีมานับไม่ถ้วน ยามนี้การกระทำในคราแรกก็คือกลืนน้ำลายอย่างเงียบๆ สูดลมหายใจอย่างอดมิได้ นับเป็โฉมสะคราญยิ่ง
แม้องค์หญิงใหญ่ผู้นี้จะยี่สิบห้ายี่สิบหกแล้ว ทว่าดูเหมือนไม่ว่านางจะมีน้ำตาหรือรอยยิ้มที่ยังคงสามารถสั่นไหวจิตใจผู้คนได้
แต่นางกลับมีทุนที่น่าสรรเสริญนัก แม้จะเกิดมาเย้ายวนสั่นไหวจิตใจผู้คน แต่นางกลับไม่ดูเหมือนสตรีในหอนางโลม ใบหน้ายังเผยให้เห็นรัศมีอันสูงศักดิ์ของความเป็เชื้อพระวงศ์ สามารถมีชายหนุ่มหน้าละอ่อนติดตามนางอย่างจงรักภักดีก็ไม่ถือว่ามากเกินไป
องค์หญิงใหญ่เห็นมู่จื่อหลิงมีท่าทางตกตะลึง ก็มิได้ขุ่นเคืองแม้แต่น้อย สั่งให้บ่าวรับใช้ข้างกายถอยไป มือขาวเนียนกำเข้าหากันบดบังริมฝีปากที่ส่งเสียงกระแอมออกมาสองครั้งเบาๆ
“อะแฮ่ม”
มู่จื่อหลิงได้ยินเสียงนี้จึงได้สติกลับมา สีหน้าเคอะเขิน นางยอบกายน้อยๆ “หม่อมฉันถวายพระพรองค์หญิงใหญ่”
เดิมนางคิดว่าเข้ามาแล้วจะได้เห็นฉากที่ไม่สมควรมอง แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีแค่องค์หญิงใหญ่ที่เป็จุดสนใจเท่านั้น สุดท้ายก็เป็ความคิดนางที่ไม่บริสุทธิ์ คิดผิดไปเสียแล้ว
แต่ว่านางพบองค์หญิงใหญ่เป็ครั้งแรกจะบอกว่าน่ารังเกียจก็มิใช่ แม้จะสวมใส่อาภรณ์ไม่เรียบร้อย ทว่าก็ยังเผยให้เห็นถึงกิริยาท่าทีอันสูงศักดิ์โดยสมบูรณ์แบบที่ทำให้คนรู้สึกงามตางามใจ แต่ก็มิได้ทำให้นางชอบพฤติกรรมเลี้ยงชายหน้าละอ่อนขององค์หญิงใหญ่ขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม ไม่ชอบแต่ก็มิได้รังเกียจ
“ไม่ต้องมากพิธี เ้าก็คือหวางเฟยที่ไทเฮาชราผู้นั้นเลือกให้เสี่ยวซาน [2] ?” องค์หญิงใหญ่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากแดงสดเปิดน้อยๆ ด้วยน้ำเสียงเย้ายวนใจคน
“ใช่เพคะ” มู่จื่อหลิงตอบสั้นๆ
นางได้ยินคำพูดขององค์หญิงใหญ่มุมปากก็กระตุกเล็กน้อย องค์หญิงใหญ่เรียกหลงเซี่ยวอวี่ว่าเสี่ยวซาน? เสี่ยวซาน? เสี่ยวซาน เหตุใดถึงฟังแล้วจั๊กจี้หูเช่นนี้
ทว่าฟังน้ำเสียงองค์หญิงใหญ่แล้วเหตุใดจึงมีความไม่พอใจเล็กน้อยเล่า ไม่พอใจไทเฮา หรือไม่พอใจที่ไทเฮาเลือกนาง
แต่คำพูดต่อมาขององค์หญิงใหญ่กลับทำให้มู่จื่อหลิงยืนยันได้ว่านางไม่พอใจใคร
นิ้วมือราวกับหอมปอกเปลือกขององค์หญิงใหญ่เชยคางงดงาม มองประเมินมู่จื่อหลิง พูดอย่างเชื่องช้า “อืม สง่างามเยือกเย็น หนักแน่น งดงามน่ามองก็คู่ควรกับเ้าสามน้อยของพวกข้าอยู่ สายตาไทเฮาชราผู้นั้นไม่แย่เลย”
ประโยคสุดท้ายขององค์หญิงใหญ่ที่พูดถึงไทเฮากลับปรากฏแววดูถูกอยู่เล็กน้อย
“ขอบพระทัยองค์หญิงใหญ่ที่ชมเชยเพคะ” มู่จื่อหลิงกล่าวโดยไม่ถ่อมตัวแม้แต่น้อย
จะสนใจทำไมว่าองค์หญิงใหญ่จะชมจริงหรือแสร้งชม อย่างไรเสียนางก็หน้าหนาอยู่แล้ว ไม่ว่าชมจริงหรือแสร้งชมนางล้วนถือว่าเป็ความจริง ยอมรับทั้งหมดโดยไร้ข้อกังขา
อีกทั้งยามนี้มองจากสถานการณ์แล้ว ดูเหมือนองค์หญิงใหญ่จะมีความคิดเห็นต่อไทเฮา แต่ว่าองค์หญิงใหญ่มิได้มีความคิดเห็นต่อนาง นางก็ไม่รู้เช่นกัน นางเป็คนที่ไทเฮาเลือก ยากรับรองว่าจะถูกคิดว่าเป็คนของไทเฮาหรือไม่
จะสนไปใยว่าจะคิดหรือไม่ อย่างไรเสียนางก็ประพฤติตัวอยู่ในตามครรลองคุณธรรมไม่เกรงกลัวที่จะถูกกังขา
“ฮ่าๆ เป็คนเปิดเผยจริงๆ แต่ว่าเ้าเป็หวางเฟยของเสี่ยวซาน ย่อมควรเรียกเปิ่นกงว่าเสด็จอาตามเสี่ยวซานจึงจะดี” เมื่อองค์หญิงใหญ่ได้ยินวาจามู่จื่อหลิงก็หัวเราะขึ้นอย่างเปิดเผยด้วยท่าทีไม่เหินห่างเลยสักนิด
“เพคะ เสด็จอา” มู่จื่อหลิงเรียกอย่างไม่อ้อมค้อม
ดูท่าองค์หญิงใหญ่ผู้นี้ใส่ใจหลงเซี่ยวอวี่มากนัก แค่คำเรียกขานเดียวเท่านั้น องค์หญิงใหญ่เป็อาแท้ๆ ของหลงเซี่ยวอวี่ นางเรียกเช่นนั้นก็เหมาะสมแล้ว มิได้เสียหายอันใด
ไม่เหมือนไทเฮาผู้นั้น ในสายตานางก็เป็ ‘ตัวปลอม’ ผู้หนึ่ง จะอย่างไรนางก็เรียกไม่ออก
“ไม่กี่วันก่อนเปิ่นกงได้ยินมาว่าเ้ามีวิชาแพทย์ ทั้งยังรักษาโรคทางสมองที่ก่อกวนเสี่ยวอู่ [3] ที่เป็มานานแล้วจนหาย?” องค์หญิงใหญ่สำรวมแววล้อเล่น ถามต่อ
“เพคะ” มู่จื่อหลิงตอบสั้นๆ
องค์หญิงใหญ่ถามนางด้วยคำถามนี้โดยไร้ที่มาที่ไปทำไม คิดหยั่งเชิงนางหรือ?
“ในเมื่อรักษาโรคทางสมองของเสี่ยวอู่จนหายได้ ดูท่าความรู้ทางการแพทย์คงไม่ธรรมดา ่นี้ร่างกายของเปิ่นกงมิใคร่สบาย เข้ามาตรวจดูให้เปิ่นกงเสีย”
ได้ฟังเช่นนี้มู่จื่อหลิงก็ไม่เหนียมอาย เดินเข้าไปอย่างสงบนิ่ง ลอบเปิดใช้งานระบบซิงเฉิน นั่งลงข้างๆ แกล้งจับชีพจรให้องค์หญิงใหญ่
นางใช้ระบบซิงเฉินตรวจสอบรอบแล้วรอบเล่า ร่างกายขององค์หญิงใหญ่มิได้มีปัญหานี่ ปกติยิ่งนัก
แต่เดิมก็มิได้เจ็บป่วย เหตุใดต้องให้นางตรวจดูอาการป่วย องค์หญิงใหญ่ผู้นี้คิดหยั่งเชิงนางจริงๆ ใช่หรือไม่?
-------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] เก้าอี้กุ้ยเฟย คือเก้าอี้ยาวที่มีพนักพิง ไว้พักผ่อนอิริยาบถ
[2] เสี่ยวซาน เสี่ยว มักใช้เรียกเด็กหรือผู้เยาว์ ซานแปลว่าสาม ในที่นี้คือลำดับของหลงเซี่ยวอวี่
[3] เสี่ยวอู่ อู่หมายถึงห้า ในที่นี้องค์หญิงใหญ่เรียกหลงเซี่ยวหนาน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้