สำหรับวาจาของสตรีเหล่านี้ มู่จื่อหลิงเพียงยิ้มรับเท่านั้น และมิได้อยากกล่าวสิ่งใดเพิ่มอีกแม้แต่ประโยคเดียว วันนี้นางเผยคมเพียงพอแล้ว ควรสำรวมไว้เสียหน่อย
ทว่ามาตั้งนานถึงเพียงนี้แล้ว นางยังไม่เห็นหมู่เฟยของหลงเซี่ยวอวี่เลย นางคิดว่าสตรีสนมนางในพวกนี้ล้วนมิใช่ สตรีที่รู้จักแต่วาดหน้าแต่งตัวเช่นนี้จะมาสั่งสอนบุตรชายเช่นหลงเซี่ยวอวี่ได้อย่างไรกัน
ก่อนหน้านางได้ยินเสี่ยวหานกล่าวว่ามารดาของหลงเซี่ยวอวี่คือจิ่นเฟย ส่วนเื่อื่นนั้นนางล้วนไม่ทราบ นางเคยถามหลงเซี่ยวเจ๋อ แรกเริ่มแววตาของหลงเซี่ยวเจ๋อนั้นทอประกายเศร้าโศก แค่บอกเล่าง่ายๆ เพียงไม่กี่ประโยคว่าจิ่นเฟยเป็ผู้ที่เลี้ยงเขากับหลงเซี่ยวเจ๋อจนเติบใหญ่ เื่อื่นนั้นไม่ปริปากพูด และเตือนนางว่ามิอาจพูดถึงมารดาเขาต่อหน้าหลงเซี่ยวอวี่ได้ จิ่นเฟยผู้นี้มีเื่อันใดกันแน่ เหตุใดจึงลึกลับเช่นนี้
สตรีกลุ่มหนึ่งในงานเลี้ยงส่งเสียงดังจ้อกแจ้กจอแจ หลงเซี่ยวอวี่เมินเฉยต่อสิ่งรอบกายทั้งหมด ละเลียดชิมสุรา ไม่ได้รับผลกระทบจากสตรีกลุ่มนั้นเลยแม้แต่น้อย
ฮ่องเต้เองก็มิได้สนใจสตรีกลุ่มนั้น แต่กำลังหารือสิ่งใดสักอย่างกับขุนนางใหญ่สองสามคน
มู่จื่อหลิงกินอาหารโดยสงบ ใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆ ทว่ากลับเจือความแข็งทื่ออยู่บางส่วน เมื่อผู้อื่นถาม นางก็ตอบกลับหนึ่งถึงสองประโยคเป็ครั้งคราว ส่วนเวลาอื่นๆ นางก็เลือกที่จะยิ้มรับไม่ก็นิ่งเงียบเสีย
สตรีสามนางถือเป็ละครหนึ่งเวที ดังนั้นหากสตรีกลุ่มหนึ่งคงถือเป็มหรสพใหญ่
ไม่นานนัก เมื่อได้ยินสตรีกลุ่มหนึ่งในงานเริ่มร้องรำทำเพลง หลงเซี่ยวอวี่ก็เหมือนจะหมดความอดทนแล้ว เขาวางจอกเหล้าในมือลง ก่อนจะลุกขึ้นมา “เสด็จพ่อ กระหม่อมยังมีธุระ ขอทูลลาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“เซี่ยวอวี่มีธุระ พวกเ้าก็กลับไปก่อนเถิด” ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ ให้หลงเซี่ยวอวี่ไปก่อน
มู่จื่อหลิงเห็นหลงเซี่ยวอวี่้ากลับ ในใจก็ยินดียิ่งนัก เช่นนี้ก็นับว่าได้กลับแล้ว พวกเขายังอยู่ไม่ถึงครึ่งชั่วยามเลยกระมัง ราวกับแค่โผล่หน้ามาให้เห็นเท่านั้น
มู่จื่อหลิงลุกขึ้นมาถอนสายบัวเตรียมออกไปกับหลงเซี่ยวอวี่ ทว่าไทเฮานั้นมีหรือที่จะปล่อยมู่จื่อหลิงไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ได้ ละครที่นางเตรียมไว้ยังมิได้เปิดม่านเลยกระมัง เห็นมู่จื่อหลิงเตรียมตัวจากไป ไทเฮาก็กล่าวว่า “ในเมื่อเซี่ยวอวี่มีธุระ เช่นนั้นหลิงเอ๋อร์เ้าก็อยู่ก่อน...”
“มู่จื่อหลิง เ้ามิได้ร้องว่าเหนื่อยแล้วหรอกหรือ?” หลงเซี่ยวอวี่มิได้หันกายกลับมา น้ำเสียงเ็าตัดบทวาจาของไทเฮาก่อนจะเดินออกไปยังด้านนอกทันที
นางร้องว่าเหนื่อยเมื่อใดกัน?
มู่จื่อหลิงอึ้งไปครู่หนึ่งจึงเข้าใจความหมายของหลงเซี่ยวอวี่
แม่เ้า! แม้ประโยคนี้ฟังแล้วเ็ายิ่งนัก ทว่านางรู้สึกว่าวาจานี้ของหลงเซี่ยวอวี่ช่างอบอุ่นใจและน่าเกรงขามเป็อย่างยิ่ง แม้แต่รับสั่งของไทเฮายังกล้าตัดบท
นางรู้ว่าเมื่อครู่ไทเฮา้ารั้งนางเอาไว้จึงใยิ่งนัก หากไม่มีที่พึ่งพิงเช่นหลงเซี่ยวอวี่อยู่ นางก็มิรู้ว่าจะรับมือได้หรือไม่
ทว่าเวลานี้หลงเซี่ยวอวี่กล่าวออกมาเช่นนี้ ความหมายก็คือพวกเขาเพิ่งเดินเล่นในวังหลวงไป นางเดินจนเหนื่อยแล้ว ทั้งมาอยู่ที่นี่ตั้งนานสองนาน ควรกลับไปพักผ่อนได้แล้ว
นางเหนื่อยจริงๆ นั่นล่ะ ปะทะฝีปากจนเหนื่อย
ไทเฮายังจะกล่าวสิ่งใดได้อีก เมื่อมองใบหน้าชราที่อดทนอดกลั้นของไทเฮาแล้ว นางก็รู้สึกสบายอกสบายใจจนมิอาจเปรียบ ติดตามหลงเซี่ยวอวี่ไปที่ใดก็ล้วนมีลมจริงเสียด้วย คำเดียวเลย เยี่ยม
“หลิงเอ๋อร์ ในเมื่อเหน็ดเหนื่อยแล้วก็กลับไปพักผ่อนให้ดีก่อนเถิด” ใบหน้าไทเฮาเอ่ยพลางยิ้มอย่างไม่เป็ธรรมชาติ สองมือภายใต้แขนเสื้อกำแน่น เล็บมือเรียวยาวจิกเข้าไปในเนื้อ
นางสวะมู่จื่อหลิงใช้เล่ห์กลอันใดถึงทำให้หลงเซี่ยวอวี่มาร่วมงานเลี้ยงเป็เพื่อนนางได้ ทั้งยังทำให้นางหลุดรอดไปได้อีก มู่จื่อหลิง ดูท่าอายเจียคงจะมองเ้าผิดไปแล้ว
มู่จื่อหลิงผงกศีรษะ “หม่อมชั้นทูลลาเพคะ” กล่าวจบก็ซอยเท้าไล่ตามหลงเซี่ยวอวี่ไปทันที
งานเลี้ยงในวังนี้ เมื่อพวกเขาจากไปก็ไร้ความคึกคักแล้ว สุดท้ายจึงแยกย้ายกันไป
ฮ่องเต้กลับสงสัยใคร่รู้อยู่ตลอดเวลาว่าการกระทำของหลงเซี่ยวอวี่ในวันนี้นั้นมีความหมายแอบแฝงอันใดกันแน่ ทุกสิ่งทุกอย่างในวันนี้ล้วนตกอยู่ในสายตาของพระองค์
หวางเฟยผู้นี้ของเซี่ยวอวี่ไม่เหมือนในข่าวลือเลยแม้แต่น้อย บรรยากาศของนางคล้ายคลึงกับคนผู้หนึ่งยิ่งนัก ครั้นเมื่อระลึกถึงคนผู้นั้นดวงเนตรก็เปี่ยมไป กลายเป็ความละอายใจและความโศกเศร้า
ส่วนบรรดาคนที่เตรียมมาดูละครสนุกๆ นั้น กลับมาเจอการตั้งรับอันเยือกเย็นของมู่จื่อหลิง และความเมินเฉยของหลงเซี่ยวอวี่ จึงทำให้ความสนใจลดน้อยลงไป
ผู้ที่มีโทสะมากที่สุดก็ยังคงเป็ไทเฮา ละครหลักที่ทุ่มเทใจเตรียมมายังมิถึงฉากหัวเราะเยาะเย้ย คนก็ถูกเอาตัวไปเสียแล้ว ใบหน้าชราฉายแววอดทนอดกลั้นเต็มดวงหน้า
หลังกลับถึงตำหนักจึงะเิโทสะอย่างเต็มที่ ผู้ที่ได้รับหายนะที่สุดก็ยังคงเป็ขันทีและนางกำนัลเ่าั้ ผู้ใดเดินมิคล่องแคล่ว กล่าววาจามิถูกหู หากไม่ถูกโบย ก็ล้วนถูกตัดหัวทั้งสิ้น
-
เมื่อออกมาจากงานเลี้ยงมู่จื่อหลิงคิดจะเอ่ยขอบคุณหลงเซี่ยวอวี่อีกครั้ง ผู้ใดจะรู้ว่าหลงเซี่ยวอวี่กลับชิงเอ่ยปากขึ้นมาก่อน “มู่จื่อหลิง อาจหาญมิน้อย”
หลงเซี่ยวอวี่เอ่ยจบก็เดินไปโดยไม่หันศีรษะกลับมา ไม่ชะลอฝีเท้าเป็เพื่อนมู่จื่อหลิงเหมือนตอนที่เดินเข้ามา
คำกล่าวขอบคุณของมู่จื่อหลิงติดอยู่ในคอหอย หลงเซี่ยวอวี่หมายถึงสิ่งใดกันแน่ ชมว่านางร้ายกาจหรือด่าว่านางบังอาจที่ยั่วโทสะไทเฮา แล้วยังลากเขาเข้าไปเกี่ยวด้วยกัน
ทว่าระหว่างงานเลี้ยงในวังนั้นนางใช้อำนาจและความลำพองใจเล็กน้อย แต่นางมิได้รังแกผู้อื่นเสียหน่อย ที่นางพูดก็ล้วนเป็เื่จริงทั้งสิ้นนี่นา มิอาจไม่บอกได้ว่าที่พึ่งพิงเช่นหลงเซี่ยวอวี่นี้ ช่างเป็เื่ที่สุดยอดเกินคาดหมาย
แท้จริงแล้ววันนี้นางก็สับสนกับปัญหาหนึ่งมาโดยตลอด เนื่องจากวันนี้โดนหลงเซี่ยวอวี่เห็นท่าทางอเนจอนาถอีกด้านของตนเข้าให้ ทว่าเขากลับมิกล่าวสิ่งใด นั่นเป็เพราะเขาไม่สนใจจริงๆ หรือเป็เพราะเขาไม่แยแสนางกันนะ
แต่ว่าที่พูดก็ถูก หลงเซี่ยวอวี่จะมาใส่ใจผู้ที่มีตัวตนเล็กน้อย เช่นนางได้อย่างไร เว้นเสียแต่ว่านางจะไปทำลายเกียรติของจวนฉีอ๋องเข้าจริงๆ เขาจึงเหลือบมองมายังนางสักครา
ระหว่างคนทั้งสองไร้ซึ่งคำพูด ผู้หนึ่งนำหน้า ผู้หนึ่งตามหลัง
ออกจากวังหลวง มู่จื่อหลิงก็เห็นเล่อเทียนรอพวกเขาอยู่ข้างรถม้าอย่างกระสับกระส่าย
“หวางเฟย พบกันอีกคราแล้ว” เล่อเทียนทักทายมู่จื่อหลิง
มู่จื่อหลิงพยักหน้า ถือว่าเป็การทักทายแล้ว เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเล่อเทียนก็ทราบว่าเล่อเทียนมาพบหลงเซี่ยวอวี่ด้วยเื่เร่งด่วน นางจึงมิกล่าวสิ่งใดมากความ ไม่ว่าเื่ที่เล่อเทียนพูดนางจะสามารถอยู่ร่วมรับรู้ได้หรือไม่ แต่นางก็ล้วนไม่อยากรู้ เื่ของหลงเซี่ยวอวี่นั้นรู้มากเข้าก็ไม่เป็ผลดีต่อตัวนาง
มู่จื่อหลิงมองไปที่หลงเซี่ยวอวี่และกล่าวราบเรียบว่า “ท่านอ๋อง หม่อมฉันขึ้นไปรอก่อนนะเพคะ”
กล่าวจบก็มิสนใจว่าหลงเซี่ยวอวี่จะส่งเสียงใดตอบรับหรือไม่ นางเดินไปขึ้นรถม้าคันเล็กทันที เวลานี้ไม่มีขันทีและนางกำนัลตามออกมา ละครแสดงจบแล้ว นางไม่จำเป็ต้องนั่งรถม้าคันเดียวกับเขาอีก หลงเซี่ยวอวี่เห็นมู่จื่อหลิงขึ้นรถม้าคันเล็กก็มิได้กล่าวสิ่งใด
ไม่ทราบว่าด้วยเหตุใดในใจมู่จื่อหลิงจึงรู้สึกเศร้าเล็กน้อย ทั้งๆ ที่รู้ว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็การแสดง แต่ราวกับว่านางยังเฝ้ารอสิ่งใดอยู่
มู่จื่อหลิงรออยู่บนรถครู่หนึ่ง รถม้าก็ยังไม่ออก กลับเป็หลงเซี่ยวเจ๋อที่เดินมา
“พี่สะใภ้สาม เล่อเทียนกับพี่สามไปแล้ว พวกเราไปนั่งรถม้าคันใหญ่กันเถิด ข้าจะไปส่งท่านกลับ” หลงเซี่ยวเจ๋อกล่าวด้วยใบหน้ากระตือรือร้น เมื่อครู่การที่ต้องรอพี่สามกับเล่อเทียนจากไปนั้นไม่ใช่เื่ที่ง่ายดายนัก เมื่อจบแล้วจึงรีบวิ่งเข้ามา
เดิมทีหลงเซี่ยวเจ๋อคิดว่าพี่สะใภ้สามจะถามว่าพวกพี่สามไปที่ใด
ทว่ามู่จื่อหลิงกลับไม่สนใจ เพียงกล่าวอย่างเรียบๆ ว่า “นั่งคันนี้แล้วกัน ข้าชอบรถม้าคันเล็ก นั่งสบายนัก”
เขาสังเกตได้ว่าใบหน้าของมู่จื่อหลิงไม่มีแววยินดี แปลกยิ่งนัก ในวังหลวงวันนี้พี่สะใภ้สามแสดงออกได้อย่างยอดเยี่ยมถึงเพียงนั้น เหตุใดจึงไม่ยินดีเสียเล่า
“เอาเถิด ตามใจท่าน” หลงเซี่ยวเจ๋อจนปัญญา พี่สะใภ้สามช่างแปลกเสียจริง มีรถม้าคันใหญ่ดีๆ ให้นั่ง กลับจะนั่งคันเล็กคันนี้ให้ได้ คันนี้มันสบายที่ใดกัน
“ไปเถิด” มู่จื่อหลิงเอ่ยกับสารถีด้านนอก
ล้อรถม้าเริ่มหมุน หลงเซี่ยวเจ๋อก็เปิดระบบพูดจนน้ำไหลไฟดับของเขา
“พี่สะใภ้สาม ค่ำวันนี้ท่านร้ายกาจยิ่งนัก ถึงกับไม่รับคำของไทเฮา ท่านมองไม่ออกหรือว่าใบหน้าชราของนางเหมือนปวดหนักอย่างไรอย่างนั้น เต็มไปด้วยความแค้นใจ ตอนนั้นข้าเกือบจะพ่นเสียงหัวเราะออกมาแล้ว” หลงเซี่ยวเจ๋อกล่าวอย่างเลื่อมใสเป็ยิ่ง
“พรืด” มู่จื่อหลิงหัวเราะออกมา ความเศร้าซึมก่อนหน้าถูกกวาดออกไปจนหมด ต้องกล่าวว่าวาจานี้ของหลงเซี่ยวเจ๋อบรรยายได้เหมาะสมเป็อย่างยิ่ง เวลานั้นท่าทางไทเฮาราวกับคนท้องผูก กลั้นลมหายใจเอาไว้ไม่ปล่อยออกมา และที่หลงเซี่ยวเจ๋อกล่าวถึงไทเฮาเช่นนี้นางไม่ใเลยแม้แต่น้อย
ตอนที่นางถามกับหลงเซี่ยวเจ๋อถึงมารดาของหลงเซี่ยวอวี่นั้น หลงเซี่ยวเจ๋อก็กล่าวกับนางว่า แม้เขากับหลงเซี่ยวอวี่จะมิได้มีมารดาคนเดียวกัน แต่กลับถูกเลี้ยงโดยมารดาคนเดียวกัน
เสด็จแม่ของเขาเสียชีวิตจากการคลอดยาก จิ่นเฟยกลัวว่าเขาจะมีเงามืดในใจจึงปฏิบัติกับเขาและหลงเซี่ยวอวี่อย่างเท่าเทียมกัน กระทำในเื่ที่ถูกต้องก็ชมเชย ไม่รักมากกว่ากัน แล้วก็ไม่ลงโทษเบาไปกว่ากัน
เขาเลื่อมใสหลงเซี่ยวอวี่ที่โตกว่าเขาสองปีมาั้แ่เล็ก ทุกวันล้วนเดินเตาะแตะตามอยู่ด้านหลังเขา แม้คนหนึ่งจะเ็าคนหนึ่งจะกระตือรือร้น ทว่าความสัมพันธ์ของสองพี่น้องนั้นก็ดีเป็อย่างยิ่ง ดังนั้นเมื่อหลงเซี่ยวอวี่ไม่ลงรอยกับไทเฮา เขาจึงเห็นไทเฮาเป็ศัตรูไปด้วย ไทเฮาเสียหน้าเขาย่อมยินดีอยู่แล้ว
เห็นมู่จื่อหลิงยิ้มแล้ว หลงเซี่ยวเจ๋อก็พลอยโล่งใจไปด้วย กล่าวต่อไปว่า “พี่สะใภ้สาม ท่านคิดหรือไม่ว่าวันนี้พี่สามปฏิบัติต่อท่านพิเศษนัก”
มู่จื่อหลิงหุบรอยยิ้มบนใบหน้า เหลือบมองเขา พิเศษหรือ? วันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำก็ล้วนแต่เป็การแสดงเท่านั้น มู่จื่อหลิงมิได้กล่าวสิ่งใด ทว่าหลงเซี่ยวเจ๋อกลับพูดพล่ามไม่หยุด
“พี่สะใภ้สาม ท่านไม่รู้หรือว่าเมื่อก่อนพี่สามมิเคยมองสตรีคนใดเกินหนึ่งวินาที”
“พี่สะใภ้สาม ท่านไม่รู้หรือว่าเมื่อก่อนพี่สามมิเคยให้สตรีคนใดเข้าใกล้เขามาก่อน”
“พี่สะใภ้สาม เมื่อก่อนมีสตรีผู้หนึ่งอยากเข้าใกล้พี่สาม...”
ตลอดทางหลงเซี่ยวเจ๋อเอาแต่กล่าวถึงความดีความบริสุทธิ์ของหลงเซี่ยวอวี่อย่างไม่หยุดหย่อน กล่าวว่าเขารังเกียจสตรีเช่นใด ซึ่งมู่จื่อหลิงมิได้ฟังเลยแม้แต่น้อย หลงเซี่ยวอวี่จะเป็เช่นใดล้วนไม่เกี่ยวข้องกับนาง เื่ของหลงเซี่ยวอวี่รู้เยอะเข้าก็มิได้เป็ผลดีต่อนาง
นางไม่สนใจพระถังซัมจั๋งที่เอาแต่สวดมนต์เช่นหลงเซี่ยวเจ๋อ ปล่อยเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
“โถ่ พี่สะใภ้สาม ท่านได้ฟังข้าหรือไม่ พี่สามเป็คนพิเศษจริงๆ มิใช่หรือ”
“อือ พิเศษๆ เ้าพิเศษกว่าเขาอีก” พิเศษกว่าเขา พูดเก่งเป็พิเศษ มู่จื่อหลิงไม่ไหวแล้วจริงๆ นางกล่าวอย่างยอมแพ้
มู่จื่อหลิงนึกสงสัยว่าพวกเขาเป็พี่น้องกันแท้ๆ ใช่หรือไม่ แม้จะมิใช่มารดาเดียวกัน แต่ก็มีบิดาคนเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นยังถูกเลี้ยงดูโดยมารดาคนเดียวกันอีก เหตุใดจึงได้แตกต่างกันมากขนาดนี้ คนหนึ่งเ็าไร้ความรู้สึก หวงคำพูดดั่งทองคำ อีกคนกระตือรือร้นดั่งไฟ ช่างจำนรรจานัก
หลงเซี่ยวเจ๋อได้ยินพี่สะใภ้สามชมว่าเขาพิเศษยิ่งกว่าพี่สาม ตัวก็แทบจะลอยขึ้นฟ้า
ล้อรถม้าที่หมุนมาทั้งทางในที่สุดก็มาถึงจวนอ๋อง
“ข้าถึงแล้ว เ้ากลับไปก่อนเถิด” มู่จื่อหลิงเหมือนยกูเาออกจากอก ฟังหลงเซี่ยวเจ๋อพูดพล่ามมาทั้งทางไม่หยุด จนหูแทบจะด้านชาอยู่รอมร่อ
มู่จื่อหลิงเตรียมลงจากรถ
ทว่าหลงเซี่ยวเจ๋อก็ยังไม่คิดจะแยกตัวไป เขาลุกขึ้นตามมาด้วย คลี่รอยยิ้มกล่าว “พี่สะใภ้สาม ข้ายังพูดไม่จบเลย พวกเราเข้าไปสนทนากันต่อเถิด”
มู่จื่อหลิงยอมแพ้อย่างสิ้นเชิงแล้ว นี่อดทนไม่กล่าววาจามานานเท่าใดกัน พูดพล่ามทั้งทางไม่หยุดพัก หรือเป็เพราะวันนี้ขุดหลุมฝังเขาไปยกหนึ่งกันนะ ถ้านางรู้เช่นนี้แต่แรกคงไล่เขาลงจากรถไปแล้ว เ้านี่ได้คืบจะเอาศอก ให้แสงแดดเพียงนิดก็เจิดจ้าเสียแล้ว [1]
นางไม่ได้สนใจหลงเซี่ยวเจ๋อ กล่าวกับเสี่ยวหานที่อยู่นอกรถอย่างแ่เบาว่า “เสี่ยวหาน เ้ายังไม่เคยเห็นอานุภาพของน้ำยามี่ลู่สินะ ครานี้เป็น้ำยามี่ลู่สูตรปรับปรุงแล้ว ที่เรียกมาอาจเป็แมลงพิษ ซึ่งล้วนแต่มีพิษรุนแรง โดนกัดเข้ามิรู้ว่าจะเสียโฉมหรือไม่ ข้ากำลังหาผู้ทดลองอยู่พอดี มิสู้......”
-----------------------------
เชิงอรรถ
[1] ให้แสงแดดเพียงนิดก็เจิดจ้าเสียแล้ว ในที่นี้หมายถึงไม่พอเพียงกับสิ่งที่ตนได้รับ โลภ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้